เพียงชั่วพริบตาเดียว บรรดาสาวๆ ต่างทยอยกันเดินทางจากไป พวกนางล้วนแล้วแต่แม้มปากหัวเราะเบาๆ ขณะไปจาก แลดูน่ารักน่าประทับใจ และชวนให้รักและทนุถนอมยิ่งนัก
เมื่อบรรดาสาวๆ ต่างก็จากไปแล้ว เหลือไว้เพียงหลี่ชิเย่กับมู่หย่าหลัน หลี่ชิเย่มองหน้านางทีหนึ่ง และกล่าวเฉยเมยว่า “เข้ามาสิ”
หลังจากที่มู่หย่าหลันเข้าไปในบ้านแล้ว มู่หย่าหลันได้โค้งแสดงความคารวะต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “น้องมีตาหามีแววไม่ วันนั้นเกือบผิดพลาดใหญ่หลวง หวังว่าศิษย์พี่จะให้อภัย”
หลายวันมานี้ มู่หย่าหลันอยากจะมาพบหลี่ชิเย่สักครั้งตลอดมา เพียงแต่คนไข้ในหอร้อยรักษ์มีเป็นจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารปลีกตัวได้ มาวันนี้พอมีเวลาว่างอยู่บ้าง จึงเดินทางมาขออภัยต่อหลี่ชิเย่เป็นการเฉพาะ
หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่ว่าใครก็มีโอกาสมองพลาดอยู่แล้ว ไม่เป็นเรื่องแปลก”
ความจริงแล้ว มู่หย่าหลันในฐานะที่เป็นหมอคนหนึ่งนางทำได้ดีมาก และรับผิดชอบงานในหน้าที่อย่างดียิ่ง สามารถได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีฝีมือการรักษาที่ยอดเยี่ยมและมีจิตเมตตาได้อย่างแท้จริง ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกรณีขจัดพิษให้กับผู้อาวุโสหยางในครั้งนี้จะโทษนางก็ไม่ถูก และไม่นับเป็นความผิดพลาดของนาง
“วิชาแพทย์ของศิษย์พี่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง น้องมีปัญหาหลายอย่างคิดจะขอคำชี้แนะจากศิษย์พี่บ้าง” มู่หย่าหลันจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยแววตาที่เผยให้เห็นถึงกระหายที่ใฝ่รู้จริงๆ
แม้ว่ามู่หย่าหลันยังคงมีท่าทางที่เหินห่างและเย็นชา แต่สิ่งที่เผยออกมาจากนัยน์ตาทั้งสองเผลอแสดงให้เห็นถึงความกระหายใคร่รู้ของนางที่ต้องการขอคำชี้แนะจากหลี่ชิเย่จริงๆ
เป็นความจริงที่ในด้านการรักษานั้น มู่หย่าหลันมีระดับความรู้ที่ลึกซึ้งมาก ด้วยกำลังความสามารถของนางแล้ว นับว่าไม่เสียทีกับฉายา ‘หมอเทวดาหญิง’ อย่างสิ้นเชิง แม้แต่ในหุบเขาอมตะ ฝีมือด้านการแพทย์ที่ล้ำลึกของมู่หย่าหลันก็สามารถเทียบเคียงกับหมอที่มีชื่อเสียงรุ่นอาวุโสได้
แต่ว่า หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้แสดงฝีมือออกมาแล้ว มู่หย่าหลันเข้าใจได้เลยว่าตนเองนั้นยังมีช่วงห่างที่ห่างไกลจากหลี่ชิเย่มากทีเดียว เป็นเหมือนดั่งที่ศิษย์พี่ใหญ่ฟ่านเมี่ยวเจินได้พูดเอาไว้อย่างนั้น หลี่ชิเย่นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านปรุงกลั่นยาเม็ด ด้านยาสมุนไพร ด้านการรักษา ด้านพิษ กล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่รวมเอาทุกสิ่งทุกอย่างบนตัว เป็นปรมาจารย์ที่จริงแท้จริงๆ
มู่หย่าหลันมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ผู้ที่สามารถทำได้ถึงขั้นที่ว่าเชี่ยวชาญในด้านปรุงกลั่นยาเม็ด ด้านยาสมุนไพร ด้านการรักษา ด้านพิษรวมไว้บนตัวคนๆ เดียวนั้น ระดับปรมาจารย์เช่นนี้ อย่าว่าแต่ในแดนลัทธิพรรษเลย เกรงว่าทั่วทั้งแดนสามเซียบนก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ดังนั้นมู่หย่าหลันจึงถ่อมตนเข้าไปขอคำชี้แนะและเรียนรู้กับหลี่ชิเย่ เมื่อนางรับรู้ว่าห่างชั้นกับหลี่ชิเย่มาก
“ลองว่ามาก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่มองหน้ามู่หย่าหลันทีหนึ่งแล้วพูดออกมาตรงๆ โดยไม่ได้ปฏิเสธ
มู่หย่าหลันรู้สึกดีใจเมื่อเห็นว่าหลี่ชิเย่ไม่อมภูมิ จึงรีบของคำชี้แนะด้านวิชาการแพทย์ที่ตนเองไม่เข้าใจ
สิ่งที่มู่หย่าหลันหยิบยกขึ้นมาล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาที่ลึกซึ้งมาก อย่าว่าแต่เป็นหมอที่มีชื่อเสียงทั่วไปเลย เกรงว่าแม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ด้านการแพทย์ก็ไม่เห็นจะแก้ข้อฉงนของนางได้
เวลานี้นางขอคำชี้แนะจากหลี่ชิเย่นับว่าหาถูกคนแล้วล่ะ หลี่ชิเย่คือผู้ที่รู้ทั้งอดีตและปัจจุบัน ทะลุปรุโปร่งไปทั้งโลก ข้อปัญหาของมู่หย่าหลันล้วนแล้วแต่สามารถให้คำตอบได้ อีกทั้งยอดเยี่ยมปราศจากผู้เทียบเทียม
ในเวลานี้ ทำให้มู่หย่าหลันฟังจนเคลิบเคลิ้ม นางที่เสมือนดั่งดอกเหมยที่ทระนงอยู่ท่ามกลางหิมะ เวลานี้ก็ดูจะเร่าร้อน นางที่ปรกติเหินห่างเยือกเย็น เวลานี้ยังอดที่จะรู้สึกดีใจ เมื่อฟังถึงตอนที่ยอดเยี่ยม ถึงกับนัยน์ตาเป็นประกาย คำพูดที่ออกมาดูช่างอบอุ่น ถึงตอนที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้วอดที่จะชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง
ในบรรดาสามอนงค์แห่งหุบเขาร้อยบุปผา หากจะพูดถึงด้านพรสวรรค์แล้ว เกรงว่าคงเป็นฟ่านเมี่ยวเจินที่สูงที่สุด การที่ฟ่านเมี่ยวเจินสามารถเป็นศิษย์พี่ใหญ่ได้ใช่ว่าเป็นเพราะนางได้เข้าเป็นศิษย์ของนักพรตฉางเซินก่อนผู้อื่น เป็นความจริงที่พรสวรรค์ของนางนั้นสูงกว่าคนอื่น แม้แต่มู่หย่าหลัน กับฉินซาวเย่าก็สู้นางไม่ได้
แต่ทว่า ในด้านการบำเพ็ญเพียงนั้น ทั้งมู่หย่าหลันและฉินซาวเย่าสองคนล้วนแล้วแต่มีสมาธิยิ่งกว่าฟ่านเมี่ยวเจิน มู่หย่าหลันมุ่งไปด้านการแพทย์ ขณะที่ฉินซาวเย่าหลงใหลไปกับเรื่องสมุนไพร พวกนางทั้งสองคนเรียกได้ว่าสามารถยกย่องเป็นผู้ที่มีจิตใจแน่วแน่ไม่วอกแวกในขอบเขตของตน ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้พวกเขาที่มีอายุน้อยเช่นนี้ก็ประสบความสำเร็จที่สูงมากถึงเพียงนี้
ฟ่านเมี่ยวเจินเองก็ประสบความสำเร็จในด้านการปรุงกลั่นยาเม็ดเช่นกัน เพียงแต่นางไม่เหมือนดั่งมู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าที่มีสมาธิมุ่งมั่นเท่านั้นเอง จะอย่างไรเสียนางคือศิษย์พี่ใหญ่ นางไม่สามารถทำได้แค่มีสมาธิกับขอบเขตของตน และหรือ่มุ่งบำเพ็ญเพียรเฉกเช่นมู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าอย่างนั้นก็เพียงพอแล้ว
ฟ่านเมี่ยวเจินคือศิษย์พี่ใหญ่ คือศิษย์พี่ใหญ่ภายใต้นักพรตฉางเซิน แน่นอน ศิษย์อันดับที่หนึ่งค่าตัวถูกอย่างหลี่ชิเย่นั้นเป็นข้อยกเว้น
ดังนั้น ฟ่านเมี่ยวเจินไม่เพียงต้องฝึกบำเพ็ญเพียร ในขณะเดียวกันยังต้องมองไปถึงอนาคตของสำนัก บนบ่าของนางแบกภาระที่หนักหนายิ่งกว่า ด้วยเหตุนี้เอง ในด้านสถานการณ์ใหญ่ๆ นั้น ฟ่านเมี่ยวเจินจึงมองได้ไกล มองได้ขาดมากกว่ามู่หย่าหลัน กับฉินซาวเย่า
สำหรับการขอคำชี้แนะของมู่หย่าหลันนั้น หลี่ชิเย่ก็ไม่ได้อมภูมิแต่อย่างใด เรียกได้ว่าทุ่มสอนให้หมดทุกอย่าง เป็นเช่นนี้กับมู่หย่าหลัน กับฉินซาวเย่าก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เนื่องจากพวกนางต่างก็เป็นผู้ที่มีความบริสุทธิ์ มีความมุ่งมั่นและพยายามทำให้ได้ดีที่สุดยิ่งๆ ขึ้นไปในขอบเขตงานของตนอย่างที่คนอื่นไม่มี
หลี่ชิเย่เองก็ยินดีที่จะถ่ายทอดวิชาให้กับพวกนาง การศึกษาค้นคว้าด้านวิชาแพทย์ วิชาด้านยาสมุนไพรล้วนแล้วแต่เป็นการเสพสุขที่รู้สึกสบายยิ่งนักอย่างหนึ่ง
ตึง ตึง ตึง…ในขณะที่มู่หย่าหลันกำลังคุยอยู่กับหลี่ชิเย่จนลืมตัวนั้น ในหุบเขาอมตะพลันปรากฎเสียงระฆังที่ดังขึ้นกระชั้นเป็นระลอก
สีหน้าของมู่หย่าหลันแปรเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงระฆังที่ดังกระชั้นยิ่ง กล่าวด้วยความตื่นตระหนกว่า “เกิดเรื่องกับอาจารย์แล้ว!” ขาดคำ วิ่งออกจากประตูไปโดยไม่คำนึงอะไรอีก
ตึง ตึง ตึงเสียงระฆังที่ดังกระชั้นและถี่ดังก้องอยู่ภายในหุบเขาอมตะนานมาก บรรดาผู้อาวุโส และศิษย์ของหุบเขาอมตะเมื่อได้ยินเสียงระฆังลักษณะเช่นนี้แล้วก็รุ้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเสียงระฆังลักษณะเช่นนี้ไม่เคยได้ดังเช่นนี้มานานมากๆ แล้ว
จากนั้น มีศิษย์จำนวนไม่น้อยที่มองเห็นนักพรตฉางเซินชุ่มไปด้วยเลือดทั้งตัว ถูกนำตัวเข้ารับการรักษาภายในหุบเขาลับแห่งหนึ่ง
ข่าวนักพรตฉางเซินได้รับบาดเจ็บสาหัสได้สร้างความหวั่นไหวให้กับทุกระดับชั้นเป็นอย่างยิ่ง นักพรตฉางเซินในฐานะเจ้าหุบเขาของหุบเขาอมตะ ไม่เพียงแต่มีฐานะที่สูงส่ง อีกทั้งทักษะยุทธของนางก็ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง ไม่มีใครรู้ถึงรายละเอียดกำลังความสามารถของนาง
มาวันนี้ นักพรตฉางเซินถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ย่อมสามารถประเมินได้ว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพียงใด ไม่เพียงแต่ด้านกำลังความสามารถตัวของผู้เป็นศัตรูว่ามีพลังวัตรแข็งแกร่งเพียงใด ขณะเดียวกัน ก็บ่งบอกว่าเบื้องหลังที่เป็นผู้สนับสนุนศัตรูนั้นก็น่าตกใจเช่นกัน
นักพรตฉางเซินคือผู้ที่กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ เวลานี้มีผู้ที่กล้าลงมือต่อนักพรตฉางเซิน นั่นเท่ากับบ่งบอกว่าศัตรูหาญกล้าท้าสู้กับหุบเขาอมตะ ช่างมีความมั่นใจที่แข็งแกร่งเหลือเกิน
เวลานี้ เสียงสัญญาณฉุกเฉินของหุบเขาอมตะดังขึ้นเป็นระลอก ศิษย์ทั้งหมดถูกเรียกเข้าประจำตำแหน่ง ทั่วทั้งหุบเขาอมตะเข้าสู่สถานการณ์พร้อมรบ ทุกๆ ห้าก้าวมีหนึ่งป้อม ทุกๆ สิบก้าวมีหนึ่งด่าน ศิษย์ทุกคนอยู่ในอาการตึงเครียด พร้อมเข้าสู่สภาพพร้อมรบตลอดเวลา
เนื่องจากนักพรตฉางเซินได้รับบาดเจ็บที่สาหัสมาก ถูกเหล่าระดับบรรพบุรุษนำตัวเข้ารับการช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน บรรดาศิษย์ของหุบเขาอมตะต่างไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ทำให้นางได้รับบาดเจ็บ และไม่มีใครรู้ว่าศัตรูเป็นใครกันแน่
เสียงตูมดังสนั่นขึ้นมา ในขณะที่ทั่วทั้งหุบเขาอมตะอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมนั้น ภายในหุบเขาอมตะ พลันพวยพุ่งเป็นประกายสีดำขึ้นมาสายหนึ่ง ท่ามกลางเสียงดังตูมตาม มองเห็นประกายสีดำพวยพุ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น เสมือนดั่งทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล
สุดท้าย ได้ยินเสียงดังตึงดังขึ้นมาไม่ขาดสาย ท่ามกลางประกายสีดำที่กว้างใหญ่ไพศาลดุจทะเลนั้น ปรากฏเงาของเตากลั่นโอสถขนาดยักษ์ลอยขึ้นมา หลังจากที่เงาของเตากลั่นโอสถขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมาแล้วก็จมหายไปในหุบเขาลึกลับทันที
“เตาบรรพบุรุษนะเนี่ย” บรรดาผู้อาวุโสของหุบเขาอมตะต่างรู้สึกตกใจเมื่อมองเห็นภาพเช่นนี้ พลันรู้สึกกังวลใจมากขึ้นทันที
“เปิดเตาบรรพบุรุษแล้วล่ะ” บรรดายอดฝีมือ และเหล่าศิษย์ของหุบเขาอมตะต่างรู้สึกหวั่นไหวในใจเมื่อได้เห็นภาพนี้ ไม่นึกเลยว่าจะหนักหนาสาหัสถึงเพียงนี้
เตาบรรพบุรุษคือเตากลั่นโอสถใบหนึ่งที่เซียนโอสถซึ่งเป็นปฐมบรรพบุรุษของหุบเขาอมตะทิ้งเอาไว้ให้ ลือกันว่าเตากลั่นโอสถใบนี้สร้างขึ้นด้วยโอสถเซียนจำนวนมากของแดนสามเซียน เตาโอสถใบนี้สามารถทำให้ฟื้นคืนชีพได้ ต่อให้คนผู้นั้นจะตายอนาถก็ตาม ขอเพียงยังมีเศษเสี้ยววิญาณเหลืออยู่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะชุบชีวิตขึ้นมาได้ใหม่
หุบเขาอมตะจะไม่นำเตาบรรพบุรุษมาใช้โดยง่ายดาย เพราะว่านอกจากจะต้องอาศัยสมุนไพรที่ล้ำค่าจำนวนมหาศาลแล้ว ยังต้องอาศัยพลังที่แข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียม จึงสามารถสำแดงอานุภาพของเตาบรรพบุรุษได้
เวลานี้หุบเขาอมตะได้ระดมระดับบรรพบุรุษมากมายเพื่อเปิดใช้เตาบรรพบุรุษ ย่อมสามารถประเมินได้ว่าอาการบาดเจ็บของนักพรตฉางเซินนั้นสาหัสเพียงใดแล้ว
ย่อมไม่ต้องสงสัย ศัตรูผู้ลงมือต่อนักพรตฉางเซินนั้นต้องการเล่นงานนางถึงตายให้ได้
ไม่รู้ว่ามีศิษย์ของหุบเขาอมตะจำนวนเท่าไรที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อนึกถึงศัตรูที่ทำร้ายเจ้าสำนักของตนอย่างเหี้ยมโหด ต่างร่วมแรงร่วมใจมีศัตรูคนเดียวกัน พวกเขาจะต้องล้างแค้นให้กับเจ้าสำนักถ้าหากเจ้าสำนักเกิดมีอันเป็นไป หุบเขาอมตะของพวกเขากับศัตรูจะไม่ตายไม่เลิกรา!
ภายในระยะเวลาอันสั้น ระดับบรรพบุรุษของหุบเขาอมตะนอกเหนือจากที่กักตนไม่สามารถออกมาได้ ผู้ที่ท่องอยู่นอกสำนักแล้ว ทั้งหมดถูกเรียกให้มารวมตัวกันเพื่อร่วมแรงกันเปิดใช้เตาบรรพบุรุษ ทั่วทั้งหุบเขาอมตะทุกระดับชั้นต่างทุ่มเทเต็มที่เพี่อช่วยเหลือนักพรตฉางเซินที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในเวลานี้ ทุกระดับในหุบเขาอมตะล้วนแล้วแต่มีอารมณ์ตึงเครียด เนิ่องจากระดับบรรพบุรุษของหุบเขา อมตะล้วนแล้วแต่ถูกระดมไปเพื่อทำการเปิดเตาบรรพบุรุษ เพื่อป้องกันผู้ลอบจู่โจม ระดับผู้อาวุโสจำนวนมากล้วนแล้วแต่เฝ้ารักษาการณ์อยู่ด้านหน้าหุบเขาลึกลับ ดังนั้น เวลานี้ภาระเรื่อง่ของการเฝ้าระวังจึงตกอยู่บนตัวของศิษย์หุบเขาอมตะ
ทุกระดับชั้นในหุบเขาอมตะต่างสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ประจำตำแหน่งของตนอย่างแข็งขัน หากมีศัตรูบุกรุกเข้ามาพวกเขาก็จะต่อสู้ถวายชีวิตอย่างดุเดือดจนถึงที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟ่านเมี่ยวเจินในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ถึงกับสวมเสื้อเกราะในมือถืออาวุธครบครันนำทัพด้วยตนเอง นางยุ่งจนหัวปั่นกับการวางกำลังป้องกันหุบเขาอมตะ เดินสำรวจตรวจตราด้วยต้นเอง ฟ่านเมี่ยวเจินในเวลานี้จึงได้สำแดงความสามารถที่แท้จริงออกมาอย่างหมดเปลือก
นางที่สวมเสื้อเกราะในมือถืออาวุธครบครันรับตำแหน่งในช่วงวิกฤติโดยไม่สับสนแม้แต่น้อย การโยกกำลังอย่างมีระบบ วางกำลังป้องกันอย่างรัดกุม มีความเฉียบขาดยิ่งนัก บุคลิกลักษณะความเป็นแม่ทัพเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนจนหมดสิ้น
เวลานี้ขอเพียงได้มองเห็นฟ่านเมี่ยวเจินที่เตรียมพร้อมระแวดระวังข้าศึกทุกฝีก้าว เสมือนดั่งเป็นแม่ทัพใหญ่ที่เคยผ่านสมรภูมิรบมาแล้ว นาทีนี้ยากที่จะนำมาเปรียบเทียบกับนางมารน้อยที่คุ้มดีคุ้มร้ายผู้นั้นมาผูกโยงเข้าด้วยกัน เวลานี้ฟ่านเมี่ยวเจินมีท่าทีของความเป็นแม่ทัพใหญ่ หนักแน่นและเยือกเย็น
ในขณะที่หุบเขาอมตะอยู่ในสภาพพร้อมรบนั้น กลับกลายเป็นว่า หลี่ชิเย่ที่อยู่ในฐานะศิษย์อันดับที่หนึ่งกลับดูจะผ่อนคลายมากที่สุด ไม่มีใครมารบกวนเขาที่อาศัยอยู่เพียงลำพังคนเดียวในบ้าน เงียบสงบสมถะยิ่ง
แม้จะกล่าวว่าหุบเขาอมตะในเวลานี้ดุจดั่งสายที่ขึงจนตึง ศิษย์ทุกคนอยู่ในสภาพพร้อมรบ โชคยังดีที่ศัตรูผู้ทำร้ายนักพรตฉางเซินจนบาดเจ็บสาหัสกลับไม่ได้ปรากฎตัว และไม่ปรากฏข้าศึกใดๆ เข้าโจมตีต่อหุบเขาอมตะแต่อย่างใด
สิ่งนี้นับว่าเป็นความโชคดีบนความโชคร้าย เกรงว่าเวลานี้คือช่วงเวลาที่หุบเขาอมตะอ่อนแอมากที่สุด ถ้าหากถือโอกาสเวลานี้บุกโจมตีหุบเขาอมตะล่ะก็ ต่อให้ไม่สามารถตีหุบเขาอมตะจนแตกพ่าย เกรงว่าหุบเขาอมตะก็คงต้องได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ดูท่าศัตรูที่ทำร้ายนักพรตฉางเซินจนบาดเจ็บสาหัสก็มีความหวั่นเกรงในกำลังของหุบเขาอมตะ หลังจากทำร้ายนักพรตฉางเซินจนบาดเจ็บสาหัสแล้วก็ไม่ได้ถือโอกาสโจมตีขณะที่ได้เปรียบ และไม่ได้บุกเข้าโจมตีหุบเขาอมตะ จะอย่างไรเสียไม่ว่าใครก็ตามหากคิดจะโจมตีต่อหุบเขาอมตะ ก็จำต้องมีการคิดไตร่ตรองระยะยาว
จะอย่างไรเสีย หุบเขาอมตะคือผู้ปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ มีธาตุแท้ภายในที่ลึกล้ำสุดจะหยั่งถึง ต่อให้เป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ ก็ไม่เห็นว่าจะสามารถตีหุบเขาอมตะให้แตกได้
…….