ในดินแดนต้นกำเนิดไฟเรื่องราวที่ประหลาดใจเช่นนี้เกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งก็ทำให้ผู้คนรู้สึกทั้งตกใจและดีใจ
สิ่งนี้ก็คือนอกเหนือจากหมอโอสถที่มาตามหาเชื้อไฟ และเผ่าไฟที่มาชำระล้างและขัดเกลาคุณสมบัติกายแล้ว นับเป็นกลุ่มคนกลุ่มใหญ่กลุ่มที่สามที่เข้ามายังดินแดนต้นกำเนิดไฟเพื่อค้นหาของวิเศษ
แม้ว่าดินแดนต้นกำเนิดไฟจะเป็นสถานที่ที่ร้อนระอุ แต่มันกลับมีการบ่มฟักชีวิตไว้จำนวนไม่น้อย ขณะเดียวกันก็มีการบ่มฟักของวิเศษจำนวนมาก กล่าวได้ว่า มันคือพื้นที่ยอดเยี่ยมหนึ่งเดียวไม่มีสอง ด้วยพื้นที่ที่ยอดเยี่ยมหนึ่งไม่มีสองนี้เอง ทางหุบเขาอมตะกลับไม่เข้าทำการควบคุมมัน ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าไปได้ และทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกเลื่อมใสต่อการตัดสินใจของเซียนโอสถในครั้งนั้น ความใจกว้างของหุบเขาอมตะนั้นเป็นสิ่งที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากไม่สามารถเทียบเคียงได้เลย
หวู่ปิงหนิงที่ติดตามหลี่ชิเย่ปีนขึ้นยอดเขามาถึงกับมองหน้าหลี่ชิเย่แวบหนึ่ง เมื่อเห็นผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างมาเพื่อของดีที่มีอยู่ในดินแดนต้นกำเนิดไฟ และกล่าวว่า “เจ้ามาสถานที่เช่นดินแดนต้นกำเนิดไฟเพื่ออะไร? เพื่อของวิเศษรึ?”
“เดินๆ วิ่งๆ เดินเที่ยวดูโน่นดูนี่ไม่ได้หรือไร?” หลี่ชิเย่กล่าวและหัวเราะขึ้นมา
หวู่ปิงหนิงมองค้อนหลี่ชิเย่อย่างเคืองๆ และกล่าวว่า “ใครไปเชื่อคำพูดบ้าๆ แบบนี้ คนที่เชื่อในคำพูดของเจ้าก็บ้าไปแล้ว” คำพูดลักษณะเช่นนี้ฟังดูคล้ายเป็นการเกี้ยวพาราสีกัน ทำให้ฟังแล้วรู้สึกสบายอย่างยิ่ง
“จะอย่างไรเสีย ของดีบางอย่างก็ต้องมาดูสักหน่อยอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่หัวเราะ
หวู่ปิงหนิงถึงกับจ้องมองดูหลี่ชิเย่และกล่าวว่า “เจ้าคงไม่มาเพราะสุดยอดของวิเศษของดินแดนต้นกำเนิดไฟกระมัง? ถ้าหากเจ้ามาด้วยเรื่องของสุดยอดของวิเศษนี้จริงล่ะก็ นั้นเจ้าเท่ากับแหย่รังแตนเข้าให้แล้วล่ะ”
เล่าลือกันว่า ดินแดนต้นกำเนิดไฟมีสุดยอดของวิเศษอยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่เซียนโอสถต้องการเคลื่อนย้ายดินแดนต้นกำเนิดไฟจากต่างช่องว่างมายังระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขามรณะ มิฉะนั้นล่ะก็ เขาจะทุ่มเทกำลังกายใจมากมายขนาดนี้ไปทำเรื่องเช่นนี้ทำไมกันเล่า
ส่วนที่ว่าดินแดนต้นกำเนิดไฟจะมีสุดยอดของวิเศษดังกล่าวหรือไม่ และสุดยอดของวิเศษดังกล่าวคืออะไรกันแน่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครทราบ กระทั่งมีผู้กล่าวว่าแม้แต่หุบเขาอมตะเองก็ไม่ทราบ เนื่องจากไม่มีผู้ใดทราบเลย
แต่กลับมีระดับปฐมบรรพบุรุษเคยยืนยันว่า มีสิ่งของดังกล่าวจริงในดินแดนต้นกำเนิดไฟ ดังนั้น จึงมีการพูดกันว่าในดินแดนต้นกำเนิดไฟมีสุดยอดของวิเศษอยู่ชิ้นหนึ่ง
แต่ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครคิดหมายปองต่อสุดยอดของวิเศษชิ้นนี้เลย แม้แต่ราชันแท้จริงก็เป็นเช่นนี้ สิ่งนี้นอกจากเป็นเพราะไม่มีใครทราบว่าสุดยอดของวิเศษชิ้นนี้คืออะไร มันอยู่ที่ตรงไหน ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทุกคนไม่ต้องการไปแหย่รังแตนเช่นหุบเขาอมตะนี้
จะอย่างไรเสียสุดยอดของวิเศษลักษณะเช่นนี้อยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ แน่นอนที่สุดมันย่อมเป็นของๆ หุบเขาอมตะแน่นอน ใครกล้าคิดวางแผนกับของชิ้นนี้เท่ากับเป็นศัตรูกับหุบเขาอมตะ! ซึ่งหาใช่การกระทำที่ชาญฉลาดเลย
ในแดนลัทธิพรรษนั้น กำลังของหุบเขาอมตะนับว่าเทียบไม่ได้กับพรรคหยางหมิง หรือจูเซียงหวู่ถิงที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่ว่ากลับมีไม่กี่คนที่กล้าไปหาเรื่องกับหุบเขาอมตะอย่างแท้จริง
เหตุผลนั้นง่ายมาก ผู้ที่ติดค้างหนี้บุญคุณหุบเขาอมตะนั้นเรียกว่ามากมายเหลือเกิน ไม่ต้องพูดถึงยอดฝีมือหรือเทพแท้จริง ต่อให้เป็นราชันแท้จริงก็มีอยู่เป็นจำนวนมากที่เคยได้รับบุญคุณจากหุบเขาอมตะมาก่อน กระทั่งระดับปฐมบรรพบุรุษบางส่วนก็เคยได้รับบุญคุณจากหุบเขาอมตะมา
จึงกล่าวได้ว่า ขอเพียงคำพูดคำเดียวของหุบเขาอมตะ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ และเทพแท้จริงจำนวนมากต่างยินดีช่วยเหลือหุบเขาอมตะอีกแรงหนึ่ง ดังนั้น กล่าวได้ว่าการเป็นศัตรูกับหุบเขาอมตะเป็นการกระทำที่ไม่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง เป็นการแหย่รังแตนชัดๆ
“ถ้าหากข้าต้องการของวิเศษสักชิ้นหนึ่งจริงๆ ล่ะก็ โลกนี้ไหนเลยจะมีรังแตนที่ข้าไม่กล้าแหย่” หลี่ชิเย่หัวเราะ
หวู่ปิงหนิงถึงมองดูหลี่ชิเย่ทีหนึ่งกล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “หากเป็นศัตรูกับหุบเขาอมตะจริงล่ะก็ กล่าวอย่างไม่เป็นการโอ้อวดเลย เกรงว่าในแดนลัทธิพรรษคงไม่มีที่ยืนสำหรับเจ้า!”
“พูดแบบนี้ เจ้าเป็นห่วงข้าน่ะสิ” หลี่ชิเย่พูดหยอกล้อออกไป
“ฝันไปเถอะ” หวู่ปิงหนิงมองด้วยแววตาที่เชือดเฉือน และกล่าวว่า “ปีศาจที่ทำร้ายคนอย่างเจ้า ถูกฆ่าตายเสียนับว่าดีที่สุดแล้ว” หลังจากพูดจบคำนางกระทั่งรู้สึกได้ถึงใบหน้าที่แสบร้อน ขณะพูดคำๆ นี้ออกไปนั้น นางไม่ได้มีความมั่นใจสักเท่าไร
ท่าทางที่ดูงดงามยิ่งของหวู่ปิงหนิงทำให้หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มๆ และไม่ได้พูดอะไรออกมา
เวลานี้หลี่ชิเย่หยิบเอาเทพหมื่นเตาออกมาและดีดบนตัวมันเบาๆ ได้ยินเสียงดังอ๊อบขึ้นเสียงหนึ่ง เทพหมื่นเตาที่มองดูเหมือนเตาปรุงกลั่นยาเม็ดได้กลับคืนสู่ร่างเดิมของมัน กลายเป็นสัตว์ที่คล้ายคางคกตัวหนึ่ง
หลี่ชิเย่ลูบหัวของเทพหมื่นเตาเบาๆ ขณะที่เทพหมื่นเตาก็รู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่ง อดที่จะส่งเสียงร้องอ๊อบ อ๊อบ อ๊อบออกมาหลายคำไม่ได้
หลี่ชิเย่มองดูหวู่ปิงหนิงแล้วยิ้มกล่าวว่า “ไหนๆ ก็มาถึงดินแดนต้นกำเนิดไฟแล้วไหนเลยจะกลับบ้านมือเปล่าได้ เจ้าอยากได้ของดีแบบไหนล่ะ?”
“ขอน้อมรับความหวังดีใส่ใจ” หวู่ปิงหนิงแสดงท่าทีหยิ่งๆ ออกมานิดหนึ่ง และกล่าวว่า “ข้าไม่ต้องการของวิเศษอะไร”
คำพูดของหวู่ปิงหนิงใช่ว่าเป็นการแสร้างทำเป็นสงบเสงี่ยม นางมีชาติกำเนิดมาจากจูเซียงหวู่ถิง ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดของจูเซียงหวู่ถิง เรียกได้ว่าเหมือนดั่งเพชรในมือ นางจึงมีของวิเศษจำนวนมากที่ผู้อื่นไม่มี ด้วยเหตุนี้เองหวู่ปิงหนิงจึงไม่ได้มีความต้องการเสาะแสวงหาในสิ่งนี้มากมายนัก
“เจ้าเองก็มี ‘หญ้าเร้นกาย’ อยู่ต้นหนึ่งมิใช่รึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
หวู่ปิงหนิงถึงกับรู้สึกฉงนและประหลาดใจอย่างยิ่ง จ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรกันแน่?”
ที่นางมีหญ้าเร้นกายอยู่ต้นหนึ่งนั้นเคยเป็นความลับมาก่อน แม้แต่ในจูเซียงหวู่ถิงก็มีน้อยคนที่รู้เรื่องนี้ มีเพียงระดับบรรพบุรุษเท่านั้นที่รู้ แต่ทว่า การลอบโจมตีหลี่ชิเย่เป็นครั้งแรก หลี่ชิเย่กลับพูดความลับออกมาได้ทันที
ความจริงแล้วหวู่ปิงหนิงไม่ได้มีวิชาล่องหนที่สุดยอดในหล้าอะไรนั่น เนื่องจากนางได้ครอบครองหญ้าเร้นกายที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งต้นหนึ่ง สามารถซ่อนเร้นทุกสิ่งทุกอย่างได้ จึงทำให้นางสามารถล่องหนได้อย่างไร้ร่องรอย
ปรกติแล้ว น้อยครั้งนักที่หวู่ปิงหนิงจะได้ใช้หญ้าเร้นกาย เพียงแต่ครั้งก่อนต้องเข้าไปในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของศัตรู นางจึงได้นำหญ้าเร้นกายมาใช้ ครั้นกองทัพพันธมิตรมีภัย นางที่ปิดบังร่องรอยอยู่จึงได้อาศัยความได้เปรียบในจุดนี้ลอบโจมตีหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่หัวเราะ และกล่าวว่า “แค่นับนิ้วเท่านั้นเอง จะไปยากอะไร ก็แค่หญ้าเร้นกายต้นหนึ่งเท่านั้น ใช่หญ้าอายุวัฒนะเสียเมื่อไหร่”
“โอ้อวดตัวเองให้น้อยๆ หน่อย!” หวู่ปิงหนิงโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความเดือดดาลทีหนึ่ง แน่นอน นางย่อมไม่เชื่อในคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่อยู่แล้ว ดังนั้น นางจึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจว่า “ต้นไม้ต้นนั้นของเจ้ามันคือต้นอะไรกันแน่? ถึงกับทำลายต้นเร้นกายของข้าได้!”
ใช่ว่าหวู่ปิงหนิงจะหลงตัวเอง เนื่องจากการล่องหนของนางไม่ได้มาจากเคล็ดวิชาแขนงหนึ่งแขนงใด แต่มาจากหญ้าเร้นกาย เป็นหญ้าเร้นกายที่ปิดบังทุกสิ่งทุกอย่าง ในเมื่อไม่ใช่เคล็ดวิชา คิดจะทำลายมันใช่เป็นเรื่องง่ายดาย
แต่ว่าต้นโลกดึกดำบรรพ์แค่กวาดออกไปทีหนึ่ง พลันก็สามารถทำลายหญ้าเร้นกาย ทำให้นางไม่สามารถหลบซ่อนไปไหนได้ทันที ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่ออย่างยิ่ง เนื่องจากการซ่อนเร้นของหญ้าเร้นกายแม้แต่ระดับบรรพบุรุษของจูเซียงหวู่ถิงขอทำลายไม่ได้
ต้นโลกดึกดำบรรพ์แค่กวาดออกมาเบาๆ เท่านั้นก็ทำลายหญ้าเร้นกายของนางได้ทันที นับว่าสร้างความสะเทือนหวั่นไหวให้แก่นางอย่างยิ่ง
“แค่ต้นไม้เล็กๆ ต้นหนึ่งที่ปลูกไปตามอารมณ์เท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่พูดออกมาด้วยท่าทีเอ้อระเหย
“ฮึ ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรนักหนา” หวู่ปิงหนิงทอดถอนใจเบาๆ ท่าทางเหมือนโมโหยิ่งนัก
“แต่ทว่า เจ้าสามารถติดตามเทพหมื่นเตาตัวนี้ของข้า ไม่แน่นักเจ้าอาจได้รับผลตอบแทนเหนือความคาดคิด หากโชคดีล่ะก็ ไม่แน่นักอาจมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อต้นเร้นกายของเจ้า” หลี่ชิเย่หัวเราะขณะมองดูหวู่ปิงหนิงที่มีท่าทีโกรธอย่างนั้น
“ข้าไม่สนใจของวิเศษหายากอะไรของเจ้าหรอกนะ” หวู่ปิงหนิงยังคงเคืองหลี่ชิเย่อยู่ในใจ ส่งเสียงฮึเบาๆ ออกมา
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ และลูบไล้เตาเทพหมื่นเตาเบาๆ และกล่าวว่า “ไปเถอะ สถานที่ตรงนี้ก็นับเป็นที่ที่ดีแห่งหนึ่ง มีเชื้อไฟอยู่เป็นจำนวนมาก ไปเจริญอาหารสักหน่อยก็ดี” กล่าวพลางคลายมือออกไป
เตาเทพหมื่นเตาได้กระโดดลงบนพื้นจากมือของหลี่ชิเย่โดยพลัน จากนั้นกระโดดไปยังที่ที่ห่างไกลออกไป ไปได้ไม่ไกลเท่าไรนักก็หยุด เหมือนเป็นการรอหวู่ปิงหนิงอย่างนั้น
“เอาล่ะนังหนู ไปเถอะอย่าทำอามรณ์เสียอีกเลย” หลี่ชิเย่หัวเราะพลางเอามือขยี้ผมของหวู่ปิงหนิงเบาๆ
เวลานี้หวู่ปิงหนิงจึงได้ค้อนไปหนึ่งตลบ และกล่าวว่า “เจ้าคงไม่ถือโอกาสสลัดข้าทิ้งไปนะ?”
“วางใจเถอะ ต่อให้ข้าต้องการสลัดเจ้าทิ้งไปก็เสียดายเตาเทพหมื่นเตาของข้า นี้มันมีเพียงหนึ่งเดียวนิรันดร์กาลเลยนะ มันจะนำทางให้กับเจ้า” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา
“เช่อะ ใครเขาสนใจเล่า” พลันที่หวู่ปิงหนิงได้ฟังว่าตนเองนั้นมีค่าไม่เท่าคางคกตัวหนึ่ง จึงไม่พอใจโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กระทืบเท้าใส่ปลายเท้าของหลี่ชิเย่อย่างแรง
แม้หวู่ปิงหนิงจะอารมณ์เสียอยู่บ้าง แต่นางยังคงคล้อยตามความต้องการของหลี่ชิเย่ ติดตามเตาเทพหมื่นเตาไป
หลี่ชิเย่มองดูเงาหลังที่หายไปของหวู่ปิงหนิงและเตาเทพหมื่นเตา เขาเพียงยิ้มเฉยเมพทีหนึ่ง เตาเทพหมื่นเตาคือสุดยอดสิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์ยิ่ง มันเคยกลืนกินเชื้อไฟทุกอย่างบนโลกมาแล้ว และเคยกลืนกินโอสถทิพย์หญ้าเซียนบนโลกมาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน เวลานี้เมื่อมาถึงดินแดนต้นกำเนิดไฟ กล่าวสำหรับมันแล้วไหนเลยจะไม่ใช่โอกาสที่จะได้เจริญอาหารเต็มที่เล่า
หลังจากเตาเทพหมื่นเตากระโดดจากไปแล้ว หลี่ชิเย่ก็เริ่มออกเดินทาง เขาเดินไม่ได้เร่งรีบอะไรนัก ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวๆ ข้ามภูเขา ข้ามหุบเขาลึก
อย่างไรก็ตาม ขณะที่หลี่ชิเย่ก้าวไปยังส่วนที่สึกเข้าไปด้านในของดินแดนต้นกำเนิดไฟนั้น บนตัวของเขาก็ปรากฎมีเปลวไฟที่แลบออกมาจางๆ เหมือนว่าทั่วทั้งตัวของเขาก็เริ่มจะติดไฟแล้วอย่างนั้น
ลักษณะของเขาทำให้ผู้คนที่มองเห็นแต่ไกลยังเข้าใจผิดคิดว่าเขาคือผู้บำเพ็ญตนเผ่าไฟ
แน่นอนที่สุด การที่ตัวของหลี่ชิเย่แลบเป็นเปลวไฟออกมานั้น หาใช่เป็นเพราะร่างกายของเขาถูกอุณหภูมิที่สูงของดินแดนต้นกำเนิดไฟย่างจนติดไฟขึ้นทั่วร่าง แต่เป็นเพราะร่างกายของเขาได้รวบรวมเอาเปลวไฟจากดินแดนต้นกำเนิดไฟ เหมือนดั่งตัวเขากำลังกลืนกินเปลวไฟจากดินแดนต้นกำเนิดไฟอย่างนั้น อีกทั้งทุกครั้งที่เขาก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ก็จะคงรอยเท้าที่ถูกโดยเปลวไฟสลักลงไปอย่างนั้น
การที่หลี่ชิเย่มายังดินแดนต้นกำเนิดไฟใช่เป็นเหมือนดั่งที่เขาพูดว่าแค่มาเดินเที่ยวเล่นเท่านั้นเอง การมาที่ดินแดนต้นกำเนิดไฟของเขามีแผนการณ์อยู่แล้ว เนื่องผู้เฒ่าประหลาดได้ขุดหลุมๆ หนึ่งให้กับเขา เขาต้องการสิ่งของเป็นจำนวนมาก ในดินแดนต้นกำเนิดไฟมีสิ่งที่เขาต้องการ
บนโลกนี้ผู้คนจำนวนมากต่างก็ไม่ทราบว่าภายในดินแดนต้นกำเนิดไฟมีของเช่นนี้อยู่ชิ้นหนึ่ง แต่ในความจริงดินแดนต้นกำเนิดไฟมีของเช่นนั้นจริงๆ เกี่ยวกับของชิ้นนี้นั้น นอกจากหลี่ชิเย่จะคำนวณออกมาโดยอาศัยจากตำราโบราณจำนวนมากมาย ขณะเดียวในความทรงจำของตาเฒ่าแห่งถ้ำเซียนมารก็ได้บันทึกถึงสิ่งๆ นี้
ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าหลี่ชิเย่จะไม่เคยมาที่ดินแดนต้นกำเนิดไฟ แต่กลับคุ้นเคยกับดินแดนต้นกำเนิดไฟเป็นอย่างดี
ต่อให้สิ่งของสิ่งนี้ที่อยู่ในดินแดนต้นกำเนิดไฟจะหาพบได้ยากมาก แต่ว่าเขายังคงมีของวิเศษชิ้นหนึ่งที่จะช่วยเขาได้อีกแรง นั่นก็คือไม้บรรทัดวัดสวรรค์นั่นเอง
…………………….