ยามที่บริเวณกลางหน้าผากของหลี่ชิเย่เปิดออกมานั้น สุดยอดกฎเกณฑ์สูงสุดปรากฎ เสมือนดั่งก้าวข้ามอดีต แซงล้ำหน้ากาลเวลา พริบตาเดียวนั่นเอง เสมือนหนึ่งตัวเขานั่นแหละคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุด
เสียงตูม…ดังสนั่นขึ้นมาเสียงหนึ่ง นาทีนี้เองราชสำนักที่อยู่ห่างไกล ปรากฏลำแสงขนาดใหญ่โตปราศจากผู้เทียบเทียมพุ่งขึ้นท้องฟ้าส่องสว่างไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ตามติดด้วยประกายเซียนที่ตลบอบอวล เสมือนดั่งอนุภาคของแสงจำนวนนับไม่ถ้วนที่โปรยปรายไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอย่างนั้น
ตูม ตูม ตูมเสียงดังตูมตามดังขึ้นมาไม่ขาดสาย นาทีนี้ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเกิดการสั่นไหวโคลงเคลงขึ้นมา บริเวณราชสำนักที่พวยพุ่งลำแสงขึ้นมานั้น ปรากฏต้นกำเนิดสัจธรรมที่ใหญ่โตมโหฬารขึ้นมา!
“ต้นกำเนิดสัจธรรม…” หลี่เชียนรีบมองไปตรงนั้นด้วยความหวั่นไหวอย่างยิ่ง เมื่อภาพนี้ปรากฏขึ้นมา นี่คือต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนั่นเอง พันล้านปีที่ผ่านมาไม่เคยได้ปลุกต้นกำเนิดสัจธรรมให้ตื่นขึ้นมาในลักษณะเช่นนี้ได้ ต่อให้ราชันแท้จริงในภายหลัง เช่น ราชันแท้จริงฉู่ขวาง ราชันแท้จริงขวางเสว่ยล้วนแล้วแต่ไม่เคยได้ปลุกให้ต้นกำเนิดสัจธรรมตื่นขึ้นมาเช่นนี้ได้
พริบตาเดียวนี้เอง หลี่ชิเย่ได้ควบคุมต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้แล้ว ซึ่งสร้างความมหัศจรรย์ยิ่งให้กับหลี่เชียน เนื่องจากพวกเขาที่เป็นสายผู้พิทักษ์ได้ทำการปกป้องต้นกำเนิดสัจธรรมมานานนับไม่ถ้วน พวกเขาพิจารณาครุ่นคิดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิมาเป็นเวลานานนับไม่ถ้วนแล้ว แต่ทว่า สุดท้ายแล้วยังคงไม่สามารถควบคุมต้นกำเนิดสัจธรรมได้ อย่างดีที่สุดพวกเขาก็ทำได้เพียงหยิบยืมพลังของต้นกำเนิดสัจธรรมมาใช้เท่านั้น
แต่ว่าหลี่ชิเย่ในเวลานี้หาใช่เป็นการหยิบยืมพลังของต้นกำเนิดสัจธรรม แต่เป็นการควบคุมต้นกำเนิดสัจธรรม ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวอะไรปานนั้น
เสียงแว้งค์ แว้งค์ แว้งค์ดังขึ้น ขณะที่อนุภาคของแสงที่โปรยปรายปลิวไปตกยังทุกซอกทุกมุมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้วนั้น ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงล้วนแล้วแต่สว่างไสวขึ้นมา ได้ยินเสียงตูมดังสนั่น กฎเกณฑ์ปฐมบรรพบุรุษจำนวนนับไม่ถ้วนได้พุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง นาทีนี้เสมือนหนึ่งผู้เฒ่ากำแหงได้ตื่นขึ้น ผู้เฒ่ากำแหงได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างนั้น
พริบตาเดียวนี้เอง ตูมเสียงที่ดังสนั่นได้ดังทะลุไปทั่วฟ้าดิน ทะลุไปอดีตกาลหมื่นอาณาจักร นาทีนี้หลี่ชิเย่ที่ควบคุมพลังต้นกำเนิดสัจธรรมปรากฎร่างเงาที่เป็นภาพลวงขึ้นมา ภาพลวงนี้มีขนาดที่ใหญ่โตอย่างยิ่ง แม้แต่จักรวาลก็ต้องถูกมันดันจนแตก ร่างเงาที่เป็นภาพลวงนี้กำแหงและอันธพาลยิ่งปราศจากผู้เทียบเทียม สูงส่งสุดยอดปราศจากผู้ต่อกรนิรันดร์กาล ยามที่ดวงตาคู่นั้นของเขาส่งประกายออกมา ส่องสว่างไปพันล้านชาติ ทะลุผ่านอดีต จ้องมองไปยังอนาคต
ผู้เฒ่ากำแหง…ชั่วพริบตาเดียวนี้เอง ศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมดล้วนแล้วแต่รับรู้ถึงกลิ่นอายของปฐมบรรพบุรุษของพวกเขา นี่เป็นพลังที่เป็นของผู้เฒ่ากำแหง ซึ่งเสมือนหนึ่งผู้เฒ่ากำแหงฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างนั้น เสมือนดั่งผู้เฒ่ากำแหงได้ตื่นขึ้นมาอย่างนั้น
ชั่วพริบตาเดียวนี้เอง ทุกคนต่างคุกเข่าลงกราบกับพื้น ไม่เพียงแต่ผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในเขาฟันหลอเท่านั้น แม้แต่ศิษย์ในสังกัดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมด สิ่งมีชีวิตนาทีนี้ต่างคุกเข่ากราบกับพื้นด้วยความเคารพเลื่อมใสยิ่ง ก้มศีรษะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
“พวกชั่วร้ายโง่เขลาที่ยังหลงเหลืออยู่!” เวลานี้หลี่ชิเย่เปิดปากพูดแล้ว เสียงของเขาคือสิ่งที่สุดยอดสูงสุด ปราศจากผู้ต่อกรนิรันดร์กาล
“ฮือ…” ในขณะนี้วิญญาณพยาบาทของเทพแท้จริงเทียนเต๋อคำรามออกมา เสียงตูมดังสนั่น ทวนราชันขวางตี้ที่อยู่ในมือพลันแทงทะลุอดีตพุ่งตรงเข้าหาหลี่ชิเย่ทันที หนึ่งทวนทำลายดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วน ภายใต้หนึ่งทวนท้องฟ้าพังทลายลงทันที ดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนเกิดระเบิดขึ้น พลังทำลายฟ้าดินทำให้สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนต้องสั่นเทา ทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนวิญญาณแทบออกจากร่าง!
ตึง…เสียงกระบี่คำราม นาทีนี้กระบี่เซียนพิโรธในมือของหลี่ชิเย่ได้ฟาดฟันลงมา หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันลงมาทำให้ฟ้าดินอับแสง กาลเวลาถูกทำลาย เหล่าเทพมอดม้วย ภายใต้หนึ่งกระบี่นี้ ต่อให้เป็นราชันแท้จริงก็ต้องกลายเป็นเถ้าธุลี ผู้ยิ่งใหญ่ก็ต้องมอบศีรษะออกมา!
ตึง…เสียงดังสนั่น กระบี่เซียนพิโรธปะทะซึ่งหน้ากับทวนราชันขวางตี้ สะเก็ดไฟแตกกระจาย ด้วยอานุภาพที่ทำลายฟ้าดิน วิญญาณพยาบาทของเทพแท้จริงเทียนเต๋อกำทวนราชันขวางตี้ไม่อยู่ ถูกกระแทกจนหลุดมือไปทันที
ฉึก…จังหวะที่ทวนราชันขวางตี้ถูกพลังกระแทกจนหลุดจากมือไปนั้น กระบี่เซียนพิโรธได้ทำการผ่าเทพแท้จริงเทียนเต๋อออกเป็นสองซีก
“ฮือ…” ก่อนตาย วิญาณพยาบาทของเทพแท้จริงเทียนเต๋อยังร้องคำรามออกมาอย่างไม่เต็มใจ แต่ทว่า ภายใต้พลังสังหารที่เด็ดขาด ต่อให้พลังอาฆาตพยาบาทของเทพแท้จริงเทียนเต๋อจะกล้าแข็งเพียงใดก็ตาม ก็ไร้ประโยชน์
ปุ…เสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะที่เทพแท้จริงเทียนเต๋อถูกฟันผ่าออกเป็นสองซีกนั้น พลังปราศจากผู้ต่อกรนับแต่อดีตกาลพลันจัดการบดขยี้สามเทพเลือดกำแหงที่เป็นผู้เรียกวิญญาณของเทพแท้จริงเทียนเต๋อออกมาให้กลายเป็นหมอกเลือดไป
“จมดิ่งสู่ลัทธิมาร ทำขายหน้าบรรพบุรุษจนสิ้น” มือใหญ่ของหลี่ชิเย่คว่ำลง ปรากฏเสียงตูมดังสนั่น เปลวไฟเซียนวูบวาบไม่มีสิ้นสุด ภายใต้เปลวไฟเซียนไม่มีสิ้นสุดนี้ พลันเผาผลาญความอาฆาตพยาบาททั้งหมดของเทพแท้จริงเทียนเต๋อไปจนสิ้น เผาผลาญน้ำเลือดที่อยู่ภายในหลุมยักษ์จนกลายเป็นเถ้าธุลีไป ไม่เหลือทิ้งเลือดเสียเอาไว้แม้แต่น้อย ทำการกลั่นเขาฟันหลอทั้งลูกจนบริสุทธิ์
เสียงปังดังขึ้นเสียงหนึ่ง สุดท้าย มือขนาดใหญ่ของหลี่ชิเย่ยื่นออกไป ดูดเอาทวนราชันขวางตี้ที่ปลิวกระเด็นไปเข้ามา เปลวไฟเซียนได้ทำการเผาไหม้จนความอาฆาตพยาบาทหมดสิ้น ทำให้ทวนราชันขวางตี้ถูกทำให้บริสุทธิ์ ทวนราชันขวางตี้ที่อยู่ในมือของหลี่ชิเย่ขณะนี้เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ดูเหมือนดีใจเป็นอย่างยิ่ง ท่าทางเหมือนได้มีโอกาสเห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้งอย่างนั้น
“หนีเร็วเข้า…” ไม่ง่ายนักกว่าป้าซั่งจะได้สติคืนกลับมา หันหลังหนีจากไปทันที สี่ปราชญ์กองกำลังซั่งก็ดี ตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ก็ช่าง ทั้งหมดลุกขึ้นมาด้วยความยากลำบากและหันหลังวิ่งหนีตามกันไป นาทีนี้พวกเขารู้แล้วว่าสถานการณ์ได้จบสิ้นแล้ว
“พวกสวะกลุ่มหนึ่งเท่านั้น” หลี่ชิเย่เพียงมองดูพวกเขาตามอารมณ์ทีหนึ่ง ทวนราชันขวางตี้ในมือแทงฉึกออกไป ประกายทวนที่แหวกอากาศออกไปมีความแวววาวอย่างยิ่ง เสมือนดั่งเป็นดาวหางที่วิ่งผ่านท้องฟ้าไปอย่างนั้น ทะลุผ่านทุกสิ่งทุกอย่างในอดีต
ปุ…เสียงหนึ่งดังขึ้น หนึ่งทวนที่แหวกอากาศไป ไม่มีความกังวลใดๆ ป้าซั่ง ตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ สี่ปราชญ์กองกำลังซั่งทั้งหมดถูกพลังของทวนแทงทะลุผ่านและสังหารจนกลายเป็นหมอกเลือด ไม่มีแม้กระทั่งเสียงร้องที่น่าเวทนา
เพียงแค่พลิกฝ่ามือ ทำลายวิญญาณอาฆาตพยาบาทเทพแท้จริงเทียนเต๋อ สังหารป้าซั่ง ตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ สี่ปราชญ์กองกำลังซั่ง ทั้งหมดเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นเอง ต่อให้เป็นเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นเก้า ภายใต้พลังที่สุดสุดเช่นนี้ล้วนแล้วแต่ดุจดั่งมดปลวกไม่คู่ควรจะกล่าวถึง
ภาพลักษณะเช่นนี้ช่างสร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนเพียงใด ช่างมีอานุภาพที่สยบฟ้าดินเช่นใด เวลานี้ทุกคนต่างจ้องมองจนเซ่อไปเลย
ในขณะที่ทุกคนกำลังงงงันอยู่นั้น พลังที่สุดยอดสูงสุดได้ค่อยๆ จางหายไป ภาพมายาของผู้เฒ่ากำแหงสลายหายไป กฎเกณฑ์สัจธรรมกลับคืนสู่ปฐพี นาทีนี้หลี่ชิเย่ได้กลับไปนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรตามเดิม
นาทีนี้ หลี่ชิเย่ได้สลายกลิ่นอายทั้งตัวออกไป มือซ้ายจับทวนราชันขวางตี้เอาไว้ มือขวาถือกระบี่เซียนพิโรธ แม้ว่านาทีนี้บนตัวของหลี่ชิเย่จะปราศจากกลิ่นอายที่สะเทือนฟ้าใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ได้มีพลังที่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า แต่ตัวเขาที่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ก็คือสูงส่งที่สุด เป็นตัวแทนที่ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
เวลานี้ทุกคนล้วนแล้วแต่ถูกทำให้หวั่นไหว ไม่กล้ากระทั่งหายใจ แม้แต่สุดยอดอัจฉริยะบุคคลอย่างฉู่ชิงหลิน ยังต้องรู้สึกหวั่นไหวอย่างยิ่งขณะเงยหน้าขึ้นมองหลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้มังกร อะไรที่เรียกว่าสูงสุดยอด? นี่แหละคือสูงสุดยอดนั่น ทำให้ต้องเคารพเลื่อมใสอย่างยิ่ง ต้องก้มกราบกับพื้น เมื่อตนเองต้องมาอยู่ต่อหน้าผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานะเช่นนี้แล้ว ก็เป็นได้เพียงมดปลวกเท่านั้นเอง
“ท่านบรรพบุรุษ…” หลังจากที่หลี่เชียนได้สติคืนกลับมาแล้ว เป็นคนแรกที่ร้องเสียงดังขึ้นมา ด้วยความเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้ง
“ท่านบรรพบุรุษ…” เมื่อหลี่เชียนร้องเสียงดังขึ้นมา ทุกคนต่างร้องตามหลี่เชียน ลุกขึ้นมาแล้วคุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้งด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง หมอบกราบอยู่กับพื้น!
นาทีนี้ฐานะของหลี่ชิเย่ได้รับการยอมรับ เขาก็คือบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดได้สงสัย!
“ลุกขึ้นเถอะ” สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้เอ่ยขึ้นช้าๆ เสียงของเขาดังสะท้อนก้องอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน
แม้ว่าหลี่ชิเย่จะประทานให้ลุกขึ้นมาได้แล้ว แต่ศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังคงคำนับสามครั้งกราบเก้าครั้งแล้วจึงลุกขึ้น เป็นความเคารพออกมาจากส่วนลึกในใจที่จริงใจที่สุดของพวกเขา เนื่องจากนี่คือบรรพบุรุษของพวกเขา และคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะที่สูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงพวกเขา
“หลี่เชียน…” เวลานี้หลี่ชิเย่ได้เอ่ยขึ้นช้าๆ
หลี่เชียนก้าวไปข้างหน้า คุกเข่าก้มกราบกับพื้น คำนับสามครั้งกราบเก้าครั้งด้วยท่าทีเคารพอย่างสุดซึ้งยิ่ง และกล่าวว่า “ศิษย์อยู่นี่”
“กระบี่เซียนพิโรธเล่มนี้มอบให้พวกเจ้าที่เป็นสายของผู้พิทักษ์ ให้สายของผู้พิทักษ์เช่นพวกเจ้าเป็นผู้ครอบครอง ปกป้องระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงคงอยู่นิรันดร์” หลี่ชิเย่ได้ประทานกระบี่เซียนพิโรธให้กับหลี่เชียน
หลี่เชียนถือกระบี่เซียนพิโรธด้วยมือทั้งสองข้าง เวลานี้เขารู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน สมควรทราบว่า กระบี่เซียนพิโรธนั้นคืออาวุธบรรพบุรุษสุดยอดและสูงสุด และเป็นของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมด
ในขณะที่ทวนราชันขวางตี้ยังคงอยู่นั้น มันก็ไม่ได้เป็นของสายผู้พิทักษ์เช่นพวกเขา แต่เป็นของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงโดยรวมทั้งหมด
แต่ว่า เวลานี้หลี่ชิเย่ได้ประทานกระบี่เซียนพิโรธให้กับสายของพผู้พิทักษ์พวกเขา เท่ากับเป็นการบ่งบอกว่าพวกเขาที่เป็นสายของผู้พิทักษ์จะมีอาวุธบรรพบุรุษในครอบครอง! ซึ่งจะทำให้สายผู้พิทักษ์ของพวกเขามีความกล้าแข็งมากยิ่งขึ้น สามารถเป็นโล่ที่อยู่ด้านหลังที่แข็งแกร่งที่สุดให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
“ขอบคุณท่านบรรพบุรุษที่ประทานให้” หลี่เชียนที่ถือกระบี่เซียนพิโรธด้วยมือทั้งสองคุกเข่าโขกศีรษะให้อีกครั้งหนึ่ง
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกหวั่นไหวยิ่งนัก เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ได้มอบกระบี่เซียนพิโรธให้กับสายของผู้พิทักษ์ ทุกคนต่างก็เข้าใจ นี่เป็นการยืนยันในฐานะที่สูงส่งสายผู้พิทักษ์ของบรรพบุรุษ!
“หวังหาน…” ครั้นหลี่เชียนได้ล่าถอยไปแล้ว หลี่ชิเย่ได้เอ่ยขึ้นช้าๆ
“ศิษย์อยู่นี่…” หวังหานก้าวไปข้างหน้า คุกเข่าลงกับพื้นด้านหน้าหลี่ชิเย่ด้วยความเคารพศรัทธาอย่างสุดซึ้ง
หลี่ชิเย่ลุกจากเก้าอี้มังกรและก้าวเดินเข้ามา ทวนราชันขวางตี้ในมือแตะไปที่หน้าผากของนาง เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นกษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ปกครองดูแลเรื่องราวต่างๆ”
พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา หวังหานถึงกับเซ่ออยู่ตรงนั้น นางไม่คาดฝันมาก่อนว่า วันหนึ่งตนเองจะได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งของกษัตริย์ ความจริงแล้ว นางเองไม่เคยคิดที่จะเป็นกษัตริย์อย่างจริงจัง เพียงแต่นางไม่ต้องการให้จวนหวังของนางต้องสูญเสียอำนาจในการแย่งชิงอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเท่านั้น
ไม่นึกเลยว่า มาวันนี้หลี่ชิเย่ถึงกับแต่งตั้งให้นางได้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ซึ่งสร้างความตกใจให้กับนางโดยพลัน
“ขอบคุณคุณชายที่ประทานให้…” ไม่ง่ายนักกว่าหวังหานจะได้สติกลับมา นางก้มกราบกับพื้นตื่นเต้นจนควบคุมตนเองไม่ได้ เวลานี้น้ำตาได้ไหลเอ่อออกมา
“ฝ่าบาท…” หลังจากที่หวังหานถูกแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์แล้ว บรรดาผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ศิษย์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นของจวนหวัง หรือค่ายฉู่ รวมทั้งกองกำลังซั่ง หอศักดิ์สิทธิ์ต่างคุกเข่าลงกราบกับพื้น ให้การยอมรับฐานะกษัตริย์ของหวังหาน
ย่อมไม่ต้องสงสัย เมื่อหลี่ชิเย่แต่งตั้งให้หวังหานเป็นกษัตริย์นั้น ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเห็นด้วย ขอเพียงหลี่ชิเย่ประทานลงมาก็คือถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ขณะเดียวกันหวังหานก็จะกลายเป็นกษัตริย์ที่มีฐานะสูงส่งมากที่สุดของยุคนี้
เวลานี้หวังหานรู้สึกว่าตนเองเหมือนอยู่ในความฝัน หลังจากที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกษัตริย์ กลายเป็นกษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แต่ว่าทุกอย่างดูจะเป็นจริงอย่างยิ่ง เพียงแต่มันมาได้รวดเร็วเหลือเกิน ในใจของหวังหานยังไม่ทันได้เตรียมตัว