หลังจากที่หลี่เชียนได้ส่งพวกระดับบรรพบุรุษอย่างนักบวชหยางหมิงจากไปแล้ว หลี่ชิเย่สะบัดมือไปตามอารมณ์ ได้ยินเสียงดังตึง ตึง ตึงดังขึ้น มองเห็นกฎเกณฑ์ปฐมบรรพบุรุษที่พันธนาการบนตัวของผู้หญิงคนนั้นคลายออก คืนอิสรภาพให้กับนาง
ผู้หญิงคนนี้จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความหวาดผวาสงสัยและไม่อาจสงบจิตลงได้ นางไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าหลี่ชิเย่จะคืนความอิสรภาพให้กับตนเช่นนี้
“ซือจิ้ง จัดที่พักให้กับนาง ต้อนรับแขกให้ดี” หลี่ชิเย่สั่งการไปตามอารมณ์กับจูซือจิ้งที่ยืนอยู่ด้านหลัง
ผู้หญิงคนนี้จ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ นางไม่ได้คลายความระมัดระวังตัวที่อยู่ในใจ และกล่าวว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“ข้าจะไปทำอะไรได้?” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “หรือว่าข้าสามารถจับเจ้ากินเสียอย่างนั้นรึ? ต่อให้เป็นตัวประกันก็ต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ของตัวประกัน หรือว่าข้าต้องจับเจ้ามัดเอาไว้ตลอดเวลาอย่างนั้นรึ?”
“ใครจะไปรู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่” ผู้หญิงคนนี้ส่งเสียงฮึเย็นชาออกมาเบาๆ และกล่าวว่า “ไม่แน่นักในใจของเจ้าอาจมีแผนการอยู่ก็ได้ ฮึ คนของพรรคมารเช่นพวกเจ้าไม่แน่ว่าสามารถไว้ใจได้”
“ข้าสามารถวางแผนอะไรกับตัวเจ้าได้ล่ะ?” หลี่ชิเย่พิจารณาผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ยิ้มกล่าวว่า “พูดถึงเรื่องหน้าตามันก็แค่พื้นๆ เท่านั้นเอง มาเป็นนังหนูอุ่นเตียงให้กับข้าก็ฝืนเหลือเกิน เจ้าว่าข้ายังจะมุ่งหวังอะไรตัวเจ้าได้? ข้าคงไม่ถึงขั้นหิวโซถึงขนาดกินไม่เลือกกระมัง”
“เจ้า…” ใบหน้าของผู้หญิงพลันแดงก่ำและจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นัยน์ตาของนางแทบจะพ่นเป็นเพลิงแห่งความโกรธออกมาแล้ว
ไม่ว่าผู้หญิงไหนๆ ก็ต้องใส่ใจในรูปโฉมของตน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางทีเดิมก็คือสุดยอดหญิงงามในหล้าที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าหวู่ปิงหนิงจะไม่ใช่สาวงามอันดับหนึ่งของแดนลัทธิพรรษ แต่ว่า ชั่วดีอย่างใดนางก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของจูเซียงหวู่ถิง บุรุษที่หลงใหลในตัวของนางไม่รู้ว่ามีจำนวนอยู่เท่าใด
เรียกได้ว่านางมั่นใจเต็มเปี่ยมในรูปโฉมของตนเลยทีเดียว และมีความสำรวมอยู่สามส่วน มาวันนี้หลี่ชิเย่ถึงกับบอกว่านางมีหน้าตาพื้นๆ กระทั่งมีท่าทีที่รังเกียจด้วยซ้ำ แล้วจะไม่ในนางโกรธจนเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร
“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าปากเหม็นมาก!” ผู้หญิงที่ชื่อหวู่ปิงหนิงถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและเอ่ยขึ้น
หากไม่เป็นเพราะตกอยู่ในฐานะของนักโทษ ไม่แน่นักนางอาจจะแยกเขี้ยวกางเล็บลุยเข้าไป จะต้องฉีกปากเหม็นๆ ของหลี่ชิเย่ให้กระจุยแน่นอน
“เจ้าไม่เคยได้ชิม แล้วรู้ได้อย่างไรว่าปากข้าเหม็น?” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “หรือว่าเจ้าอยากจะลิ้มลองอย่างนั้นรึ?”
“เจ้าคนวิปริต…” หวู่ปิงหนิงพลันถูกยั่วโมโหจนแทบกระอักเลือด ใบหน้าแดงก่ำ คล้ายดั่งทาลิปติกอย่างนั้น นางถูกหลี่ชิเย่ยั่วโมโหจนตัวสั่นเทา
ครั้นหลี่ชิเย่มองเห็นนางที่โมโหจนตัวสั่นเช่นนั้นถึงกับพูดหยอกไปว่า “ต่อให้ข้าวิปริตมากไปกว่านี้ ก็จะไม่ยื่นมือของข้าไปหาเจ้า เจ้ามันแห้งเกินไป คนอย่างข้าชอบเลือกแต่ที่มีประโยชน์ต่อข้า” กล่าวพลางพิจารณานางตั้งแต่หัวจรดเท้า ท่าทางเหมือนกำลังพิจารณาว่าควรจะเลือกลงมือตำแหน่งไหนบนตัวก่อนดี
“จิตวิปริต…” หวู่ปิงหนิงรู้สึกขนลุกซู่ในใจ นางรู้สึกเหมือนตัวเองนั้นเปลือยกายล่อนจ้อนเมื่ออยู่ภายใต้สายตาของหลี่ชิเย่ เหมือนว่าตัวเองไม่ได้สวมใส่อะไรเลยถูกเขามองเห็นจนทะลุปรุโปร่ง ตกใจจนต้องกระโดดหนีและเอี้ยวตัวเพื่อหลบหลีกสายตาของหลี่ชิเย่
จูซือจิ้งที่อยู่ด้านข้างถึงกับเม้มปากหัวเราะเบาๆ เมื่อได้เห็นหลี่ชิเย่พูดจาแทะโลมหวู่ปิงหนิง
“เอาล่ะ หยอกเจ้าเล่นเท่านั้น” หลี่ชิเย่หัวเราะและโบกมือสั่งการกับจูซือจิ้งว่า “สั่งการให้ศิษย์ในสำนักดูแลแขกให้ดีๆ”
“แม่นาง ตามข้ามาเถอะ” จูซือจิ้งรีบกล่าวต่อหวู่ปิงหนิง
ขณะที่หวู่ปิงหนิงกำลังเดินจากไปได้ส่งเสียงฮึแสดงความไม่พอใจออกมา จ้องมองหน้าหลี่ชิเย่อย่างนักเลง หากไม่เป็นเพราะต้องอาศัยอยู่ใต้ชายคาจำเป็นต้องอ่อนข้อให้ล่ะก็ นางจะต้องแลกกับเจ้าคนวิปริตนี้อย่างแน่นอน
“นั่นสิ ลืมบอกเจ้าไปเรื่องหนึ่ง” จังหวะที่หวู่ปิงหนิงกำลังติดตามจูซือจิ้งเดินจากไปอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้ยิ้มแต้กล่าวว่า “อย่าได้คิดก่อเรื่องในถิ่นของข้า หรือคิดหาทางที่จะหนีไป เกิดทำให้ข้าโกรธขึ้นมาล่ะก็ ข้าจะจับเจ้าแก้ผ้าล่อนจ้อนแล้วไปแขวนเอาไว้ด้านนอกของราชสำนัก ดังนั้น เจ้าจะทำตัวเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายหรือไม่คิดเอาเองก็แล้วกัน”
คำพูดเชิงข่มขู่ของหลี่ชิเย่ทำเอาหวู่ปิงหนิงโกรธจนคันปาก นางส่งเสียงฮึออกมาแล้วไม่ได้อะไรอีก เดินตามจูซือจิ้งจากไป
หลังจากที่หลี่เชียนได้ส่งพวกของนักบวชหยางหมิงจากไปแล้ว ได้กลับมาพบกับหลี่ชิเย่
“อีกไม่กี่วันข้าก็จะไปจาก” หลี่ชิเย่สั่งการกับหลี่เชียนว่า “อนาคตของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ต้องอาศัยพวกเจ้าเองแล้ว”
“ท่านบรรพบุรุษจะจากไปแล้วรึ?” หลี่เชียนถึงกับตระหนกและเอ่ยขึ้น
“ถูกต้อง ถึงเวลาต้องไปแล้ว” หลี่ชิเย่หัวเราะและมองไปที่ระยะห่างไกล แน่นอน การมาที่แดนสามเซียนของเขาในครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
การได้มาที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนับว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง และถือโอกาสให้ผลกรรมระหว่างเขากับตาเฒ่าสิ้นสุดลง
“เรื่องนี้” หลี่เชียนถึงกับเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “หากท่านบรรพบุรุษไม่สะดวก ให้ศิษย์ไปแทนบท่านบรรพบุรุษสักครั้ง เพื่อขอโทษต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแต่ละแห่งก็ได้”
หลี่ชิเย่มองดูหลี่เชียนแล้วถึงกับหัวเราะขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า “นี่เจ้ากังวลในความปลอดภัยของข้า หรือว่าเป็นกังวลให้กับบรรดาเหล่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ กันแน่เล่า”
หลี่เชียนแสดงท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อหลี่ชิเย่พูดแทงใจดำเข้าให้ ได้แต่หัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวด้วยท่าทีผะอืดผะอมว่า “ศิษย์ยินดีแบ่งเบาภาระให้กับท่านบรรพบุรุษ”
“ข้ารู้ว่าในใจของเจ้าคิดอย่างไร” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวเมินเฉยว่า “การที่ข้าไปจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปอธิบายให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ เสมอไป ข้าก็มีเรื่องอื่นๆ และสมควรแก่เวลาที่ข้าต้องไปจากแล้ว”
“ไม่ทราบว่าท่านบรรพบุรุษต้องการเดินทางไปที่ใด? ไประบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแห่งไหนก่อน?” หลี่เชียนทำท่าลังเลนิดหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ
“หุบเขาอมตะ” หลี่ชิเย่มองไปยังที่ที่ห่างไกล เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ยาเม็ดอายุวัฒนะของหุบเขาอมตะได้รับยกย่องว่าเป็นสุดยอดหนึ่งไม่มีสองในหล้าของแดนลัทธิพรรษ สมควรแก่เวลาที่ข้าจะต้องไปดูสักหน่อย”
กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่ที่ศึกษาเรื่องของยาเม็ดอายุวัฒนะ จะอย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษใดๆ ก็ตาม เมื่อก้าวถึงระดับหนึ่งแล้วก็ต้องให้ความสนใจในยาเม็ดอายุวัฒนะ จะอย่างไรเสียมีใครบ้างเล่าที่ไม่ต้องการความเป็นอมตะและไม่ตาย?
แน่นอน หลี่เชียนเข้าใจผิดในความหมายของหลี่ชิเย่ เขาเข้าใจว่าหลี่ชิเย่เสาะแสวงหาความเป็นอมตะไม่มีวันตาย ความจริงหลี่ชิเย่เพียงต้องการรู้ถึงเบื้องหลังความลึกซึ้งและยอดเยี่ยมของความเป็นอมตะเท่านั้นเอง
“ไม่ทราบว่าเที่ยวนี้ท่านบรรพบุรุษจะไปนานเท่าไร และจะกลับมาเมื่อใด?” สุดท้ายหลี่เชียนได้เอ่ยถามขึ้นเบาๆ
หลี่ชิเย่มองดูเขาแวบหนึ่ง และกล่าวว่า “เจ้าคาดหวังให้ข้ารั้งอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงน่ะสิ”
“ไม่ใช่เป็นความคาดหวังของศิษย์ เกรงว่าศิษย์ทุกระดับชั้นของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต่างกระหายอยากให้ท่านบรรพบุรุษสามารถรั้งอยู่ต่อไป ขอเพียงมีท่านบรรพบุรุษอยู่เป็นแกนหลักให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ทุกระดับชั้นในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงล้วนแล้วแต่สามารถสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” หลี่เชียนกล่าว
คำพูดนี้ของหลี่เชียนใช่จะเป็นคำที่ประจบ ที่พูดมานั้นเป็นความจริง ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีใครบ้างที่มีบารมีมากไปกว่าหลี่ชิเย่ ขอเพียงหลี่ชิเย่อยู่ก็สามารถสั่งการศิษย์คนใดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ได้ สามารถทำให้ทุกระดับชั้นของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ซึ่งเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อการที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจะผงาดขึ้นมา
“ทุกคนต่างมีเส้นทางของตนเองที่ต้องก้าวเดินไป ทุกๆ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิก็เช่นกัน” หลี่ชิเย่มองดูหลี่เชียนและกล่าวท่าทีเมินเฉยว่า “ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงสืบทอดมานานถึงเพียงนี้ หาใช่ประเภททารกแรกเกิดมานานมากแล้ว มันไม่จำเป็นต้องอาศัยใครสักคนไปพยุงให้มันค่อยๆ ก้าวเดินไปทีละก้าวๆ…”
“…ถ้าหากจำเป็นเช่นนั้นล่ะก็ เช่นนั้นแล้วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็จะไม่มีวันเติบโตขึ้นมาได้ตลอดไป และไม่สามารถแข็งแกร่งได้ตลอดไป มันเป็นได้เพียงดอกไม้ที่อยู่ภายในห้องที่ต้องคอบประคบประหงมเท่านั้นเอง ไม่เคยเตรียมความพร้อมที่จะไปเผชิญกับพายุฝนฟ้าคะนองภายนอกตลอดไป ดังนั้น กล่าวได้ว่าการจากไปของข้าถือเป็นบททดสอบอย่างหนึ่งสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง และเป็นโอกาสอย่างหนึ่ง สิ่งที่ควรจะทำข้าก็ได้ทำให้แล้ว สิ่งที่ควรเตรียมไว้ให้ข้าก็ได้เตรียมให้แล้ว หนทางส่วนที่เหลือก็ต้องให้พวกเจ้าเดินไปเอง ขอเพียงพวกเจ้าสามารถก้าวเดินออกมาได้ด้วยตนเอง จึงจะทำให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีความแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างแท้จริง”
“ท่านบรรพบุรุษสั่งสอนได้ถูกต้อง ศิษย์จะจดจำคำพูดของท่านบรรพบุรุษให้มั่น” หลี่เชียนได้กล่าวและแสดงคารวะด้วยการโค้งคำนับอย่างลึกซึ้งหลังจากฟังคำพูดของหลี่ชิเย่แล้ว
หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังมีหนทางที่ต้องก้าวเดินอีกยาวไกลมาก ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความพยายามของพวกเจ้าเองแล้ว”
หลี่เชียนถึงกับยิ้มเจื่อนๆ และทอดถอนใจออกมาเบาๆ เขาเองก็รู้ว่าหนทางในอนาคตของพวกเขาไม่ง่ายนัก เป็นภารกิจที่หนักหน่วงและยาวไกล แต่ทว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หลี่ชิเย่ได้เปิดเกมที่ดีให้กับพวกเขาแล้ว เส้นทางในขณะนี้ก้าวเดินได้ง่ายกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว
“ท่านบรรพบุรุษต้องการไปที่ใดรึ? เป็นแดนลัทธิเซียน? หรือสถานที่ห่างไกลมากกว่านี้?” หลังจากที่หลี่เชียนนิ่งเงียบไปพักหนึ่งได้เอ่ยถามขึ้นเบาๆ
“เจ้าต้องการถามถึงที่พักพิงสุดท้ายน่ะสิ” หลี่ชิเย่กล่าวเมินเฉยขึ้นมา
หลี่เชียนก็พูดออกมาตามตรงว่า “สิ่งนี้เป็นเพียงความอยากรู้อยากเห็นของศิษย์เท่านั้นเอง ราชันแท้จริง ปฐมบรรพบุรุษล้วนแล้วแต่มีที่พักพิงสุดท้ายเป็นที่ใดล่ะ? ขอท่านบรรพบุรุษโปรดชี้แนะทางสว่างให้ด้วย”
ความจริงแล้ว ปัญหาข้อนี้ใช่เพียงแต่หลี่เชียนเท่านั้นที่รู้สึกแปลกใจ ผู้คนจำนวนมากต่างก็แปลกใจ เนื่องจากกาลเวลาที่เคลื่อนผ่านไป ราชันแท้จริง และหรือปฐมบรรพบุรุษของทุกยุคทุกสมัยก็ต้องค่อยๆ หายตัวไปอย่างช้าๆ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปอยู่ ณ ที่ใด บางคนบอกว่าพวกเขาได้แก่ตายไปแล้ว บ้างก็บอกว่าพวกเขาได้ไปยังสถานที่ที่ห่างไกลมากไปกว่านี้ ด้วยการมีที่พักพิงสุดท้ายที่ผู้คนบนโลกไม่รู้
กระทั่งมีผู้คนลังเลว่า บนโลกนี้ยังคงมีสถานที่อยู่ที่หนึ่ง สถานที่แห่งนั้นมีชื่อว่าแดนอมตะ แหล่งสุดท้ายที่พวกของราชันแท้จริง ปฐมบรรพบุรุษไปก็คือสถานที่เช่นนี้ อยู่ในแดนอมตะเช่นนี้ไม่ตายไม่ดับ
“ถ้าหากเจ้ายังก้าวไปไม่ถึงความสูงระดับนั้น รู้ไปแล้วจะเป็นเช่นใด? มันแค่เพิ่มความทุกข์โดยไม่จำเป็นเท่านั้น จงก้าวเดินไปทีละก้าวๆ เถอะ ถ้าหากเจ้าสามารถก้าวไปถึงระดับอมตะ บางทีเจ้าอาจจะมีสิทธิ์ได้รู้บ้างนิดหนึ่งสักวัน” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
หลี่ชิเย่มีความทรงจำในครอบครองเป็นจำนวนมาก ยิ่งกว่านั้นยังได้อ่านตำราที่เป็นประวัติศาสตร์ ความลับดึกดำบรรพ์มาจำนวนนับไม่ถ้วน สิ่งที่รู้อยู่ในใจยิ่งใหญ่ไพศาลมาก โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับที่พักพิงสุดท้ายบางอย่างของแดนสัทธิสามเซียน เขามีเค้าโครงอยู่ในใจมานานมากแล้ว
“ศิษย์จะจดจำให้มั่น” หลี่เชียนโค้งคำนับอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายได้เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “หากท่านบรรพบุรุษได้พบเจอกับท่านปฐมบรรพบุรุษ ช่วยเรียนท่านว่าลูกหลานที่เป็นชนรุ่นหลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงขอแสดงความคารวะและความห่วงใยต่อท่าน”
“พูดเช่นนี้ แสดงว่าเจ้าคิดว่าผู้เฒ่ากำแหงยังมีชีวิตอยู่น่ะสิ?” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมา
“การกระทำของท่านปฐมบรรพบุรุษไหนเลยพวกเราสามารถคาดการณ์ได้” หลี่เชียนยิ้มเจื่อนๆ ได้แต่พูดเช่นนี้
สิ่งนี้ใช่เพียงแต่หลี่เชียนเท่านั้นที่สงสัย ความจริงแล้ว ปรัชญาเมธีจำนวนมากกระทั่งราชันแท้จริงก็เคยสังสัย
เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมา ปฐมบรรพบุรุษของแดนสามเซียนล้วนแล้วแต่ไร้ร่องรอย ไม่มีใครรู้ว่าปฐมบรรพบุรุษเหล่านั้นของแดนสามเซียนไปไหน
แต่หนึ่งเดียวที่น่าสนใจก็คือ ผู้เฒ่ากำแห่งถึงกับบอกกล่าวต่อลูกหลานของตนว่า ตัวเองนั้นฝังร่างอยู่ในหุบเหวบรรพบุรุษ สักวันหนึ่งจะต้องสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมา และกลายเป็นเซียน
สิ่งนี้แหละที่คู่ควรให้ชนรุ่นหลังไปคิดอย่างรอบคอบ ชนรุ่นหลังจำนวนมากต่างเข้าใจว่าผู้เฒ่ากำแหงไม่ได้ตาย
สำหรับการคาดการณ์ของหลี่เชียนนั้น หลี่ชิเย่เพียงหัวเราะทีหนึ่งเท่านั้นโดยไม่ได้เฉลย
……………………………………………..