หวู่ปิงหนิงเองก็รู้สึกหวั่นไหวอย่างยิ่ง มองดูดาวเชื้อไฟที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารตรงหน้า ยังจะต้องกังวลว่าสถานที่แห่งนี้จะหาเชื้อไฟไม่ได้อย่างนั้นรึ?
โดยเฉพาะกล่าวสำหรับหมอโอสถแล้ว เชื้อไฟมีความสำคัญอย่างยิ่งในขณะปรุงกลั่นยาเม็ด กระทั่งเป็นการตัดสินถึงกำลังของหมอโอสถคนหนึ่ง เชื้อไฟที่ล้ำค่ากระทั่งพบเห็นได้ยากยิ่ง ไม่สามารถหาได้ง่ายๆ
เวลานี้ดาวเชื้อไฟดวงนี้ที่อยู่ตรงหน้าอาจกล่าวได้ว่ามีเชื้อไฟบนโลกจำนวนนับไม่ถ้วน เกรงว่าสถานที่แห่งนี้มีแต่เชื้อไฟที่นึกไม่ถึง ไม่มีเชื้อไฟหาไม่ได้
ถ้าหากมีหมอโอสถคนใดคนหนึ่งสามารถมาถึงตรงนี้ได้ล่ะก็ จะต้องถูกดาวเชื้อไฟที่อยู่ตรงหน้าทำให้หวั่นไหวแน่นอน และจะต้องดีใจเป็นที่สุด จะอย่างไรเสียบนดาวเชื้อไฟลักษณะเช่นนี้จะทำให้บุคคลผู้นั้นได้ครอบครองเชื้อไฟทุกชนิดที่ต้องการ
อ๊อบเสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้เองเตาหมื่นเทพไม่รู้ว่ากระโดดออกมาจากตรงไหน ส่งเสียงออกมาด้วยความดีใจ พลันลุยเขาไปยังดาวเชื้อไฟ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ได้ยินเสียงฟูบบ ฟูบบ ฟูบบ ดังขึ้น มองเห็นเตาหมื่นเทพอ้าปากกว้างกลืนกินเชื้อไฟที่อยู่ในดาวเชื้อไฟ สวาปามอย่างเต็มที่
เหมือนเป็นนักกินที่พลันได้เห็นอาหารอร่อยที่มีมากจนกินกันไม่หมดอย่างนั้น จึงล้างท้องกินเข้าไปอย่างเต็มที่ ยัดทะนานเข้าไปเต็มปาก เหมือนว่ามีมือสองข้างมันน้อยเกินไปเสียแล้ว
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมาเมื่อมองเห็นท่าทางของเตาหมื่นเทพที่สวาปามเต็มที่ จากนั้นได้ยื่นฝ่ามือออกไป ได้ยินเสียงตูมดังขึ้น ทันใดนั้นเองบนฝ่ามือของเขาพลันปรากฏเปลวไฟขึ้นมา เป็นเปลวไฟหย่อมหนึ่งที่วูบวาบอยู่บนมือ
หลังจากที่บนฝ่ามือของหลี่ชิเย่ปรากฏเปลวไฟเป็นหย่อมแล้ว ทันใดนั้นที่ดาวเชื้อไฟบังเกิดเสียงตูมดังขึ้นมา เห็นเพียงท่ามกลางดาวเชื้อไฟปรากฏเปลวไฟจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลุกไหม้ขึ้นอย่างรุนแรง เหมือนว่าเชื้อไฟเป็นสิบล้านหย่อมพลันรู้สึกดีอกดีใจขึ้นมากะทันหัน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่กระโดดโลดเต้นขึ้นมา ภาพที่เห็นเหมือนมีการราดน้ำมันเข้ากองไฟอย่างนั้น ทำให้สถานการณ์ลุกไหม้ของเปลวไฟในดาวเชื้อไฟพลันคึกคักมีชีวิตชีวายิ่งนัก เปลวไฟพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรุนแรง
จังหวะที่เชื้อไฟทั้งหมดที่อยู่ในดาวเชื้อไฟต่างดีอกดีใจขึ้นมานั้น ขณะที่เปลวไฟจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรุนแรงนั้น ได้ยินเสียงแว้งค์ แว้งค์ แว้งค์ดังขึ้น มองเห็นประกายสีเงินเป็นสายที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ยามที่ประกายสีเงินแต่ละสายพุ่งขึ้นท้องฟ้าจังหวะนั้น ถึงกับพาเอาเปลวไฟขึ้นไปเป็นสาย เหมือนว่าเปลวไฟแต่ละสายเหล่านี้จะห่อหุ้มประกายสีเงินแต่ละสายเอาไว้อย่างนั้น
เมื่อมองดูให้ละเอียดก็จะพบว่า นี่มันคือประกายสีเงินแต่ละสายที่หลี่ชิเย่ได้เก็บรวบรวมมาจากใต้แมกมานั่น ขณะที่เปลวไฟได้เผาผลาญริบบิ้นสีเงินแล้ว ประกายสีเงินเหล่านี้ได้ล่องลอยและแยกย้ายไปทุกทิศทุกทางจนหายไปในที่สุด ไม่นึกไม่ฝันว่าประกายสีเงินเหล่านี้จะมาปรากฏขึ้นที่ตรงนี้
ในเวลานี้ เปลวไฟหย่อมนั้นที่อยู่บนฝ่ามือของหลี่ชิเย่ก็พลันดีใจขึ้นมาเช่นกัน เหมือนว่ามันกำลังเรียกหาอะไรอย่างนั้น
แว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น ประกายสีเงินแต่ละสายจากดาวเชื้อไฟที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้านั้นพลันพุ่งเข้าหาฝ่ามือของหลี่ชิเย่ และพุ่งเข้าไปในเปลวไฟที่วูบวาบหย่อมนั้น ประกายสีเงินทั้งหมดได้ถักทอเข้าด้วยกันและยึดครองอยู่พื้นที่อยู่ในเปลวไฟนั่น แล้วกลับกลายเป็นเปลวไฟสีเงินหย่อมหนึ่ง
เสียงตูมดังสนั่นขึ้นมา จังหวะที่เปลวไฟหย่อมนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมานั้น เหมือนว่ามันมีพลังดึงดูดที่รุนแรงมาก เชื้อไฟจำนวนนับไม่ถ้วนในดาวเชื้อไฟพลันพวยพุ่งเป็นเปลวไฟขึ้นมา โดยที่เปลวไฟสารพัดแบบนี้พลันพวยพุ่งเข้าไปยังเปลวไฟสีเงินนั้นอย่างไม่ขาดสาย
เสียงฟู่วว ฟู่วว ฟู่ววดังขึ้น ขณะที่เชื้อไฟทั้งหมดต่างพวยพุ่งเข้าหาเปลวไฟสีเงินนั้น เปลวไฟสีเงินพลันพองตัวขึ้น อีกทั้งยังก็ไม่ใช่เปลวไฟสีเงินอีกต่อไปอีกแล้ว เหมือนว่าหลังจากที่มันได้หลอมรวมเข้ากับเชื้อไฟเป็นหมื่นเป็นพันแล้ว สีและรูปร่างของมันล้วนแล้วแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
หลังจากที่เชื้อไฟทั้งหมดได้พวยพุ่งเข้าไปภายในเปลวไฟสีเงินเป็นเวลานานแล้ว เปลวไฟหย่อมนั้นบนมือของหลี่ชิเย่ได้ขยายตัวใหญ่ขึ้นไม่น้อยกว่าสิบเท่า และเปลวไฟในขณะนี้ก็ไม่ใช่สีเงินอีกต่อไป มันสามารถเปลี่ยนสีได้แตกต่างกันไป บางครั้งเยือกเย็นดั่งกระเบื้องเคลือบ บางครั้งร้อนแรงดั่งไฟมังกร บางครั้งเย็นยะเยือกดังไฟเย็น…
อีกทั้งเปลวไฟหย่อมนี้ที่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าได้แปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ต่างๆ นานา บางครั้งเหมือนสายน้ำที่ไหลริน บางครั้งบินวนดั่งภูติ บางครั้งรุนแรงดั่งเทพที่กำลังพิโรธ…
ฟูววเสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อเปลวไฟหย่อมนี้ในมือของหลี่ชิเย่ขยายได้ขนาดที่ใหญ่และแข็งแกร่งเพียงพอแล้วนั้น เชื้อไฟที่อยู่ในดาวเชื้อไฟต่างหยุดการพวยพุ่งเปลวไฟ เชื้อไฟทั้งหมดกลับสู่ความสงบ ต่างกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมของตน ในขณะนี้ทั่วทั้งดาวเชื้อไฟก็สงบลงตามเช่นกัน เปลวไฟในดาวเชื้อไฟยังคงเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง เหมือนว่าไม่เคยเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นมาก่อน
หวู่ปิงหนิงถึงกับจ้องมองดูเปลวไฟที่วูบวาบบนมือของหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “เจ้ามาที่นี่เพื่อต้องการรวบรวมเปลวไฟของทุกๆ เชื้อไฟรึ?”
ย่อมไม่ต้องสงสัย เปลวไฟหย่อมนี้ที่อยู่ในมือของหลี่ชิเย่ได้กอปรด้วยอภินิหารของเชื้อไฟหมื่นพันชนิดไว้แล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียงเปลวไฟเพียงแค่หย่อมเดียว แต่มันก็สามารถวิวัฒนาการเป็นเชื้อไฟชนิดใดๆ ก็ได้
“คำพูดนี้ทั้งถูกและไม่ถูก” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เป็นความจริงที่เชื้อไฟหย่อมนี้ของข้าคือแก่นของเชื้อไฟนับหมื่นนับพัน มันสามารถวิวัฒนาการกลายเป็นเชื้อไฟใดๆ ก็ได้ แต่มันไม่ได้มาจากการรวบรวม ความจริงแล้วมันคือเชื้อไฟชนิดหนึ่ง และมันดำรงอยู่ในทุกๆ ชนิดของเชื้อไฟ เวลานี้ข้าเพียงแต่จับมันมารวมตัวกัน กลับคืนสู่ต้นกำเนิดเดิมของมันเท่านั้นเอง”
“มันดำรงอยู่ในทุกๆ ชนิดของเชื้อไฟ?” หวู่ปิงหนิงถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง บนโลกนี้ถึงกับมีเชื้อไฟที่แฝงตัวอยู่ภายในเชื้อไฟทุกชนิด คำพูดนี้ฟังดูแล้วออกจะไม่น่าเป็นไปได้
“เชื้อไฟนี้มีชื่อว่า ‘หมื่นเชื้ออัคคีดึกดำบรรพ์’ พบเห็นได้ยากมาก มันสามารถแฝงตัวอยู่ภายในเชื้อไฟทุกชนิด คิดอยากจะได้ หมื่นเชื้ออัคคีดึกดำบรรพ์’ หย่อมนี้ จำเป็นต้องมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้จึงจะรวบรวมมันได้สำเร็จ มิฉะนั้นล่ะก็ ต่อให้สามารถตามหาเปลวไฟเช่นนี้จนพบ มันก็แค่ได้สิ่งที่ไม่สมบูรณ์มาเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่หัวเราะ
หลังจากหวู่ปิงหนิงได้ฟังคำอธิบายจากหลี่ชิเย่แล้ว ยังคงรู้สึกตกใจอย่างยิ่ง เจ้า ‘หมื่นเชื้ออัคคีดึกดำบรรพ์’ นี้คือเชื้อไฟที่สามารถวิวัฒนาการกลายเป็นเชื้อไฟชนิดใดๆ ก็ได้ มันคือเชื้อไฟที่หมอโอสถจำนวนเท่าไรใฝ่ฝันถึง เชื้อไฟหย่อมนี้มันคือของวิเศษที่ไม่สามารถประเมินค่าได้
“ไปกันแล้ว” ท้ายที่สุด หลี่ชิเย่ได้กวักมือเรียกเตาหมื่นเทพ
เตาหมื่นเทพร้องเสียงดังขึ้นมาคำหนึ่ง สุดท้าย ได้บินเข้าไปในมือของหลี่ชิเย่ด้วยท่าทางเหมือนไม่ยินยอมสักเท่าไร แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ก่อนจะไปจาก มันยังคงหันหลังกลับไปแล้วอ้าปากดูดไปทีหนึ่ง ได้ยินเสียงดังฟู่ววปรากฎเชื้อไฟเต็มปากถูกมันกลืนกินเข้าไป
หวู่ปิงหนิงถึงกับทำอะไรไม่ถูก เมื่อมองเห็นท่าทางที่เห็นแก่กินของเตาหมื่นเทพแล้ว
ในขณะที่กำลังจะไปจาก หวู่ปิงหนิงยังคงอดที่จะหันหลังกลับไปมองดูดาวเชื้อไฟที่มีเปลวไฟพุ่งขึ้นท้องฟ้าอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง
“ที่แท้สุดยอดของวิเศษในตำนานของดินแดนต้นกำเนิดไฟก็คือดาวเชื้อไฟ” ในที่สุด หวู่ปิงหนิงก็เข้าใจจนได้ว่าสุดยอดของวิเศษที่อยู่ในตำนานตลอดมาของดินแดนต้นกำเนิดไฟก็อะไรแล้ว
“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “คือมันนั่นแหละ เจ้ามาที่นี่แล้วสามารถได้เชื้อไฟทุกชนิดที่ต้องการ แน่นอน ปัญหาอยู่ที่ว่าเจ้าต้องมีศักยภาพนั้น รู้ถึงความลับของพื้นที่แห่งนี้จึงมาถึงที่ตรงนี้ได้ ไม่ว่าเชื้อไฟใดๆ ก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของดาวเชื้อไฟ หลังจากที่เจ้ามาถึงที่ตรงนี้แล้ว สามารถนำเอาเชื้อไฟไปชนิดหนึ่ง หรือหลายชนิดก็ได้ แต่จะไม่สามารถนำเอาดาวเชื้อไฟไปได้!”
หลังจากที่หวู่ปิงหนิงได้ฟังคำเช่นนี้แล้ว นับว่าได้เข้าใจแล้วว่า เป็นเพราะอะไรถึงได้มีตำนานเล่าว่าแม้แต่ปฐมบรรพบุรุษอย่างเทพโอสถก็บรรลุความลับได้ไม่ทั้งหมด ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถได้สุดยอดของวิเศษจากดินแดน ความจริงแล้วสิ่งนี้หาใช่ว่าเซียนโอสถจะไม่สามารถบรรลุได้ แต่เป็นเพราะสุดยอดของวิเศษชิ้นนี้ของดินแดนต้นกำเนิดไฟไม่สามารเอาไปได้อยู่แล้ว
สุดท้าย หลี่ชิเย่กับหวู่ปิงหนิงได้ไปจากโลกที่มีลักษณะเช่นนี้ และกลับคืนสู่ดินแดนต้นกำเนิดไฟ ขณะที่เหยียบลงบนแผ่นดินของดินแดนต้นกำเนิดไฟ หวู่ปิงหนิงถึงกับถอนหายใจยาวทีหนึ่ง มีใครบ้างนะที่จะรู้ว่าในดินแดนต้นกำเนิดไฟถึงกับสามารถเชื่อมไปยังโลกอีกโลกหนึ่งได้
“เจ้าจะไปไหน?” พลันที่ก้าวลงบนแผ่นดินของดินแดนต้นกำเนิดไฟ หวู่ปิงหนิงก็เอ่ยถามขึ้นมา
“หุบเขาอมตะ” หลี่ชิเย่มองไปยังที่ที่ห่างไกล และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ไปที่หุบเขาอมตะสักครั้งหนึ่ง”
“ว้าว ข้าน่ะเคยได้ยินมาว่าหุบเขาอมตะมากด้วยสาวงาม ทุกนางล้วนแล้วแต่งามเพริศพริ้งทั้งสิ้น เจ้าคงไม่ใช่หลงใหลในความงามของศิษย์สาวหุบเขาอมตะกระมัง?” หวู่ปิงหนิงค้อนขวับหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง และกล่าวด้วยท่าทีเคืองๆ ขึ้นมา
“เจ้าพูดถูกแล้วล่ะ” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “กอดซ้ายโอบขวา เสพสุขกับการมีเมียหลายคน มันช่างเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมเพียงใด”
“ไปตายเสีย” หวู่ปิงหนิงถูกคำพูดยั่วโมโหของหลี่ชิเย่จนรู้สึกมันเขี้ยว กระทืบลงปลายเท้าของหลี่ชิเย่อย่างแรง ดูเหมือนทีหนึ่งยังไม่หายโมโห จึงกระทืบอย่างแรงซ้ำเข้าไปอีกที
“โอ้ว เทพสงครามสตรีของพวกเราหึงแล้ว” หลี่ชิเย่มองดูท่าที่ของนางแล้วจึงพูดหยอกล้อขึ้นมาว่า “ยามที่เทพสงครามสตรีที่สูงเด่นเยือกเย็นงดงามหึงขึ้นมา ลักษณะท่าทางนับว่างดงามไร้ผู้เทียบเทียม สวยไม่มีสิ่งใดเทียบ ทำให้ใจข้าต้องเต้นตูมตาม”
“หลงตัวเองให้น้อยๆ หน่อย ใครหึงเจ้า ฝันกลางวัน” หวู่ปิงหนิงพลันรู้สึกใบหน้าที่เหมือนปวดแสบปวดร้อน จึงรีบเดินอยู่ข้างหน้า ท่าทางเหมือนต้องการหลบหนีไปอย่างนั้น
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะและก้าวเดินตามอยู่ด้านหลังชองหวู่ปิงหนิง
แต่ทว่า พวกหลี่ชิเย่เพิ่งจะก้าวเดินออกจากดินแดนต้นกำเนิดไฟ ทันใดนั้นได้ยินเสียงดังตูม ตูม ตูมขึ้นมาเป็นระลอก ปรากฏกองทัพอาชาที่วิ่งห้อเข้ามาหา ฉับพลันก็มาอยู่ตรงหน้าหลี่ชิเย่ กับหวู่ปิงหนิงแล้ว
กองทัพอาชานี้ดูมีพลังที่แข็งแกร่ง รวดเร็วดุดัน และฮึกเหิม พลันที่ได้เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นกองทัพที่เกรียงไกรทั่วหล้า โดยเฉพาะธงที่โบกสะบัดนั้นได้จารึกอักษรขนาดใหญ่คำว่า ‘หวู่’ ยิ่งทำให้ในใจของผู้คนต้องสะท้าน ผู้ที่รู้จักสัญลักษณ์ของธงนี้ก็จะถอยห่างออกไปให้ไกล
‘จูเซียงหวู่ถิง!’ ขอเพียงผู้ที่สามารถมองเห็นธงนี้ก็จะต้องใจหายใจคว่ำ พวกเขาย่อมรู้ว่ากองทัพอาชานี้บ่งบอกถึงสิ่งใด นี่เป็นการมาด้วยตนเองของระดับบรรพบุรุษของจูเซียงหวู่ถิง
ในแดนลัทธิพรรษ จูเซียงหวู่ถิงนับว่ามีชื่อเสียงโด่งดังยิ่ง มีผู้ที่เคยกล่าวเอาไว้ว่ากำลังของจูเซียงหวู่ถิงเหนือกว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลงมากทีเดียว กระทั่งสามารถเทียบเคียงกับพรรคหยางหมิงได้ กำลังของพวกเขาสามารถเบียดเข้าไปอยู่สามอันดับต้นของแดนลัทธิพรรษ
มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจเพียงใดกับการมาด้วยตนเองของระดับบรรพบุรุษของจูเซียงหวู่ถิง
แต่ว่า เมื่อมองเห็นกองทัพอาชาทัพนี้วิ่งห้อตรงไปยังด้านหน้าของหวู่ปิงหนิงแล้ว ผู้คนจำนวนมากก็ได้เข้าใจ เนื่องจากหวู่ปิงหนิงมีฐานะเป็นผู้สืบทอดของจูเซียงหวู่ถิง นางเคยปกครองกองทัพของจูเซียงหวู่ถิงมาก่อน เวลานี้ กองทัพอาชาลักษณะเช่นนี้ติดตามหวู่ปิงหนิงปรากฏขึ้นที่ดินแดนต้นกำเนิดไฟ มันจึงไม่ใช่เรื่องที่อยู่เหนือความคาดคิดแต่อย่างใด
มิฉะนั้นล่ะก็ การที่กองทัพอาชาลักษณะเช่นนี้โผล่ขึ้นมากะทันหันอย่างนี้ และปรากฏอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
………………………………………………….