จำนวนนับไม่ถ้วนที่ส่งเสียงคำรามและโหมสาดซัดเข้ามาอย่างรุนแรง เหมือนดั่งเป็นสัตว์ยักษ์ในยุคดึกดำบรรพ์อย่างนั้น ทอดสายตามองออกไป เหมือนว่าที่ตรงนี้คือโลกแห่งแมกมา เป็นทะเลแมกมา แมกมาที่กว้างใหญ่ไพศาลส่งเสียงคำรามและไหลเชี่ยวกราก เหมือนเป็นคลื่นของสัตว์อย่างนั้น
ขณะที่แมกมาที่ไหลเชี่ยวกรากพลิกตัวขึ้นสูงนั้น เหมือนคลื่นยักษ์ที่พุ่งสาดซัดใส่ท้องฟ้า เมื่อแมกมาที่น่ากลัวโยนตัวขึ้นสูง ได้ยินเสียงดังจี๊ด จี๊ด จี๊ดที่หลอมละลายทะลุช่องว่างดังขึ้นมา
เหมือนว่าที่ตรงนี้แหละที่เป็นโลกของพวกมัน เหมือนว่าที่ตรงนี้ที่เป็นสถานที่กำเนิดของแมกมาทั้งหมด เฉกเช่นแมกมาหล่านั้นที่อยู่ในดินแดนต้นกำเนิดไฟนั้น เป็นเพียงแมกมาจากที่ตรงนี้ที่หลอมละลายช่องว่างแล้วรั่วไหลออกไป
เวลานี้ ภายใต้การปกคลุมของเปลวไฟ แม้ว่าแมกมาบริเวณนี้ได้สาดเข้ามาดั่งห่าฝนใส่ร่างของหลี่ชิเย่ และหวู่ปิงหนิงก็ตาม ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกกันเอาไว้อยู่ด้านนอกไม่สามารถทำอันตรายพวกเขาได้แม้แต่น้อย เหมือนว่าเปลวไฟที่อยู่บนตัวของพวกเขากับแมกมาล้วนแล้วแต่กำเนิดจากแหล่งเดียวกัน จึงไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้ก้าวเข้าไปยังโลกของแมกมาแล้ว ได้ร้องเสียงทุ้มต่ำขึ้นมาว่าไป พลันที่พูดขาดคำ ไม้บรรทัดวัดสวรรค์ในมือของเขาได้ลอยออกไป
ปุ ปุ ปุ…เสียงแฉลบดังขึ้นเป็นระลอก มองเห็นไม้บรรทัดวัดสวรรค์ที่คล้ายดั่งเป็นบูมเมอแรงที่สไลด์ไปตามพื้นผิวของแมกมา ทำให้เกิดเป็นลายน้ำระลอกคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า เวลานี้ลายน้ำระลอกคลื่นทั้งหมดได้กลายเป็นระรอกคลื่นที่ขึ้นลงอยู่ท่ามกลางทะเลแมกมา
ตามติดด้วยเสียงดังตูม ตูม ตูมที่ดังตูมตามขึ้นมาเป็นระลอก มองเห็นแมกมาที่ขึ้นลงสลับ คลื่นแมกมาที่เหมือนดั่งเกลียวคลื่นที่โหมสาดซัด บนพื้นผิวทะเลแมกมาปรากฏเป็นรอยแยกขนาดใหญ่ คล้ายดั่งมีสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารจะโผล่ขึ้นมาเหนือทะเลแมกมาอย่างนั้ย
ช่าาา ช่าาา ช่าาาเสียงเหมือนน้ำที่พุ่งลงดังขึ้น ในขณะนี้ปรากฏใต้กแมกมาถึงกับมีสะพานหินค่อยๆ ยกตัวขึ้นมา โดยที่สะพานหินแห่งนี้สร้างขึ้นมาจากหินสีแดง และสะพานทั้งสายเหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน วิจิตรพิสดารเสมือนดั่งเทพหรือผีเป็นผู้สร้างขึ้น เหมือนไม่ใช่เกิดจากฝีมือของมนุษย์ แต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
หลังจากที่สะพานนี้ถูกยกขึ้นมาแล้ว มันเชื่อมต่อไปถึงจักรวาล เหมือนว่าลึกเข้าไปยังจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต และก็คล้ายดั่งเชื่อมไปยังโลกอีกโลกหนึ่ง
“ขึ้นไปเถอะ” ในเวลานี้ ไม้บรรทัดวัดสวรรค์ได้บินกลับมาเข้ามือของหลี่ชิเย่ตามเดิมแล้ว เขาจับมือที่ขาวนุ่มนวลและงดงามของหวู่ปิงหนิงก้าวขึ้นไปบนสะพานหินเพียงก้าวเดียว
หวู่ปิงหนิงอ่อนหวานและคล้อยตามยิ่งนัก ปล่อยให้หลี่ชิเย่จับมือของนางและกระโดดขึ้นไปบนสะพานหิน
ขณะที่มือใหญ่ของหลี่ชิเย่ที่ดูจะหยาบกร้านอยู่บ้างกุมมือที่อ่อนนุ่มของนางเอาไว้นั้น ปรากฏความรู้สึกที่ปลอดภัยลุกลามไปทั่วร่างของนาง ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ พริบตาเดียวนั่นเอง หลี่ชิเย่ดูจะคู่ควรให้นางไปให้ความไว้ใจ และช่างคู่ควรให้นางไปพึ่งพาอาศัยอย่างนั้น
ต่อให้เวลานี้นางตกอยู่ในสถานที่ที่อันตรายที่สุดในโลก ขอเพียงมีหลี่ชิเย่จับมือของนางเอาไว้ มันช่างรู้สึกปลอดภัยและคู่ควรให้นางไปพึ่งพา ต่อให้ฟ้าถล่มลงมานางก็ไม่ต้องไปกังวล
“เป็นอะไรไปรึ?” ขณะที่จิตของหวู่ปิงหนิงกำลังล่องลอยอยู่นั้น ปรากฏเสียงหยอกล้อและหัวเราะของหลี่ชิเย่ดังขึ้นที่ข้างหูว่า “หรือต้องการให้ข้าอุ้มเจ้าแล้วเดินไปกันเล่า?”
หวู่ปิงหนิงได้สติคืนกลับมาและได้ยินคำพูดที่หยอกล้อตนแล้ว พลันรู้สึกใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นมา โดยเฉพาะยามที่เงยหน้าแล้วมองเห็นดวงตาทั้งสองที่ลึกล้ำฉลาดเฉียบแหลมและมีสายตาที่ยาวไกลแล้ว เสมือนดั่งเป็นแรงดึงดูดที่รุนแรงมาก ทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง
หวู่ปิงหนิงรีบหันหน้าไปทางอื่น ไม่กล้าจ้องมองหลี่ชิเย่ให้มากกว่านี้ ทั้งอับอายทั้งเคือง กระทืบเท้าใส่ปลายเท้าของหลี่ชิเย่อย่างแรงทีหนึ่งอย่างเคืองๆ และกล่าวว่า “ดีใจจนออกนอกหน้า อย่าฝันกลางวันอีกเลย คิดจะเอาเปรียบข้าฝันไปเถอะ!”
ในสภาพเช่นนี้ ทำให้หวู่ปิงหนิงทั้งอับอายทั้งเคือง แต่ว่า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงรู้สึกหวานชื่นอยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก การเกี้ยวพาราสีเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกเบิกบานใจ ทำให้นางช่างมีความสุขเหลือเกิน ทิ้งความกลัดกลุ้มทุกอย่างไว้ข้างหลัง
“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ ยังมีระยะทางอีกยาวไกลนะ” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา และไม่สนใจว่าหวู่ปิงหนิงจะเห็นด้วยหรือไม่ จูงมือของนางก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
หวู่ปิงหนิงทั้งอายและหวานชื่น ปล่อยให้หลี่ชิเย่จูงมือไปตามความปรารถนา นางที่ปรกติมีท่าทีที่ข่มและเหนือผู้คน เวลานี้กลับเผยให้เห็นถึงท่าทีความเขินอายของเด็กผู้หญิงออกมา ใบหน้าแดงแดงระเรื่อ นางก้มหน้าเดินตามหลี่ชิเย่ไปยังอ่อนหวานและคล้อยตาม
หลี่ชิเย่พาหวู่ปิงหนิงขึ้นไปยังสะพานหินที่คดเคี้ยวมุ่งหน้าไปยังจักรวาลด้วยระยะทางที่ยาวไหล หลี่ชิเย่พาหวู่ปิงหนิงก้าวไปข้างหน้าซึ่งดูเหมือนเดินไม่เร็วนัก แต่ความจริงคือหนึ่งก้าวหนึ่งฟ้าดิน ก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็คือมิติอีกมิติหนึ่ง
อีกทั้งการก้าวแต่ละก้าวออกไปล้วนแล้วแต่พิถีพิถันอย่างยิ่ง ทุกๆ ก้าวที่ลงเท้าไปล้วนแล้วแต่มีลวดลายเต๋าปรากฎขึ้นมา โดยลวดลายเต๋ากระเพื่อมขึ้นลงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา คล้ายดั่งคลื่นน้ำที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างนั้น ยามที่ลวดลายเต๋าเช่นนี้กระเพื่อมขึ้นลงทำให้ช่องว่างทั้งห้องต้องกระเพื่อมขึ้นลงเป็นลูกคลื่นตาม
ดูไปแล้วเหมือนว่าหลี่ชิเย่พาหวู่ปิงหนิงก้าวเดินอยู่บนสะพานหิน แท้จริงแล้วสะพานหินเป็นเพียงรองรับร่างกายเท่านั้น ทุกย่างก้าวของพวกเขาล้วนแล้วแต่ก้าวเดินอยู่ในช่องว่าง แค่อาศัยลงเท้าบนสะพานหินเท่านั้น
หวู่ปิงหนิงปราศจากซุ่มเสียงไปตลอดทาง ติดตามหลี่ชิเย่ก้าวเดินไปทีละก้าวๆ นางเดินก้มหน้า บางครั้งได้เงยหน้าขึ้นมองหลี่ชิเย่ แต่ก็ก้มหน้าลงอีก
เทพสงครามสตรีที่ปรกติมีท่าทีที่เหนือผู้คนไม่เคยหวาดหวั่นต่อสิ่งใด กลับปรากฏท่าทางที่เอียงอายของเด็กผู้หญิง ความรักระหว่างชายหญิงลักษณะเช่นนี้นับว่างดงามยากจะหาสิ่งใดมาเทียบเทียม ไม่สามารถอาศัยตัวอักษรมาเปรียบเปรยความงดงามของนางในขณะนี้ได้
ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ เวลาได้หลั่งรินผ่านไปเงียบๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทันใดนั้นหวู่ปิงหนิงกระหายอยากให้เวลาหยุดอยู่เช่นนี้ตลอดไป คาดหวังให้เส้นทางสายนี้สามารถก้าวเดินไปสู่นิรันดร์ ด้วยการก้าวเดินไปเช่นนี้ตลอดไป
“คราวนี้เจ้าโชคดีไม่เบาเลย ถึงกับได้บุปผาอัคคีเย็นยะเยือกมา” สุดท้ายหลี่ชิเย่ปริปากยิ้มกล่าวขึ้นมา และทำลายบรรยากาศที่ลึกซึ้งระคนกับความเก้อเขินยิ่งของพวกเขาลง
“เป็นคางคกตัวนั้นของเจ้าพาข้าไปได้มาจากถ้ำหินแห่งหนึ่ง” หวู่ปิงหนิงเอ่ยขึ้นเมื่อได้สติกลับมา
ดอกไม้ที่โผล่ขึ้นใต้เท้าของหวู่ปิงหนิงเมื่อครู่ก็คือ ‘บุปผาอัคคีเย็นยะเยือก’ ที่หลี่ชิเย่พูดถึง ดอกไม้นี้มีความล้ำค่าเป็นพิเศษ มันสามารถพวยพุ่งเปลวไฟที่เย็นยะเยือกออกมา ทั้งยังสามารถสยบไฟร้อนแรงต่างๆ นานาได้ เรียกได้ว่าเป็นดอกไม้ที่ประหลาดและล้ำค่ายิ่งดอกหนึ่ง
“นั่นไม่ใช่คางคก” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าหัวเราะและกล่าวว่า “มันมีชื่อว่าเตาหมื่นเทพ มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก สามารถกลืนกินเชื้อไฟทุกอย่างบนโลก สามารถกลืนกินโอสถวิเศษทุกชนิดบนโลก ตัวมันเองก็คือเตากลั่นโอสถที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นโอสถขนานหนึ่งที่ประเมินค่าไม่ได้”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ทำให้หวู่ปิงหนิงถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง นางเองก็นึกไม่ถึงว่าเตาหมื่นเทพที่น่าเกลียดเช่นนี้ถึงกับยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ แต่ว่า นางติดตามเตาหมื่นเทพไปตลอดทางก็รู้สึกว่ามันมหัศจรรย์ยิ่ง สามารถท่องไปในดินแดนต้นกำเนิดไฟได้อย่างอิสระเสรี ไม่มีสิ่งใดกั้นขวางมันได้ สถานที่หลายแห่งกระทั่งเทพแท้จริงก็ไม่กล้าไป มันกลับไม่สนใจทั้งสิ้น ต่อให้เป็นเปลวไฟที่ร้อนแรงมากกว่านี้ แมกมาที่น่ากลัวยิ่งกว่านี้ มันก็สามารถก้าวเดินไปดั่งทางที่ราบเรียบ
“นี่มันจะเชื่อมไปยังสถานที่ใดกันแน่?” ไม่ง่ายนักกว่าหวู่ปิงหนิงจะได้สติกลับมา และมองออกว่าสะพานหินแห่งนี้ไม่มีจุดสิ้นสุดอย่างนั้น
ในเวลานี้ พวกเขาได้ห่างจากทะเลแมกมานั้นไปไกลมากแล้ว ได้เชื่อมต่อไปถึงจักรวาล ในขณะนี้รอบตัวของพวกเขาปรากฎเป็นดวงตะวันจันทราแลดวงดาวที่สลับกันไปมา สามารถมองเห็นดวงดาวขนาดใหญ่แต่ละดวงที่วิ่งผ่านไป ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถมองเห็นทางช้างเผือกที่กว้างใหญ่ไพศาลคล้ายเป็นวังวนสีเงินที่บินเฉียดไป ภาพที่มองเห็นตรงหน้าดูอลังการเป็นอย่างยิ่ง เหมือนว่าพวกเขากำลังก้มลงมองดูโลกๆ หนึ่งอย่างนั้น เป็นที่ประทับใจยิ่งนัก
“แค่ต้องการหยิบสิ่งของสิ่งหนึ่งเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ดินแดนต้นกำเนิดไฟได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นกำเนิดไฟ ที่ผู้คนบนโลกได้เห็นมันแค่ภาพที่ปรากฎในจินตนาการเท่านั้นเอง ที่มองเห็นก็แค่ผิวเผินนิดเดียวเท่านั้น ความใหญ่โตของต้นกำเนิดไฟนั้นอยู่เหนือจินตนาการของทุกๆ คน สถานที่ที่เรียกว่าดินแดนต้นกำเนิดไฟนั้นเป็นเพียงแค่ปากทางเข้าเท่านั้น มันก็คล้ายดั่งเป็นบริเวณปากปล่องภูเขาไฟอย่างนั้น ดินแดนต้นกำเนิดไฟที่ผู้คนบนโลกมองเห็นนั้น ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเปลวไฟ หรือแมกมา มันก็แค่ส่วนน้อยนิดมากๆ ที่รั่วไหลออกมาจากต้นกำเนิดไฟทั้งหมดเท่านั้นเอง”
ครั้นหลี่ชิเย่ตรงนี้แล้วหยุดนิดหนึ่ง แล้วพูดต่อไปว่า “ผู้คนรุ่นหลังต่างเข้าใจว่าเซียนโอสถได้ลากเอาดินแดนต้นกำเนิดไฟทั้งหมดลงมาจากต่างช่องว่าง นำมาฝังเลี่ยมเอาไว้ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ แต่กลับไม่รู้ว่า ขนาดความใหญ่โตของดินแดนต้นกำเนิดไฟนั้นเกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้ กระทั่งกล่าวได้ว่าดินแดนต้นกำเนิดไฟทั้งหมดคล้ายดั่งเป็นโลกๆ หนึ่ง หากคิดจะลากเอาดินแดนต้นกำเนิดไฟทั้งหมดลงมาไว้ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะล่ะก็ เกรงว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่งคงยากจะรองรับเอาไว้ได้ ดังนั้น ในครั้งนั้นเซียนโอสถเพียงแค่ลากเอาส่วนที่เป็นปากทางเข้าลงมาไว้ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเท่านั้น และปรากฎเป็นดินแดนต้นกำเนิดไฟในวันนี้”
เมื่อหวู่ปิงหนิงได้ฟังคำเช่นนี้แล้วถึงกับตื่นตระหนกยิ่งนัก นางเองก็ไม่ทราบมาก่อนว่าดินแดนต้นกำเนิดไฟยังมีความลับเช่นนี้อยู่ นางยังเข้าใจว่าดินแดนต้นกำเนิดไฟก็เหมือนดั่งที่มีอยู่ในตำนานอย่างนั้น
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เมื่อหวู่ปิงหนิงได้สติกลับมา จึงกล่าวว่า “เจ้า เจ้าต้องการไปเอาสุดยอดของวิเศษชิ้นนั้นของดินแดนต้นกำเนิดไฟรึ?”
มีคำเล่าลือกันมานานมากแล้วว่า ในดินแดนต้นกำเนิดไฟมีสุดยอดของวิเศษที่ฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่งและยอดเยี่ยมมากซ่อนอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีใครค้นพบ กระทั่งเคยมีราชันแท้จริงไปค้นหาก็ไม่พบเช่นกัน
“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ต้นกำเนิดไฟนี้มีประวัติความเป็นมาที่ลือลั่น สุดยอดของวิเศษที่ว่านั้นมีต้นกำเนิดสายเดียวกันกับมัน คิดจะได้มันมาใช่เป็นเรื่องง่ายดาย ในครั้งนั้น เซียนโอสถก็รับรู้ถึงความลึกซึ้งและยอดเยี่ยมของมันมาบ้าง แต่ก็จนด้วยเกล้า”
“แล้วเจ้าไปดูเรื่องนี้มาได้อย่างไรกัน?” หวู่ปิงหนิงถึงกับจ้องมองหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง ถ้าหากบอกว่าหลี่ชิเย่คือบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงล่ะก็ ในใจของหวู่ปิงหนิงไม่อยากจะเชื่อนัก เนื่องจากสิ่งที่หลี่ชิเย่รับรู้นั้น มันเกินกว่าขอบเขตของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไปแล้ว
“เรื่องราวบนโลกที่ข้าไม่รู้นั้นน้อยมาก” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เป็นต้นว่าหวู่จู่ของจูเซียงหวู่ถิงพวกเจ้าเคยปลูกสิ่งหนึ่งเอาไว้ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของพวกเจ้าเอาไว้ กลับปิดข่าวไม่ให้คนอื่นได้รู้”
“เจ้า เจ้าไปรู้มาได้อย่างไร?” คำพูดนี้สร้างความตระหนกแก่หวู่ปิงหนิงอย่างยิ่ง มีเรื่องเช่นนี้ในจูเซียงหวู่ถิงของพวกเขาจริงๆ เพียงแต่มีอยู่ในบันทึกเท่านั้น ผู้คนรุ่นหลังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ แม้แต่นางเอง ก็มีโอกาสได้ไปอ่านบันทึกที่เป็นความลับและตำราโบราณต่างๆ ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ หลังจากได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดแล้ว
“ขยันอ่านตำราให้มาก” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “กล่าวสำหรับข้าแล้ว ไม่มีเรื่องแปลกใหม่ภายใต้ดวงตะวันนี้ กำแพงที่ไม่มีช่องในโลกนี้ไม่มีอยู่จริง ขอเพียงเจ้ามีความรู้ที่กว้างไกลอย่างเพียงพอ ก็สามารถประติดปะติดปะต่อเรื่องราวประเภทเดียวกัน เห็นเพียงน้อยนิดก็เหมือนได้เห็นภาพทั้งหมด ซึ่งเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งเท่านั้น”
หวู่ปิงหนิงจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความฉงนและประหลาดใจอยู่บ้าง นางไม่เชื่อว่าหลี่ชิเย่ได้เคยอ่านตำราโบราณของจูเซียงหวู่ถิงพวกเขามาก่อน เนื่องจากสถานที่ซ่อนตำราโบราณของจูเซียงหวู่ถิงไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปได้อยู่แล้ว
……………………………………………………….