ชิงหวังของแคว้นว่านโซ่ว นั่งอยู่ที่ตรงนั้นด้วยท่าทีเย็นชา ศิษย์ของเขายืนเอามือทิ้งอยู่ข้างลำตัวยืนอยู่ด้านข้างซ้ายขวาสองข้าง อีกทั้งศิษย์แต่ละคนของเขาล้วนแล้วแต่มือกุมด้ามดาบ แววตาดูเข้มและน่าเกรงขาม ท่าทีเหมือนพร้อมที่จะต่อสู้อย่างนั้น ท่าทางไม่ได้มาดี
สมควรทราบว่า ที่ตรงนี้คือหุบเขาอมตะ หุบเขาอมตะคือสำนักที่เป็นสายตรงปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ท่ามกลางระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแห่งใดแห่งหนึ่ง เกรงว่าเมื่อยอดฝีมือหรือศิษย์สำนักอื่นๆ ต้องเข้ามาอยู่ในสำนักที่เป็นสายตรงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแล้ว ก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวเมื่ออยู่ในถิ่นของสายตรง กระทั่งตัวสั่นงันงก
แต่ว่า ชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วกระทั่งศิษย์ที่อยู่ข้างกายของเขานั้น ล้วนแล้วแต่ไม่มีสำนึกลักษณะเช่นนี้ กระทั่งมองที่นี่เสมือนดั่งเป็นสวนหลังบ้านของพวกเขาอย่างนั้น โดยเฉพาะการที่บรรดาศิษย์ของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วมือข้างหนึ่งกุมด้ามกระบี่เอาไว้ ท่าทางเหมือนว่าหากพูดคุยกันไม่เข้าหูก็จะมีการลงมือทันทีอย่างนั้น นี่เท่ากับไม่ได้มาดี และไม่ได้เห็นหุบเขาอมตะอยู่ในสายตา
จากเวลาที่เคลื่อนผ่านไปทุกนาที ในหุบเขาอมตะยังคงไม่ได้มีระดับผู้ยิ่งใหญ่มาให้การต้อนรับชิงหวังของแคว้นว่านโซ่ว เหมือนจงใจปล่อยให้ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วได้รับการต้อนรับอย่างเย็นชาอย่างนั้น
แววตาทั้งสองของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วเผยให้เห็นถึงการเยาะเย้ย อีกไม่นานนักก็จะได้เห็นหุบเขาอมตะที่ร้องโหยหวนเมื่อต้องตกอยู่ท่ามกลางไฟแห่งสงครามกับตาในวันนั้น เขาจะมีวันนั้นวันที่ได้สำแดงบารมี ณ ที่ตรงนี้!
“ศิษย์พี่ใหญ่มาถึงแล้ว…” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น หลี่ชิเย่ได้เดินเข้ามาขนาบข้างด้วยฟ่านเมี่ยวเจิน นอกจากฟ่านเมี่ยวเจินแล้วด้านหลังยังมีศิษย์อีกจำนวนหนึ่งติดตามมาด้วย เพื่อทำให้ดูเอิกเกริกมากขึ้นให้กับหลี่ชิเย่
หลังจากหลี่ชิเย่ได้เข้ามายังห้องโถงแล้ว มองหน้าชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วแวบหนึ่ง และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ผู้ที่มานั้นมาด้วยเรื่องอันใด”
ท่าทางของหลี่ชิเย่ที่วางตัวสูงเด่นพลันสร้างความโกรธแค้นให้กับศิษย์ที่อยู่ข้างกายของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่ว สมควรทราบว่า อาจารย์ของพวกเขาเคยเกรียงไกรไปทั่วหล้า ในมือกุมอำนาจทางทหาร ถือเป็นบุคคลที่เยี่ยมยอดคนหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ อยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นต้น
แววตาของชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วพลันดูไม่เป็นมิตรทันที แต่เขาไม่ได้แสดงความโกรธขึ้นมา เพียงกล่าวเสียงเย็นชาว่า “เจ้าเป็นใคร!”
“ชิงหวัง เขาผู้นี้คือศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะพวกเรา และเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเรา” ฟ่านเมี่ยวเจินเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“แม่นางฟ่าน ข้ามาที่นี่เพื่อต้องการพบนักพรตฉางเซิน” ชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วกล่าวเสียงเย็นชา
“นักพรตฉางเซินใช่ว่าเจ้าอยากจะพบก็ได้พบเลย” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “มีเรื่องอะไรก็ว่ามาเลย อย่าทำให้ข้าต้องเสียเวลา”
“เจ้า…” ดวงตาทั้งสองของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วพลันดูเข้ม แววตาที่เข้มและน่าเกรงขาม กล่าวเย็นชาขึ้นว่า “สิ่งที่ข้าจะสนทนานั้นหาใช่เจ้าที่เป็นเพียงผู้เยาว์ไร้ชื่อไร้เสียงสามารถตัดสินใจได้!”
“ชิงหวัง เวลานี้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด เรื่องราวที่เกี่ยวกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะล้วนแล้วแต่ให้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นผู้ตัดสินใจ” ฟ่านเมี่ยวเจินกล่าวขึ้น
ในสายตาของผู้อื่นมองว่าหลี่ชิเย่เป็นเพียงผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียง แต่ฟ่านเมี่ยวเจินนั้นแตกต่าง นางคือศิษย์เอกของนักพรตฉางเซิน ศิษย์พี่ใหญ่ของหุบเขาร้อยบุปผา คำพูดของนางมีน้ำหนักไม่น้อยในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ
“มีเรื่องอะไรรีบพูดออกมา มีลมรีบผาย” หลี่ชิเย่โบกมือเหมือนหงุดหงิดรำคาญ และกล่าวว่า “เจียดเวลามาพบกับเจ้ากฌนับเป็นเกียรติของเจ้าแล้ว รีบว่ามา!”
“โอหัง…” ศิษย์ที่ยืนอยู่ข้างกายชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วร้องเสียงดังออกมาทันที มือกุมอยู่ที่ด้ามกระบี่
“ตบปาก…” หลี่ชิเย่สั่งออกไป และขี้คร้านจะมองหน้าด้วยซ้ำ
เพียะ เพียะในเสี้ยววินาทีนั่นเอง ฟ่านเมี่ยวเจินลงมือด้วยตนเอง ตบเข้าที่หน้าของศิษย์ผู้นั้นอย่างแรงไปสองที จนเลือดไหลออกจากมุมปาก
แม้ว่าฝีมือศิษย์ของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วไม่ธรรมดา แต่เมื่อเทียบกับศิษย์พี่ใหญ่อย่างฟ่านเมี่ยวเจินแล้วดูจะห่างชั้นกันมากทีเดียว
“เจ้า…” ศิษย์ผู้นี้โกรธจัด แต่ถูกชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วขวางเอาไว้
“หุบเขาอมตะเป็นสถานที่ใด กุมสุดยอดอำนาจสูงสุด ต่อให้เป็นกษัตริย์พวกเจ้ามาอยู่ ณ ที่นี้ก็อย่าได้ทำกำแหงนัก” แววตาของฟ่านเมี่ยวเจินเย็นยะเยือก เปี่ยมด้วยปณิธานการฆ่า
ศิษย์พี่ใหญ่อย่างฟ่านเมี่ยวเจินไม่ได้เหมือนเช่นมู่หย่าหลัน หรือฉินซาวเย่าที่อารมณ์ดีคุยกันง่าย เมื่อไรที่เป็นเรื่องใหญ่ล่ะก็ นางรับรองได้ว่ามีความเด็ดขาดในเรื่องฆ่าฟัน
“ดี ถือเสียว่าข้าอบรมสั่งสอนไม่ดี” หลังจากที่ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วได้ขวางศิษย์ของตนเอาไว้แล้ว จ้องเขม็งเย็นชาไปที่หลี่ชิเย่
ระหว่างที่ยังไม่ชัดเจนในตื้นลึกหนาบางของหุบเขาอมตะ พวกเขาก็ยังไม่รีบร้อน สุดท้าย เขาได้เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ในเมื่อศิษย์พี่ใหญ่สามารถตัดสินใจได้ย่อมเป็นการดีที่สุด ที่ข้ามาวันนี้คือนำเอาข่าวดีมาบอก เดิมหุบเขาอมตะกับแคว้นว่านโซ่วก็สนิทสนมดั่งครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว ใยจะต้องมาสู้รบกันเล่า”
เมื่อชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วพูดจบได้ปรบมือของเขา พลันสิ้นเสียงปรบมือศิษย์ที่อยู่นอกประตูได้ช่วยกันขนเอาหีบเข้ามาใบแล้วใบเล่า จากนั้นตามติดด้วยการเปิดฝาหีบแต่ละหีบออกมา
‘ตาไฟเนตรหยก หนึ่งหีบ’ ‘มุกวิเศษไป่หลิง หนึ่งคู่’ ‘แร่เถี่ยตัน ห้าสิบกิโลกรัม’ ‘น้ำแร่หลิงซี หนึ่งขวด’ ‘ปิ่นปักผมต้นวิญญาณ หนึ่งชิ้น’ ‘ดอกสือหูศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งกล่อง’…
บรรดาศิษย์เหล่านี้ได้พูดถึงชื่อของวิเศษในแต่ละหีบออกมา สุดท้ายได้กล่าวพร้อมกันว่า “รวมของวิเศษล้ำค่าสิบแปดหีบ!”
ครั้นศิษย์เหล่านี้ได้รายงานจบแล้ว ชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วได้ลุกขึ้นยืน และเผยรอยยิ้มออกมากล่าวว่า “วันนี้ข้ามาด้วยเรื่องมงคล หมอเทวดาของหุบเขาอมตะมู่หย่าหลันมีฝีมือด้านการแพทย์ยอดเยี่ยม รูปโฉมงดงามประทับใจ ซึ่งก็ถึงวัยสมควรมีคู่ครองได้แล้ว หลานหวงแห่งแคว้นว่านโซ่วของพวกเราคือบุคคลที่เป็นเสาหลักในยุคปัจจุบัน เป็นอัจฉริยะบุคคลที่หาได้ยากยิ่ง เขากับหมอเทวดามู่หย่าหลันผูกใจรักใคร่…”
“ชิงหวังโปรดระวังคำพูด” ขณะที่ชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วพูดยังไม่ทันจบ ฟ่านเมี่ยวเจินได้พูดขัดเรียบเฉยน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “ศิษย์น้องของข้าเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ อย่าได้พูดพล่อยๆ”
เวลาที่ฟ่านเมี่ยวเจินทำงานไม่มีคำว่าคลุมเครือ เป็นผู้ที่น่าเกรงขามและเฉียบขาดแน่นอน ดังนั้น เมื่อชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วพูดผิดคำหนึ่ง นางก็จะไม่ไว้หน้าอย่างเด็ดขาด
ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วไอกระแอมคำหนึ่ง และกล่าวว่า “สรุปก็คือ หมอเทวดามู่กับหลานหวงของพวกเราคือกิ่งทองใบหยก เป็นคู่สร้างคู่สม ดังนั้นข้าได้รับบัญชาจากฝ่าบาทให้มาเป็นพ่อสื่อ และมอบของขวัญชุดหนึ่ง ของขวัญเล็กน้อย อย่าได้ถือสา…”
เรื่องราวยังไม่มีทีท่าว่าจะเกิดขึ้น และไม่สนใจว่าหุบเขาอมตะจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วระบุตรงๆ เลยว่าเป็นสินสอดทองหมั้นเสียแล้ว พฤติกรรมเช่นนี้ใช่เพียงเป็นการยกตนข่มท่าน มันคือการบังคับแต่งงานกันชัดๆ
“นับว่าเป็นของขวัญเล็กน้อยจริงๆ…” หลี่ชิเย่กล่าวตัดบทชิงหวังของแคว้นว่านโซ่ว กล่าวท่าทีตามอารมณ์ว่า “ของวิเศษล้ำค่าสิบแปดหีบอะไรของเจ้า แค่เศษเหล็กเก่าๆ สิบแปดหีบเท่านั้นเอง เอานี่ไป มาจากไหนก็กลับไปทางนั้น”
ได้ยินเสียงดังตึง มองเห็นหลี่ชิเย่โยนสิ่งหนึ่งออกมาตามอารมณ์ เป็นเหรียญกษาปณ์ราชันแท้จริงตกลงบนพื้น ยามที่เหรียญกษาปณ์ราชันแท้จริงกลิ้งตกกับพื้นนั้น พลันเปล่งอานุภาพราชันออกมา พลังดังกล่าวพลันตลบอบอวลไปทั่วห้องโถง ขณะที่อานุภาพราชันตลบอบอวลไปทั่วนั้น พลันทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรุ้สึกหายใจไม่ออก
“เหรียญกษาปณ์ราชัน…” แม้แต่ฟ่านเมี่ยวเจินก็ตกตะลึง เมื่อมองเห็นเหรียญกษาปณ์ราชันแท้จริงที่กลิ้งตกอยู่บนพื้น
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างตะลึงงันอยู่ตรงนั้น เหรียญกษาปณ์ราชันแท้จริงหนึ่งเหรียญ! มันช่างเป็นสิ่งที่ล้ำค่าเพียงใด ลำพังศิลาระดับราชันแท้จริงก็มีน้อยมากๆ แล้ว อาศัยศิลาแท้จริงชั้นคุณภาพราชันแท้จริงมาตัดและหลอมสร้างเป็นเหรียญกษาปณ์ราชันแท้จริง ย่อมไม่ต้องพูดถึงมูลค่าของมันแล้ว สำนักหรือบุคคลที่มีคุณสมบัติในการสร้างเหรียญกษาปณ์ราชันแท้จริงนั้นมีอยู่ไม่มาก
เวลานี้ หลี่ชิเย่โยนออกมาตามใจก็คือเหรียญกษาปณ์ระดับราชันแท้จริงเหรียญหนึ่ง นี่มันคือเหรียญกษาปณ์ราชันจริงๆ นะเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นสำนักใดๆ ก็ตาม ใช่ว่าใครก็มีสิทธิ์ได้ใช้เหรียญกษาปณ์ราชันได้ ต่อให้เป็นหุบเขาอมตะที่เป็นสายตรงซึ่งสามารถกุมอำนาจระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะได้ก็หาใช่ใครก็มีสิทธิ์ได้ใช้เหรียญกษาปณ์ราชัน โดยทั่วไปแล้วก็ต้องเป็นชั้นระดับบรรพบุรุษ ทั้งยังต้องเป็นระดับบรรพบุรุษที่มีตำแหน่งสูงมากจึงจะได้ใช้เหรียญกษาปณ์ราชัน
กล่าวสำหรับสำนักใดๆ กระทั่งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแล้ว เหรียญกษาปณ์ราชันถือเป็นทรัพยากรที่มีค่าอย่างยิ่ง
เวลานี้ หลี่ชิเย่โยนออกไปตามอารมณ์ก็เป็นเหรียญกษาปณ์ราชัน ทั้งยังทำเหมือนโยนขยะอย่างนั้น หรือจะบอกว่าเหมือนโยนเหรียญทองแดงหนี่งอีแปะอย่างนั้น ไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึง ช่างเป็นการกระทำที่พาลเหลือเกิน
หลี่ชิเย่ได้ขุมทรัพย์ส่วนตัวของผู้เฒ่ากำแหงมา เหรียญกษาปณ์ราชันสำหรับเขาแล้วไม่นับเป็นอะไรได้ เหรียญกษาปณ์ราชันที่อยู่ในมือของเขานั้นไม่สามารถจินตนาการได้เลย
แม้จะกล่าวว่าของวิเศษล้ำค่าสิบแปดหีบที่ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วนำมานั้น ฟังดูเหมือนน่าตกใจอย่างยิ่ง แต่มันก็แค่ของวิเศษธรรมดาๆ เท่านั้น ต่อให้มีจำนวนมากถึงสิบแปดหีบก็ยังห่างชั้นเทียบไม่ได้กับเหรียญกษาปณ์ราชันเหรียญเดียวของหลี่ชิเย่
อย่าว่าแต่ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่ว แม้แต่ฟ่านเมี่ยวเจินก็ตกใจอย่างยิ่ง ไล่คนไปด้วยการโยนเหรียญกษาปณ์ราชันออกไปตามอารมณ์ มาดที่ฟุ่มเฟือยเช่นนี้เรียกได้ว่าคือผู้ล้างผลาญสมบัติพ่อแม่ระดับพิเศษแล้ว
แม้แต่ชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วก็ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้น เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าหลี่ชิเย่จะไม่ทำตามกฎเกณฑ์ ต่อให้หุบเขาอมตะจะปฏิเสธการสมรสในครั้งนี้ก็ไม่น่าเป็นเช่นนี้ ท่าทางของหลี่ชิเย่ก็คือเมื่อคุยไม่รู้เรื่องก็อาศัยเงินทุ่มพวกเขาให้ตายอย่างนั้น
“แค่พวกยากจนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ยากจนสุดๆ ยังคิดจะแต่งศิษย์น้องของข้า คางคกอยากกินเนื้อห่านฟ้า” หลี่ชิเย่ทำท่าสะบัดมือและกล่าวว่า “เหรียญกษาปณ์ราชันเหรียญนี้ถือว่าประทานเป็นรางวัลให้พวกเจ้า กลับไปซื้อเนื้อกินกันสักหน่อยก็แล้วกัน”
ฟ่านเมี่ยวเจินถึงกับยิ้มเจื่อนๆ นางก็พูดอะไรไม่ออกแล้วเวลานี้ เอาเหรียญกษาปณ์ราชันเหรียญหนึ่งไปซื้อเนื้อกิน มันคือภูเขาเนื้อที่กินกันไม่หมดเลยนะ!
การที่หลี่ชิเย่โยนเหรียญกษาปณ์ราชันออกมาตามใจเป็นการไล่พวกเขาไป เวลานี้ตัวชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วเองก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นาทีนี้ตัวเขาเองก็รู้สึกสงสัยตัวเองเหมือนกันว่าใช่ยากจนสุดๆ หรือไม่
จะอย่างไรเสีย เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเจ้าถิ่นที่ไม่ทันใดก็โยนเหรียญกษาปณ์ราชันออกมาไล่พวกเขาแล้ว นับว่าพวกเขายากจนจนน่าเกลียดอัปลักษณ์จริงๆ
ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง สุดท้ายเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “พวกเรานั้นของขวัญมูลค่าน้อยแต่มากด้วยไมตรีจิต ที่สำคัญที่สุดคือทั้งชายและหญิงเหมือนดั่งกิ่งทองใบหยก และสมกับฐานะ…”
“แค่คนยากจนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น พูดออกมาได้ว่าสมฐานะ” หลี่ชิเย่กล่าวตัดบทชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วว่า “มาจากไหนก็กลับไปทางนั้น ศิษย์น้องของข้าไหนเลยที่พวกเจ้าจะเอื้อมถึงได้!”
ท่ามกลางผู้ยอดเยี่ยมผู้นี้ ฟ่านเมี่ยวเจินนอกจากยิ้มเจื่อนๆ แล้วยังคงเป็นยิ้มเจื่อนๆ หุบเขาอมตะของพวกเขาย่อมไม่เล่นด้วยกับการเกี่ยวดองสมรสของแคว้นว่านโซ่ว และมู่หย่าหลันก็จะไม่แต่งไปที่แคว้นว่านโซ่วอย่างเด็ดขาด พวกเขาปฏิเสธการแต่งงานลักษณะเช่นนี้อย่างเด็ดขาด
แต่ว่า วิธีการปฏิเสธเช่นนี้ของหลี่ชิเย่นับว่าง่ายดายและหยาบคายเกินไป มันเหมือนเป็นการยกเท้าเหยียบลงบนใบหน้าของผู้อื่นชัดๆ และตบหน้าดังเพียะเพียะเพียะโดยไม่มีการไว้หน้าให้กับฝ่ายตรงข้ามเลย
ฟ่านเมี่ยวเจินรู้สึกว่าการทำงานของตนก็ดุเดือนรุนแรงและพาลมากพออยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบกับหลี่ชิเย่แล้วมันคือความดุเดือนรุนแรงและพาลที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนมาก ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง
“เจ้าจะต้องพึงระวังถ้อยคำของเจ้า” ในเวลานี้ ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วพลันมีสีหน้าที่บึ้งตึง กล่าวน่าเกรงขามว่า “แคว้นว่านโซ่วของพวกเราไหนเลยให้เจ้าออกปากเหยียดหยามได้!”
ไม่ว่างานแต่งคราวนี้จะสำเร็จหรือไม่ ท่าทีของหลี่ชิเย่พลันถูกแคว้นว่านโซ่วของพวกเขานำเอาไปข้ออ้างในทันที นี่เป็นการเสียมารยาทก่อนของหุบเขาอมตะ อย่าได้โทษแคว้นว่านโซ่วของพวกเขาที่เสียมารยาท!
……………………