ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 2231 หมอเทวดาหญิงที่เย็นชา

ตอนที่ 2231 หมอเทวดาหญิงที่เย็นชา
“ว้าว ว้าว ว้าวข้ายังไม่ทันได้แนะนำให้พวกเจ้าทั้งสองได้รู้จักกันเลย พวกเจ้าสองคนก็มาจู๋จี๋กันที่นี่ซะแล้ว” ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา พลันปรากฏเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น
ในเวลานี้ ไม่รู้ว่าฟ่านเมี่ยวเจินพลันโผล่มาจากที่ใด หัวเราะและพูดจาหยอกล้อต่อหลี่ชิเย่ กับฉินซาวเย่า ในขณะนี้สีหน้าของนางบ่งบอกถึงความเจ้าเล่ห์และความคลุมเครืออยู่เต็มใบหน้า เหมือนว่าระหว่างหลี่ชิเย่กับฉินซาวเย่าได้ทำเรื่องที่ไม่สามารเปิดเผยต่อผู้คนได้อย่างนั้น
เทียบกับฟ่านเมี่ยวเจินที่เจ้าเล่ห์และจอมแก่นแล้ว หน้าของฉินซาวเย่าดูจะบางกว่ากันมากทีเดียว นางพลันมีใบหน้าที่แดงก่ำและรู้สึกเขินอาย และกล่าวว่า “ศิษย์พี่ มาแกล้งคนอื่นอีกแล้ว”
ท่าทีของฟ่านเมี่ยวเจินดูจะสบายอกสบายใจ หัวเราะน่ารักและกล่าวแนะนำต่อหลี่ชิเย่ว่า “ซาวเย่าคือศิษย์น้องของหุบเขาร้อยบุปผาของพวกเรา ใครเห็นใครรัก บุปผาพานพบต้องเบ่งบาน ศิษย์พี่ใหญ่ห้ามรังแกนางเชียวนะ หาไม่แล้วพวกเราล้วนไม่ยอมนะจะบอกให้”
หลี่ชิเย่ได้แต่หัวเราะและส่ายหน้า สำหรับฟ่านเมี่ยวเจินที่แก่นแก้วเช่นนี้
“ทว่า คำพูดของน้องซาวเย่านั้นมีเหตุผล ฝีมือด้านวิชายาสมุนไพรของซาวเย่าในหุบเขาอมตะไม่มีใครเทียบได้ ศิษย์พี่ใหญ่จะต้องศึกษากับน้องซาวเย่าให้ดี” ฟ่านเมี่ยวเจินหัวเราะน่ารักทำท่ากะพริบตาให้กับหลี่ชิเย่และฉินซาวเย่าทั้งสองคน ท่าท่าแฝงไว้ซึ่งความคลุมเครืออยู่สามส่วน
ลำดับของฉินซาวเย่านั้นอยู่ท้ายสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมด จึงอยู่ในฐานะของศิษย์น้องเล็ก แต่ในด้านของวิชายาสมุนไพร ฉินซาวเย่ากลับสามารถแสดงออกถึงพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศ ฝีมือในด้านนี้จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของกลุ่มคนรุ่นใหม่
กล่าวได้ว่า ในหุบเขาอมตะยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกสมุนไพรหญ้าทิพย์ หรือการจัดสรรในเรื่องของโอสถล้วนแล้วแต่ให้ฉินซาวเย่าเป็นผู้ดำเนินการ
“ศิษย์พี่ มาล้อช้าอีกแล้ว พวกเราเติบโตที่หุบเขาอมตะมีใครบ้างล่ะไม่รู้ว่าศิษย์พี่ที่พรสวรรค์เป็นหนึ่ง วิชาปรุงกลั่นยาปราศจากผู้เทียบเทียม” ฉินซาวเย่าหน้าแดงกล่าวเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
ที่ฉินซาวเย่าพูดมานั้นเป็นความจริงใช่เป็นการเยินยอต่อฟ่านเมี่ยวเจิน เพียงแต่ฟ่านเมี่ยวเจินเป็นคนมีนิสัยแก่นแก้ว ผู้คนจำนวนมากเมื่ออยู่ร่วมกับนางแล้วก็จะลืมไปว่าฝีมือด้านการปรุงกลั่นยาของนางนั้นน่าตกใจอย่างยิ่ง
“เมื่อฟังคำจากศิษย์น้องแล้ว ข้าที่เป็นศิษย์พี่รู้สึกตัวเบาหวิวอยู่บ้างแล้วสิ พวกเราสามอนงค์หุบเขาอมตะคือสุดยอดสาวงามอัจฉริยะของแดนลัทธิพรรษ เมื่อเป็นดังนี้ยังคงเป็นอาจารย์ของพวกเราที่ถ่ายทอดวิชาได้ถูกต้อง” ฟ่านเมี่ยวเจินหัวเราะน่ารัก กะพริบตาทีหนึ่งพูดจาหยอกล้อซุกซน
หลี่ชิเย่มองดูท่าทางของฟ่านเมี่ยวเจินแล้วถึงกับหัวเราะขึ้นมา
“หุบเขาอมตะของพวกเรามีสามอนงค์ ซึ่งเป็นสุดยอดสาวงามแห่งยุค ข้ากับน้องซาวเย่าที่เป็นสาวงามทั้งสอง ศิษย์พี่ใหญ่ได้พบเจอแล้ว ถือโอกาสศิษย์พี่ใหญ่ขณะนี้มีเวลาข้าจะแนะนำให้ศิษย์พี่ใหญ่ได้รู้จักกับอีกหนึ่งสาวงามของหุบเขาอมตะ ศิษย์พี่ใหญ่สนใจไหมล่ะ” เวลานี้ฟ่านเมี่ยวเจินเย้าเล่นพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ออกมา
ที่แท้นักพรตฉางเซินมีศิษย์อยู่สามคน ในบรรดาศิษย์ทั้งสามนั้น ฟ่านเมี่ยวเจินอยู่ลำดับที่หนึ่ง ฉินซาวเย่าอยู่อันดับสุดท้าย ขณะที่ศิษย์อีกคนมู่หย่าหลันอยู่อันดับที่สอง
“แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” หลี่ชิเย่หัวเราะ
“เช่นนั้นก็ไปเลย” ฟ่านเมี่ยวเจินหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ข้าอยากให้ศิษย์พี่ใหญ่ช่วยตัดสินทีว่าพวกเราสามอนงค์หุบเขาอมตะใครสวยที่สุด”
“ข้าจะจัดการบุปผาเดือดเหมันต์อัคคีให้เรียบร้อยก่อน ศิษย์พี่ทั้งสองไปกันเถอะ” ฉินซาวเย่ากล่าวเสียงนุ่มนวลขึ้นมา นางรู้สึกหวั่นใจที่จะถูกศิษย์พี่แกล้งอยู่บ้าง ในหุบเขาร้อยบุปผาของพวกเขา หากถูกศิษย์พี่ปั่นหัวเล่นล่ะก็ ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกปวดหัวแน่นอน
“เอาเถอะ คราวนี้ถือว่าเจ้าโชคดี ปล่อยให้เจ้าถอนตัวอย่างกะทันหัน” ฟ่านเมี่ยวเจินหัวเราะน่ารักโดยไม่ได้บังคับฉินซาวเย่า ดึงมือหลี่ชิเย่แล้วออกวิ่งไปข้างนอกทันที
ฟ่านเมี่ยวเจินไม่ได้ถือสาแม้แต่น้อย และไม่กลัวเรื่องของหญิงชายไม่ควรถูกเนื้อต้องตัว เหมือนเป็นลิงทโมนคนหนึ่ง ดึงมือของหลี่ชิเย่แล้วออกวิ่งไปด้านนอกหุบเขาร้อยบุปผา
ฟ่านเมี่ยวเจินนับว่าเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจคนหนึ่ง เมื่อไรที่นางทำตัวเรียบร้อยเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง นางก็จะเป็นสาวงามที่มีคุณสมบัติสูงส่ง ท่าทางดั่งเทพธิดามาดไม่เบาเลยทีเดียว แต่ว่าเมื่อไรที่บ้าขึ้นมา ก็จะเป็นลิงทโมนที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างยิ่งให้กับผู้คน
ด้านนอกของหุบเขาอมตะ มีบ้านที่ขึ้นลงสลับ มีห้องหับเป็นห้องๆ ยิ่งกว่านั้น ยังมีเต้นท์ที่มีการตั้งขึ้นมาเป็นการชั่วคราว
ที่นี่คือสำนักที่เป็นสาขาหนึ่งของหุบเขาอมตะซึ่งก็คือหอร้อยรักษ์ และเป็นสำนักสาขาของหุบเขาอมตะ ที่เปิดให้การต้อนรับบุคคลภายนอกตลอดเวลา โดยจะรับคนไข้จากทั่วทุกสารทิศของแดนลัทธิพรรษ
ดังนั้น ขณะที่ฟ่านเมี่ยวเจินดึงหลี่ชิเย่วิ่งเข้าไปภายในหอร้อยรักษ์นั้น กลิ่นยาได้โชยเข้ามาปะทะใบหน้า ทั่วทั้งหอร้อยรักษ์มีความคึกคักยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ศิษย์ของหุบเขาอมตะที่เดินทางเข้าออก ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้บำเพ็ญตน และมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่มาจากสถานที่ต่างๆ ในแดนลัทธิพรรษเพื่อขอให้ช่วยรักษา
นี่แหละคือข้อแตกต่างระหว่างหุบเขาอมตะกับระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนมา สำหรับบรรดาระบบถ่ายทอดตวามคิดทางด้านลัทธิจำนวนมากแล้ว ต่อให้เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาภายในระบบถ่ายทอดตวามคิดทางด้านลัทธิของตนก็มีฐานะไม่แตกต่างอะไรกับมดปลวกอย่างไม่ต้องสงสับ ความจริงแล้ว ในโลกของผู้บำเพ็ญตนแล้ว เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่จะไปให้ความสำคัญต่อมนุษย์ปุถุชน
แต่หอร้อยรักษ์ของหุบเขาอมตะกลับแตกต่าง หอร้อยรักษ์ของหุบเขาอมตะไม่เพียงเปิดกว้างให้กับผู้บำเพ็ญตนทั่วหล้าแล้ว ยังเปิดกว้างให้กับมนุษย์ปุถุชนธรรมดาทั่วหล้าอีกด้วย อีกทั้งการปฏิบัติต่อมนุษย์ปุถุชนธรรมดาของหุบเขาอมตะนั้นก็จะมีการเรียกเก็บค่ารักษาที่ยุติธรรม กระทั่งไม่คิดค่ารักษา
เพราะเหตุนี้เอง หุบเขาอมตะจึงได้รับการสรรเสริญที่สูงมากในโลกของมนุษย์ปุถุชน ทั้งยังมีมนุษย์ปุถุชนธรรมดาจำนวนมากมาเรียนวิชาการแพทย์ที่หอร้อยรักษ์ พวกเขาเพียงแค่ศึกษาด้านวิชาการแพทย์กับหอร้อยรักษ์เท่านั้น โดยไม่ได้ฝึกบำเพ็ญเพียร
และด้วยเหตุนี้ จึงปรากฏหมอที่มีชาติกำเนิดมาจากหุบเขาอมตะกระจาอยู่ทั่วไปในโลกของมนุษย์ปุถุชน ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับหุบเขาอมตะเป็นอันมาก
ขณะที่หลี่ชิเย่ถูกฟ่านเมี่ยวเจินดึงมือและบุกเข้าไปภายในหอร้อยรักษ์นั้น ได้พบเห็นผู้ป่วยที่มารับการรักษาเป็นจำนวนไม่น้อย มีผู้บำเพ็ญตนที่ได้รับบาดเจ็บ และมีมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่ป่วยหนัก สารพัดรูปแบบ ซึ่งมาจากทั่วทุกสารทิศใต้หล้า
โชคดีที่หอร้อยรักษ์มีหมออย่างเพียงพอ นอกเหนือจากศิษย์ที่ศึกษาด้านการแพทย์ของหอร้อยรักษ์เองแล้ว ยังมีมนุษย์ปุถุชนที่มาเรียนวิชาแพทย์ก็ออกตรวจอยู่ในหอร้อยรักษ์ด้วย
ฟ่านเมี่ยวเจินดึงตัวหลี่ชิเย่วิ่งเข้าไปภายในลานบ้านที่อยู่ด้านในที่สุดของหอร้อยรักษ์ ที่ตรงนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่นั่น เวลานี้นางกำลังก้มหน้าเปิดอ่านประวัติคนไข้อยู่
ผู้หญิงคนนี้สวมชุดทีเรียบๆ เกล้าผมขึ้นสูง คิ้วดำอ่อนช้อยคล้ายเป็นควันที่อยู่ห่างไกล นัยน์ตาคู่นั้นของนางเป็นประกายดูมีชีวิตชีวา ยามที่เขาเพ่งตามองมานั้น ประกายความมีชีวิตชีวานั้นสยบผู้คนได้ มีน้จิตน้ำใจที่บอกไม่ถูก
ใบหน้าของผู้หญิงคนนี้ดูงดงามและอ่อนเยาว์ นางมีอายุไม่มากนัก แต่กลับมีกลิ่นอายของความเป็นผู้ใหญ่และสวยเพรียบพร้อม คล้ายดั่งเป็นดอกบัวที่โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ มีความบริสุทธิสูงส่งที่บอกไม่ถูก หากมองให้ละเอียดยิ่งไปกว่านั้น ดูจะเหมือนดอกเหมยที่หนาวเย็น ทระนงท่ามกลางหิมะ ให้ความรู้สึกที่เยือกเย็นเงียบเหงา และเหินห่าง…
ผู้หญิงคนนี้ก็คือหนึ่งในสามอนงค์ของหุบเขาอมตะ และก็คือศิษย์พี่รองของหุบเขาร้อยบุปผา นามว่ามู่หย่าหลัน
สามอนงค์หุบเขาอมตะต่างคนต่างมีความถนัดไปคนละด้าน ฟ่านเมี่ยวเจินในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ถนัดในเรื่องของการปรุงกลั่นยา ขณะที่ฉินซาวเย่าถนัดเรื่องของวิชายารักษาโรค ส่วนมู่หย่าหลันผู้อยู่ลำดับรองนั้นเชี่ยวชาญด้านการรักษา รักษาผู้ป่วยที่อาการหนักให้กลับมาหายเป็นปรกติได้เหมือนเดิม ภายใต้ฝีมือของนางไม่รู้ว่าได้ช่วยให้ผู้คนรอดชีวิตมาจำนวนเท่าไร
“หย่าหลัน หย่าหลัน ข้าขอแนะนำสุดหล่อให้เจ้าได้รู้จักคนหนึ่ง” เวลานี้ฟ่านเมี่ยวเจินดึงมือหลี่ชิเย่บุกเข้าไป ขณะที่วิ่งไปก็ร้องเสียงดังออกไป โดยไม่ได้สนใจเรื่องภาพลักษณ์ของกุลสตรี ท่าทางเหมือนนังหนูที่เสียสติเผยออกมาให้ผู้คนได้เห็นจนสิ้น
มู่หย่าหลันที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านประวัติการรักษาคนไข้เงยหน้าขึ้นอย่างเสียไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียงร้องเอะอะของฟ่านเมี่ยวเจิน ถึงกับขมวดคิ้วทีหนึ่งและกล่าวว่า “เป็นอะไรไปแล้วศิษย์พี่?”
เปรียบเทียบกับฟ่านเมี่ยวเจินที่เปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ตลอดเวลา มู่หย่าหลันที่ดูเรียบร้อยหนักแน่นดูจะเหมือนเป็นศิษย์พี่ใหญ่มากกว่า กระทั่งเปรียบกับฉินซาวเย่าที่อ่อนโยนใจกว้างแล้ว บางครั้งฟ่านเมี่ยวเจินที่คุ้มดีคุ้มร้ายขึ้นมาดูจะเหมือนเป็นน้องเล็กเสียมากกว่า
ฟ่านเมี่ยวเจินยืนอยู่ตรงนั้นตบบ่าหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง หัวเราะและกล่าวว่า “หย่าหลัน เจ้าคิดว่าสุดหล่อผู้นี้เป็นอย่างไรบ้าง? เหมาะสมกับเจ้าหรือไม่?” ขณะที่พูดไปข้อศอกของนางวางทาบอยู่บนหัวไหล่ของหลี่ชิเย่ ท่าทางเหมือนเป็นสหายกับหลี่ชิเย่อย่างนั้น
ความคุ้มดีคุ้มร้ายของฟ่านเมี่ยวเจินลักษณะเช่นนี้ ทำให้หลี่ชิเย่ถึงกับทำอะไรไม่ได้
มู่หย่าหลันเพียงมองหน้าหลี่ชิเย่ทีหนึ่งด้วยท่าทีเฉยเมย และกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้ายังมีคนไข้จำนวนมากรออยู่นะ” กล่าวพลางก้มหน้าไปอ่านประวัติคนไข้ในมือต่อไป
“ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น” ฟ่านเมี่ยวเจินหัวเราะเบาๆ แล้วทำเป็นไอทีหนึ่ง กล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “นี่คือศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเรา ศิษย์อันดับที่หนึ่งของท่านอาจารย์ วันนี้พาเขามาให้เจ้าได้รู้จัก เจ้าอย่าทำเป็นไม่ให้เกียรติ”
แม้ว่าฟ่านเมี่ยวเจินเวลาออกอาการคลั่งทำเอาหลายคนต้องจนด้วยเกล้า แต่เมื่อนางแสดงท่าทีเรียบร้อยและหนักแน่นจริงจังแล้วนับว่ามีพลังที่สยบผู้คนได้โดยแท้ นางที่อยู่ในฐานะศิษย์พี่แห่งหุบเขาร้อยบุปผาก็ใช่จะมีชื่อเสียงจอมปลอม
เมื่อมู่หย่าหลันได้ฟังคำของฟ่านเมี่ยวเจินแล้วจึงได้เงยหน้าขึ้น พยักหน้าแสดงความปรารถนาดีต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวทักทายออกไปว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ได้ยินชื่อและเลื่อมใสมานานแล้ว”
มู่หย่าหลันเพียงพูดออกไปด้วยความเกรงใจเท่านั้นเอง ความจริงแล้วก่อนหน้านี้นางไหนเลยจะรู้ว่าหลี่ชิเย่เป็นใครกันแน่ หลังจากทักทายแล้ว มู่หย่าหลันได้ก้มหน้าอ่านประวัติคนไข้ในมือต่อไป
แม้จะกล่าวว่าหลี่ชิเย่คือศิษย์เอกของหุบเขาอมตะ แต่มู่หย่าหลันยังคงดูห่างเหินและเย็นชา เหมือนว่าใครก็ยากจะเข้าใกล้นางได้อย่างนั้น
“ศิษย์พี่ใหญ่นับว่าวิชาแพทย์และวิชาปรุงกลั่นยาหนึ่งไม่มีสอง ยิ่งกว่านั้นยังเชี่ยวชาญด้านยารักษา เรียกว่ารวมทุกอย่างในตัวคนๆ เดียว สืบทอดตำแหน่งของท่านอาจารย์” หลี่ชิเย่ไม่ทันได้เอ่ยปาก ฟ่านเมี่ยวเจินก็คุยโตโอ้อวดแทนเสียแล้ว และกล่าวว่า “ศิษย์น้องสมควรศึกษาแลกเปลี่ยนกับศิษย์พี่ใหญ่ เพื่อขอคำชี้แนะด้านความลึกล้ำและยอดเยี่ยมด้านการแพทย์สักหน่อย”
“มีเวลาจะต้องขอคำชี้แนะจากศิษย์พี่ใหญ่แน่นอน” มู่หย่าหลันยังคงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ยังคงนั่งก้มหน้าดูแต่ประวัติการรักษาของคนไข้ในมือ กล่าวเฉยเมยขึ้นมา
คำพูดที่พอเป็นพิธีนี้ก็แค่ให้เกียรติต่อฟ่านเมี่ยวเจิน จะอย่างไรเสียศิษย์พี่ใหญ่อย่างหลี่ชิเย่ที่โผล่ขึ้นมากะทันหันนั้น ไม่เคยสร้างผลงานใดๆ ให้กับหุบเขาอมตะมาก่อน ไม่เห็นจะสามารถทำให้ผู้อื่นต้องให้ความเคารพนับถือ
“เลือกวันมงคลมิสู้เลือกวันชง วันนี้เลยจะเป็นไร?” ฟ่านเมี่ยวเจินหัวเราะเบาๆ ใช้ข้อศอกกระทุ้งหน้าอกของหลี่ชิเย่ กะพริบตาทีหนึ่ง ท่าทีเหมือนต้องการจับคู่ระหว่างหลี่ชิเย่กับมู่หย่าหลันอย่างนั้น
หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็นขณะมองดูจอมแก่นอย่างฟ่านเมี่ยวเจิน กล่าวสำหรับเขาแล้ว มู่หย่าหลันที่มีทีท่าห่างเหินเย็นชาไม่เห็นจะทำให้เขารู้สึกน่าสนใจขึ้นมาได้ ตรงกันข้าม ฟ่านเมี่ยวเจินที่ดูคุ้มดีคุ้มร้ายกลับดูน่าสนใจมากกว่า
“ศิษย์พี่ ช่วงนี้คนไข้ของข้ามีเป็นจำนวนมาก วันหลังจะเป็นไร” มู่หย่าหลันยังคงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เพียงโต้ตอบมาคำหนึ่ง ย่อมไม่ต้องสงสัยว่านางได้ออกปากไล่แขกแล้ว และนางก็ไม่ได้มีความคิดที่ต้องการของคำชี้แนะจากหลี่ชิเย่
ในเวลานี้เอง มีศิษย์ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาและรายงานต่อมู่หย่าหลันว่า “หัวหน้าสาขา ราชาพิษมาถึงแล้ว”
ครั้นมู่หย่าหลันได้ยินข่าวนี้ได้ลุกขึ้นยืนทันที และกล่าวว่า “รีบเชิญ ข้าจะตามไปเดี๋ยวนี้”
กล่าวจบ นางได้กล่าวต่อฟ่านเมี่ยวเจินว่า “ศิษย์พี่ ข้ามีคนไข้อยู่รายหนึ่งต้องอาศัยราชาพิษลงมือช่วยเหลือ ข้าขอตัวไปพบกับเขาก่อน ไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้วล่ะ” จากนั้น พยักหน้ากับหลี่ชิเย่ถือเป็นการทักทาย หันหลังจากไปทันที
ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท