หุบเขาอมตะวิเวกวังเวง ทั่วทั้งหุบเขาอมตะอยู่ในสถานการณ์ที่คับขัน ศิษย์หุบเขาอมตะทุกคนตั้งมั่นอยู่ในตำแหน่งของตน กระทั่งกระบี่และดาบออกจากฝักเตรียมพร้อมทุกวินาที
เมื่อเปรียบเทียบกับสถานภาพของศิษย์หุบเขาอมตะที่พร้อมรบ หลี่ชิเย่นั้นดูช่างว่างและสงบเงียบไม่รู้เท่าไร ไม่มีใครมารบกวนเขาเลย และเขาก็ไม่ออกจากที่พักบำเพ็ญเพียงอย่างสบายใจ
หลี่ชิเย่ทิ้งตัวนั่งลงภายในห้อง เข้าฌานสำรวจตน เสมือนหนึ่งจิตใจล่องลอยไป และมีลักษณะเหมือนร่างนั้นแกะสลักจากท่อนไม้อย่างนั้น
ซ่าาา ซ่าาา ซ่าาา…ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ปรากฏเสียงแผ่วเบาดังขึ้นเป็นระลอก ในเวลานี้เองใต้พื้นดินปรากฏใบไม้สีเขียวโผล่ขึ้นมา มองเป็นต้นไม้แก่ที่มุดออกมาจากใต้พื้นดิน
ต้นไม้แก่ต้นนี้ก็คือต้นไม้แก่ที่หลี่ชิเย่ได้มาจากเขาฟันหลอต้นนั้น หลังจากที่มันติดตามหลี่ชิเย่แล้ว หลี่ชิเย่ได้ตั้งชื่อให้กับมันว่าฉางเซิน
ต้นไม้แก่ฉางเซินหลังจากมุดออกมาจากใต้พื้นดินแล้ว ใบไม้เขียวที่มีอยู่จำนวนไม่มากนั้นส่ายไปมา ดูจะดีใจมากเป็นพิเศษ
“ข้ารู้แล้วล่ะ” หลี่ชิเย่มองดูท่าทางที่สุดดีใจกับใบเขียวที่ส่ายไปมาของต้นไม้แก่ฉางเซินแล้ว ถึงกับยิ้มเฉยเมยและเอื้อมมือลูบคลำต้นไม้แก่เบาๆ ด้วยแววตาที่ลึกล้ำและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “หุบเขาอมตะนับว่าน่าสนใจ ธาตุแท้ภายในที่ลึกล้ำนับว่าคนบางคนยากจะจินตนาการได้”
เวลานี้แววตาที่ลึกล้ำส่งประกายวูบวาบของหลี่ชิเย่มองออกไปด้านนอก การมาหุบเขาอมตะของเขาย่อมไม่ได้ต้องการเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งอะไร ศิษย์ลำดับที่หนึ่งอะไรนั่นเป็นเพียงทำไปตามอารมณ์สนุกเท่านั้น
สุดท้ายหลี่ชิเย่เรียกคืนต้นแก่ฉางเซิน จากนั้นค่อยๆ หลับตาลง เสมือนหนึ่งนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น
หลี่ชิเย่ที่พักอาศัยอยู่ในหุบเขาร้อยบุปผาว่างและปราศจากสิ่งรบกวน แต่ว่า วันเวลาลักษณะนี้เพียงไม่กี่วันก็ถูกทำลายลง วันนี้ฟ่านเมี่ยวเจินได้มาหาเขาถึงที่
ฟ่านเมี่ยวเจินในเวลานี้สวมชุดทะมัดทะแมง ลักษณะของนางในวันนี้แตกต่างจากปรกติ คล่องแคล่วปราดเปรียวตรงไปตรงมา ปรากฏพลังที่ดุดันสายหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากตัวของนาง เมื่อมองดูให้ละเอียดก็จะมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป ยามที่ฟ่านเมี่ยวเจินจริงจังขึ้นมาก็มีความงดงามน่าประทับใจ ยังคงทำให้ผู้คนต้องตาลุกวาว
“ชิงหวังองค์หนึ่งของแคว้นว่านโซ่วได้มาที่นี่” ฟ่านเมี่ยวเจินเมื่อพบกับหลี่ชิเย่แล้วก็พูดออกมาตรงๆ โดยคราวนี้นางไม่ได้อ้อมค้อม
นับตั้งแต่นักพรตฉางเซินได้รับบาดเจ็บสาหัส บรรดาบรรพบุรุษต้องรักษาอาการบาดเจ็บให้กับนักพรตฉางเซิน และบรรดาระดับผู้อาวุโสก็ต้องอยู่ทำหน้าที่คอยอารักขาที่หุบเขาลึกลับ ดังนั้น เรื่องราวต่างๆ ภายใจหุบเขาอมตะจำนวนมากล้วนแล้วแต่ตกอยู่บนตัวของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ในขณะนี้ กลุ่มคนรุ่นใหม่ของหุบเขาอมตะได้เผชิญกับบททดสอบเข้าให้แล้ว
โดยเฉพาะฟ่านเมี่ยวเจินในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ยิ่งรับภาระหนักอึ้งบนบ่า กิจการงานภายในหุบเขาอมตะส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีนางเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเอง ระบบป้องกันของหุบเขาอมตะก็มาจากฝีมือของนาง
แม้จะรับหน้าที่เป็นการชั่วคราว แต่ฟ่านเมี่ยวเจินได้แสดงออกให้เห็นถึงความมากประสบการณ์ที่ไม่เข้ากับอายุของนาง ความเป็นผู้นำก็ได้สำแดงออกมาในเวลานี้อย่างเต็มที่
ย่อมไม่ต้องสงสัย ในฐานะศิษย์เอกของนักพรตฉางเซิน ฟ่านเมี่ยวเจินได้ตระเตรียมความพร้อมเอาไว้แล้ว และสิ่งที่นางได้เรียนรู้มาก็สามารถนำมาใช้แล้ว
“จากนั้นล่ะ?” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ
นัยน์ตาของฟ่านเมี่ยวเจินเพ่งมองไปข้างหน้า กล่าวด้วยท่าทีหนักแน่นจริงจังว่า “ชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วนำของขวัญใหญ่มาเพื่อสู่ขอมาให้กับแคว้นว่านโซ่วของพวกเขา”
“เป็นใครรึ?” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา และกล่าวว่า “ให้ข้าทาย เป็นราชาพิษหวงฉวนเวยรึ? ต้องการขอหมอเทวดาหญิงของพวกเรา”
“ถูกต้อง” ฟ่านเมี่ยวเจินพยักหน้าท่าทีจริงจัง และกล่าวว่า “ชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วต้องการพบเจ้าหุบเขา เพื่อพูดคุยเรื่องการเกี่ยวดองสมรสของสองตระกูล”
หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อได้ยินข่าวเช่นนี้ นักพรตฉางเซินได้รับบาดเจ็บสาหัส และในเวลานี้เอง แคว้นว่านโซ่วถึงกับส่งระดับชิงหวังมาสู่ขอ เพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างราชาพิษหวงฉวนเวย กับมู่หย่าหลัน การกระทำของแคว้นว่านโซ่วออกจะทันการเกินไปแล้วกระมัง
ไม่ช้าและก็ไม่เร็ว ชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วมาสู่ขอช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ดูจะบังเอิญมากเกินไปแล้ว
“เจ้ารายงานต่อระดับบรรพบุรุษก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวท่าทีเฉยเมย
“บรรดาเหล่าบรรพบุรุษหากไม่กักตนไม่ออกมา ก็ต้องควบคุมเตาบรรพบุรุษเพื่อช่วยรักษาให้กับอาจารย์ และผู้อาวุโสส่วนใหญ่ก็เฝ้าอารักขาหุบเขาลึกลับ”
คำพูดของฟ่านเมี่ยวเจินที่พูดออกมาชัดเจนที่สุดแล้ว เรื่องนี้ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาโดยตรงแล้ว
“เจ้าเป็นศิษย์เอก เจ้าไปถามหย่าหลันที แล้วพวกเจ้าตัดสินใจไปเลยก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้น
“หย่าหลันปฏิเสธ” ฟ่านเมี่ยวเจินกล่าวว่า “อีกอย่าง ข้าเป็นเพียงศิษย์พี่สาว ท่านคือศิษย์พี่ใหญ่! ในฐานะศิษย์อันดับหนึ่งของอาจารย์ เรื่องแบบนี้ควรเป็นท่านต้องดำเนินการ”
ขณะที่หุบเขาอมตะกำลังอยู่ในอันตราย แคว้นว่านโซ่วกลับจะมาสู่ขอเอาช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่ใช่เป็นการบังเอิญ ไหนเลยพวกฟ่านเมี่ยวเจินจะยอมตกลง อีกอย่างมู่หย่าหลันเองก็ไม่ได้สนใจในตัวหวงฉวนเวยเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น การดองสมรสในลักษณะเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ศิษย์พี่สาวอย่างเจ้าแสดงได้โดดเด่นมาก ยอดเยี่ยมมากแล้ว เรื่องเช่นนี้พวกเจ้าพี่น้องปรึกษาหารือตกลงกันก็พอแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
“ฝันหวานไปเถอะ!” ฟ่านเมี่ยวเจินใช้สายตาที่เชือดเฉือนใส่หลี่ชิเย่ทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ท่านอย่าคิดจะหนีเอาตัวรอด หุบเขาอมตะกำลังอยู่ระหว่างอันตรายในเวลานี้ ท่านที่อยู่ในฐานะศิษย์อันดับที่หนึ่งควรแบกรับภาระหนักนี้! ต่อให้เรื่องนี้พวกเราพี่น้องได้ตัดสินใจแล้ว ก็ยังต้องให้ศิษย์อันดับที่หนึ่งไปแจ้งให้กับชิงหวังของแคว้นว่านโซ่ว”
“ต้องการให้ข้าเป็นแพะรับบาปน่ะสิ” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “เรื่องเช่นนี้อาจะก่อเกิดสงครามขึ้นมาได้ แคว้นว่านโซ่วที่มาครั้งนี้ไม่ได้มาดี เมื่อระเบิดศึกขึ้นมา ข้ามิต้องเป็นผู้เสียสละรึ”
“ทำไม กลัวรึ?” ฟ่านเมี่ยวเจินเหลือบมองหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง แววตาที่ไม่ซ่อนเร้นท้าทายตรงๆ กับเขา
“นังหนู ไม่ต้องใช้วิธียั่วยุแบบนี้” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าและกล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า “วิธียั่วยุแบบนี้ใช้ไม่ได้กับข้า”
“อย่าลืมสิ ท่านคือศิษย์อันดับที่หนึ่ง อย่าทำตัวยึดครองตำแหน่งแต่ไม่ทำอะไร ไม่ได้ใช้ให้ไปออกรบก็นับว่าให้สิทธิ์พิเศษมากแล้ว” ฟ่านเมี่ยวเจินค้อนหลี่ชิเย่ทีหนึ่งด้วยท่าทีเคืองๆ
“รสนิยม มีรสนิยมหน่อย เจ้าคือหน้าตาของหุบเขาอมตะพวกเรา การพูดการจาจะหยาบคายเช่นนี้ได้อย่างไร มีรสนิยมหน่อย” หลี่ชิเย่ยิ้มและกล่าวแก้ให้ว่า “อย่าทำลายภาพลักษณ์กุลสตรีของเจ้า”
“ไม่ต้องมานอกเรื่องกับข้า ไป หรือไม่ไป” ฟ่านเมี่ยวเจินในเวลานี้ ขบฟันท่าทางเหมือนคันไม้คันมืออยากจะลองเต็มทีแล้ว พูดได้ไม่กี่คำ นางมารน้อยเช่นนางก็เผยตัวตนแท้จริงออกมาแล้ว
มองดูท่าทางที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเช่นนี้ เหมือนว่าหากหลี่ชิเย่ไม่ตกลง นางก็จะเข้าไปอัดให้น่วม
“ไป ทำไม่ไม่ไปเล่า” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา คล้ายตามเหมือนดั่งกระแสน้ำที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ กล่าวว่า “ในเมื่อศิษย์พี่สาวสั่งมาแล้ว มีหรือข้าจะกล้าไม่ปฏิบัติตาม? มิฉะนั้นล่ะก็ เกรงว่าข้าคงไม่มีที่ยืนในหุบเขาอมตะ”
“ไม่ต้องทำปากจัด” ฟ่านเมี่ยวเจินถูกยั่วโมโหจนมันเขี้ยว หยิกเข้าให้ที่บริเวณเอวของหลี่ชิเย่อย่างแรง หลี่ชิเย่เจ็บจนทำหน้าตาบิดเบี้ยว
“เปิดเผยข่าวๆ หนึ่งให้” ขณะที่หลี่ชิเย่ลุกขึ้นจะไปพบกับชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วนั้น ฟ่านเมี่ยวเจินได้เรียกเขาเอาไว้
“อีกไม่กี่วันก็จะเป็นงานมหกรรมจำหน่ายยา ถือเป็นวันสำคัญ วันเซ่นไหว้บรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะของพวกเรา ตลอดเวฃาที่ผ่านมามีเจ้าหุบเขาของหุบเขาอมตะเป็นผู้ดำเนินการจัดงาน”
“มันก็ยิ่งบังเอิญเข้าไปใหญ่แลย” หลี่ชิเย่เผยให้เห็นรอยยิ้มเต็มใบหน้า และกล่าวว่า “ในขณะที่กำลังจะมีงานพิธีสำคัญเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เจ้าหุบเขาถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ขณะที่แคว้นว่านโซ่วได้มาสู่ขอ บังเอิญมากเหลือเกิน”
“ดังนั้น ควรจะต้องทำเช่นใด ในใจของท่านต้องกำหนดให้ดี” ฟ่านเมี่ยวเจินกล่าว
“หากว่าข้าใช้ไม้แข็งล่ะ?” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “สมควรรู้ว่าข้าไม่เคยอ่อนข้อให้ใคร ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหน้าไหนก็ตาม ไม่ก็คุกเข่าเลียอยู่กับพื้น ไม่ก็กลายเป็นศพใต้ฝ่าเท้าของข้า นังหนู ดึงตัวข้าออกมาเล่นด้วยเจ้าคิดดูให้ดีนะ”
“เจ้าต้องการหน่วงเอาไว้ หรือว่าเปิดศึกล่ะ?” หลี่ชิเย่ยิ้มแต้มองดูฟ่านเมี่ยวเจิน และกล่าวว่า “ถ้าหากพวกเจ้าต้องการให้บรรยากาศผ่อนคลาย เพื่อให้หุบเขาอมตะมีเวลาเตรียมการปะทะก็ไม่ควรลากข้าไป คนอย่างข้าลงไปเล่นเมื่อไรก็จะเล่นไม้แข็งจนถึงที่สุดแน่นอน”
เวลานี้ ฟ่านเมี่ยวเจินนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา หลังจากผ่านชั่วครู่ นางเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วและจ้องมองหลี่ชิเย่ ดวงตาที่สดใสคู่นั้นมองตรงไป และรับกับสายตาของหลี่ชิเย่ เหมือนว่าต้องการทะลวงตรงเข้าไปยังส่วนลึกของหัวใจหลี่ชิเย่ และเหมือนปล่อยให้สายตาของหลี่ชิเย่สาดส่องเข้าไปในหัวใจของตนเช่นกัน
“ข้าเชื่อท่าน!” สุดท้าย ฟ่านเมี่ยวเจินพยักหน้าหนักแน่นจริงจังและกล่าวว่า “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรอาจารย์ถึงได้เลือกท่านเป็นศิษย์อันดับที่หนึ่ง แต่ข้ายังคงเชื่อในตัวท่าน เวลานี้อาจารย์ไม่อยู่ เช่นนั้นแล้วข้าเชื่อในสิ่งที่ท่านในฐานะศิษย์อันดับที่หนึ่งได้กระทำลงไป ไม่ว่าท่านจะตัดสินใจอย่างไร ข้ากับบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องก็จะสนับสนุนท่าน”
“นังหนู ไม่แน่นักเจ้าอาจไม่ทันระวังยกเอาหุบเขาอมตะให้กับมารร้ายคนหนึ่งก็ได้” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา จับหน้าผากของฟ่านเมี่ยวเจินแล้วหันหลังออกเดินไปทันที
ภายในตำหนัก ชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วนั่งท่าทีเย็นชาอยู่ที่ตรงนั้น ชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วคือผู้เฒ่าที่ทรงกำลังอำนาจคนหนึ่ง จอนทั้งสองข้างดั่งกระบี่ แววตาดูเข้มและน่าเกรงขาม เขาคือชิงหวังที่มีอำนาจมากที่สุดของแคว้นว่านโซ่วในยุคปัจจุบัน เคยนำกองทัพออกปราบปรามสร้างผลงานที่เลื่องลือเอาไว้
มาวันนี้เขาได้รับการไหว้วานจากกษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่ว เพื่อมาสู่ขอให้กับหวงฉวนเวยอัจฉริยะบุคคลของแคว้นว่านโซ่ว การมาสู่ขอในวันนี้แม่สื่ออย่างเขาเรียกว่ามีการเตรียมตัวมาอย่างดี
ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วมาถึงนานแล้ว แต่ไม่ได้พบเห็นบรรดาผู้อาวุโสของหุบเขาอมตะเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับบรรพบุรุษของหุบเขาอมตะ แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม เขายังคงสามารถสะกดอารมณ์เอาไว้ได้ และไม่แสดงอาการโกรธออกมา
ชิงหวังแห่งแคว้นว่านโซ่วนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ด้วยแววตาที่เข้มและน่าเกรงขาม และสุขุมเยือกเย็นยิ่งนัก ต่อให้หุบเขาอมตะจงใจปฏิบัติการเย็นชากับเขาเวลานี้เขาก็ไม่สน เนื่องจากเขามองว่าหุบเขาอมตะคงทำตัวหยิ่งผยองได้อีกไม่นาน อนาคตไม่ไกลจากนี้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจะเป็นของแคว้นว่านโซ่วของพวกเขา
ในสายตาของชิงหวังแห่งแคว้นว่านโซ่วมองว่า แคว้นว่านโซ่วของพวกเขาปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะในอนาคต มันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว แคว้นว่านโซ่วของพวกเขาได้กลายเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ มีกำลังทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะอยู่ในความครอบครอง
อาจกล่าวได้ว่า ในด้านกำลังทหารแล้ว แคว้นว่านโซ่วของพวกเขาได้แซงล้ำหน้าหุบเขาอมตะไปแล้ว ดังนั้น ทุกระดับชั้นในแคว้นว่านโซ่ว ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ระดับธรรมดา หรือเหนือขึ้นไปจนถึงระดับชิงหวัง ต่างก็คิดอยู่ในใจว่าหุบเขาอมตะในวันนี้ได้เสื่อมลงแล้ว เทียบไม่ได้กับแคว้นว่านโซ่วของพวกเขา
ด้วยเหตุนี้เอง หากแคว้นว่านโซ่วจะเป็นผู้ได้กุมอำนาจปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หุบเขาอมตะครองอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะมานานพอแล้ว ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนคนได้แล้ว