ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 2242 ราชครูเซี่ยว

ตอนที่ 2242 ราชครูเซี่ยว
นาทีนี้ ผู้เฒ่าผู้หนึ่งเหินฟ้าเข้ามา ก้าวขึ้นไปบนสะพานกระบี่แล้วก้าวมาตามสะพานกระบี่ มองดูเหมือนว่าเขาก้าวเดินมาทีละก้าวๆ เหมือนเดินช้ามาก แต่ความจริงแล้วเป็นความเร็วที่น่ากลัวมาก เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นก็มาถึงด้านหน้าทางเข้าหุบเขาอมตะแล้ว
ผู้เฒ่าผู้นี้สวมใส่ชุดเสื้อวิเศษทั้งชุด สายตาของเขาแหลมคมยิ่งนักดั่งนกเหยี่ยว จอนทั้งสองข้างเป็นสีขาวเทา หนวดสั้นดั่งขนแม่น ท่าทางดุดัน โดยเฉพาะกลิ่นอายเทพแท้จริงที่แผ่กระจายออกมาจากตัวของเขานั้น ยิ่งเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คน
เวลานี้อานุภาพเทพแท้จริงบนตัวของผู้เฒ่าผู้นี้ดั่งลูกคลื่นที่ซัดสาดพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง น่าเกรงขามและดุดัน อีกทั้งผู้เฒ่าไม่เพียงแต่ไม่คิดที่จะเก็บงำ ตรงกันข้ามกลับปล่อยให้พลังเทพแท้จริงของตนอาละวาดอยู่บนฟ้าดินแห่งนี้ตามอำเภอใจ
สมควรทราบว่า ที่ตรงนี้คือถิ่นของหุบเขาอมตะ ยิ่งกว่านั้นยังอยู่บริเวณประตูทางเข้าของหุบเขาอมตะอีกด้วย ในฐานะที่หุบเขาอมตะเป็นสายตรงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นสำนักใดๆ ก็ตาม จะต้องให้ความเคารพต่อหุบเขาอมตะที่ควรจะเป็น
ต่อให้เป็นเทพแท้จริงที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ เวลาที่อยู่ด้านนอกประตูทางเข้าของหุบเขาอมตะก็ต้องเก็บงำกลิ่นอายของตน ซึ่งถือเป็นการให้ความเคารพต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง
เวลานี้ ผู้เฒ่าผู้นี้ปล่อยให้กลิ่นอายเทพแท้จริงไปตามอารมณ์ เป็นการท้าทายต่ออำนาจของหุบเขาอมตะอย่างโจ่งแจ้ง กระทั่งเรียกได้ว่าไม่เห็นหุบเขาอมตะอยู่ในสายตาเลย
“เซี่ยวหงเจี้ยน! ราชครูเซี่ยว…” ไม่เพียงแต่ผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ด้านนอกหุบเขาอมตะที่รู้สึกตระหนก แม้แต่ศิษย์จำนวนไม่น้อยของหุบเขาอมตะเองก็รู้สึกตกใจ เมื่อมองเห็นผู้เฒ่าที่ก้าวเดินเข้ามาบนสะพานกระบี่
นาทีนี้ ได้ยินเสียงสัญญาณฉุกเฉินดังตึง ตึง ตึงขึ้นมาอีกครั้ง ทั่วทั้งหุบเขาอมตะคล้ายดั่งเผชิญกับศัตรูผู้กล้าแข็งอย่างนั้น
เซี่ยวหงเจี้ยนก็คือชื่อของผู้เฒ่าผู้นี้ เขาก็คือราชครูของแคว้นว่านโซ่ว ในอดีตนานมาแล้ว เซี่ยวหงเจี้ยนคือผู้บำเพ็ญตนที่แข็งแกร่งมากในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ภายหลังถูกแคว้นว่านโซ่วดึงตัวไปและได้รับการให้ความสำคัญจากแคว้นว่านโซ่ว
โดยเฉพาะได้รับการช่วยเหลือด้านโอสถจากแคว้นว่านโซ่วแล้ว ยิ่งทำให้ทักษะของเซี่ยวหงเจี้ยนรุดหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เคยมีข่าวลือนานมาแล้วในอดีตว่า เซี่ยวหงเจี้ยนนั้นได้ก้าวหน้าไปถึงขั้นก้าวขึ้นสู่สวรรค์ กลายเป็นเทพแท้จริงสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ต่อมามีอยู่ช่วงระยะเวลานานมาแล้ว มีผู้คาดเดาว่า เซี่ยวหงเจี้ยนมีความเป็นไปได้ว่าได้กลายเป็นเทพแท้จริงก้าวขึ้นสู่สวรรค์ชั้นที่สองแล้ว
ในฐานะที่เป็นเทพแท้จริงก้าวขึ้นสู่สวรรค์ชั้นที่สอง ดำรงตำแหน่งราชครูของแคว้นว่านโซ่ว ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงกำลังของแคว้นว่านโซ่วในอีกแง่มุมหนึ่ง สมควรทราบว่าแคว้นว่านโซ่วนั้นเป็นเพียงสำนักหนึ่งที่อยู่ภายใต้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเท่านั้น ยังไม่สามารถเป็นตัวแทนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะทั้งหมด แต่ทว่า ตำแหน่งราชครูของพวกเขาก็เป็นถึงระดับเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นที่สองแล้ว ลองนึกภาพดดู ระดับบรรพบุรุษของพวกเขาก็คงไม่ด้อยไปกว่ากันสักเท่าไร
“ราชครูเซี่ยว…” ชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วรู้สึกดีใจ เมื่อมองเห็นเซี่ยวหงเจี้ยนมาถึงด้านหน้าประตูทางเข้าของหุบเขาอมตะเพียงชั่วพริบตาเดียว นาทีนี้เขารู้สึกว่าตัวเองรอดแล้ว
ในเวลานี้ ไม่รู้ว่ามีสายตาจำนวนเท่าไรที่ตกไปอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ด้านนอก หรือจะเป็นศิษย์ของหุบเขาอมตะ อีกทั้งยังมีผู้คนจำนวนมากที่ยังไม่รู้ถึงรายละเอียดเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“สหายน้อย มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ ปล่อยชิงหวังเสียก่อน” ดวงตาทั้งสองของ เซี่ยวหงเจี้ยนจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ แววตาของเขาดูลึกล้ำ ไม่โกรธแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ
“เจ้าบอกให้ปล่อยก็ปล่อยเลยนะเนี่ย” หลี่ชิเย่ยิ้มและกล่าวว่า “คนที่ข้าต้องการฆ่า ใครมาก็ใช้การไม่ได้”
“สหายน้อย เจ้าต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบนะ” เซี่ยวหงเจี้ยนเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ภาษิตว่า สองแคว้นต่อสู้กันไม่ประหารทูต ชิงหวังก็เพียงแค่ผู้นำสารเท่านั้นเอง อีกอย่าง หากสหายน้อยทำการโดยพลการ เกรงว่าจะนำพาหุบเขาอมตะเข้าไปอยู่ท่ามกลางไฟสงครามนับเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเลย”
“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉ่ยเมยและกล่าวว่า “ข้ากลับจะชอบนะไฟสงครามนี่ โดยปรกติแล้วมีแต่ข้าที่นำเอาไฟสงครามไปเผายังบ้านคนอื่น คนที่กล้านำไฟสงครามมาเผาบนตัวข้าเกรงว่าคงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว”
“สหายน้อย เกรงว่าผลลัพธ์นี้เจ้าจะแบกรับเอาไว้ไม่ได้! กลับตัวใหม่เวลานี้ยังไม่สาย หากสังหารทูตของแคว้นว่านโซ่วล่ะก็ เท่ากับเป็นการประกาศศึกกับแคว้นว่านโซ่ว สิ่งนี้หาใช่เจ้าสามารถตัดสินใจได้ ยังคงเชิญนักพรตฉางเซินออกมาตัดสิน…” สีหน้าของเซี่ยวหงเจี้ยนดูไม่เป็นมิตรนัก
หลี่ชิเย่โบกมือกล่าวตัดบทว่า “แค่แคว้นว่านโซ่วเท่านั้นเอง ไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไหนเลยต้องให้เจ้าหุบเขาพวกเราออกหน้า ข้าคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ทำลายแคว้นว่านโซ่วพวกเจ้ามันก็แค่ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือเท่านั้น”
คำพูดเช่นนี้เมื่อพูดออกมา พลันทำให้ผู้อยู่ในเหตุการณ์ไม่รู้จำนวนเท่าไรต้องใจหายใจคว่ำ ไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ด้านนอก แม้แต่ศิษย์ของหุบเขาอมตะก็ต้องตกใจอย่างยิ่งกับคำพูดของหลี่ชิเย่
นี่ออกจะบ้าบิ่นมากเกินไปแล้วกระมัง ศิษย์ของหุบเขาอมตะต่างมองหน้ากันและกัน รู้สึกว่าศิษย์พี่ใหญ่ของตนเองนั้นคงบ้าไปแล้ว แคว้นว่านโซ่วคือสำนักอันดับหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ความเข้มแข็งด้านกำลังนั้นเรียกว่าไล่ตามหลังหุบเขาอมตะของพวกเขามาติดๆ
เวลานี้ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขาถึงกับออกปากว่าอาศัยตัวเขาเพียงลำพังคนเดียวก็สามารถทำลายแคว้นว่านโซ่วได้แล้ว เรียกได้ว่าบ้าบิ่นจนสุดๆ
ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ด้านนอกก็ถูกคำพูดเช่นนี้ทำเอาตกใจจนตะลึงงัน แคว้นว่านโซ่วเสมือนดั่งพระอาทิตย์กลางหาว และเป็นสำนักที่เคยให้กำเนิดระดับราชันแท้จริงมาก่อน เวลานี้มีคนกล้าร้องเอะอะว่าจะทำลายพวกเขา มันช่างพาลเพียงใด คนประเภทนี้หากไม่เป็นเพราะเสียสติไปแล้วก็ต้องแข็งแกร่งและพาลจนสุดๆ
มีผู้ที่ได้สติกลับมาหลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงกับต้องมองตากันและกัน โดยเฉพาะบรรดายอดฝีมือรุ่นอาวุโสบางส่วน ในใจของพวกเขามองว่าเรื่องขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่เห็นจะเป็นอุบัติเหตุ เกรงว่าภาพที่เห็นนั้นเป็นการเตรียมการและวางแผนกันมาเป็นเวลานานแล้ว
มิฉะนั้นแล้ว ไหนเลยที่เซี่ยวหงเจี้ยนซึ่งเป็นราชครูของแคว้นว่านโซ่วจะปรากฎตัวออกมาอยู่ด้านหน้าของหุบเขาอมตะได้ทันกาลเช่นนี้ได้เล่า?
ภายในใจของบรรดายอดฝีมือรุ่นอาวุโสรู้ดีว่า ระหว่างหุบเขาอมตะกับแคว้นว่านโซ่วช้าเร็วก็ต้องสู้รบกัน ศึกครั้งนี้ที่จะเกิดขึ้นนั้น ปัญหาอยู่ที่เงื่อนเวลาเท่านั้นเอง
ในหลายยุคสมัยช่วงหลังๆ ที่ผ่านมา แคว้นว่านโซ่วเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะภายใต้การปกครองของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน แคว้นว่านโซ่วเสมือนดั่งพระอาทิตย์ที่อยู่กลางหาว เรียกได้ว่ามีกองทัพที่กล้าแข็งมาก ได้รับการยกย่องว่าเป็นพรรคอันดับหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ
สำหรับหุบเขาอมตะในฐานะผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะกลับทำตัวค่อมต่ำลงทุกวันๆ ผู้คนจำนวนมากต่างเข้าใจว่าหุบเขาอมตะนั้นอยู่ในช่วงของพระอาทิตย์อัสดงแล้ว ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนจำนวนมากจึงคิดว่าหุบเขาอมตะไม่เหมาะที่จะเป็นผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะอีกต่อไป
อำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง ช่างเป็นสิ่งที่ผู้คนอยากได้มาครอบครองมากเหลือเกิน มันเป็นบัลลังก์ที่สำนักต่างๆ จำนวนเท่าไรที่จ้องมองมานาน! ถ้าหากสามารถครอบครองอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง ย่อมบ่งบอกว่าได้กลายเป็นสายตรงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธินั้นๆ เป็นตัวแทนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมด ฐานะเช่นนี้ในแดนลัทธิพรรษเรียกว่าไม่ต้องเอ่ยถึงก็เป็นที่เข้าใจกันแล้ว
จากการที่แคว้นว่านโซ่วที่นับวันเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่หุบเขาอมตะยิ่งทำตัวค่อมต่ำลงทุกวัน ทุกคนต่างเป็นที่เข้าใจว่า แคว้นว่านโซ่วต้องการครอบครองอำจาจที่อยู่ในมือของหุบเขาอมตะมานานมากแล้ว ดังนั้น ทุกคนจึงรู้ดีว่า ระหว่างแคว้นว่านโซ่ว และหุบเขาอมตะจะต้องเกิดศึกสงครามขึ้นแน่นอน เสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกันได้
ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ในฐานะศิษย์ของหุบเขาอมตะถึงกับหาญกล้ากล่าวต่อหน้าทุกคนว่าจะทำลายแคว้นว่านโซ่วเสีย พลันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นว่านโซ่ว กับหุบเขาอมตะตึงเครียดจนถึงขีดสุด ผู้คนจำนวนมากต่างได้กลิ่นคาวเลือดสายนั้นเข้าให้แล้ว
“วาจาสามหาว…” สีหน้าของเซี่ยวหงเจี้ยนพลันดูไม่จืดถึงขีดสุด ในฐานะที่เป็นราชครูของแคว้นว่านโซ่ว เขามีหน้าที่ต้องปกป้องอำนาจและบารมีของแคว้นว่านโซ่ว
“เวลานี้เจ้าปล่อยตัวชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วยังทัน มิฉะนั้นล่ะก็ ฆ่าไม่มีละเว้น” เซี่ยวหงเจี้ยนกล่าวน่าครั่นคร้ามขึ้นมาว่า “เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้นักพรตฉางเซินก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”
เวลานี้ กลิ่นอายการฆ่าของเซี่ยวหงเจี้ยนตลบอบอวล ปณิธานการฆ่าของเขาเสมือนดั่งเข็มเงินที่ทิ่มแทงจนผิวหนังของทุกคนรู้สึกเจ็บปวด
ปุ…เสียงหนึ่งดังขึ้น เซี่ยวหงเจี้ยนเพิ่งจะพูดขาดคำ ชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วที่ถูกหลี่ชิเย่ล็อคคอเอาไว้นั้นก็ถูกบีบจนกลายเป็นหมอกเลือดไป ชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วกระทั่งร้องน่าเวทนาออกมายังไม่ทัน ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องที่จะขัดขืนแล้ว
“ไม่ เจ้าพูดผิดแล้ว ควรจะพูดว่าต่อให้สวรรค์ก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้” หลี่ชิเย่พูดเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกคนต่างงงงันก็สิ่งที่เกิดขึ้น หลี่ชิเย่ไม่ทำตามกฎ การเผชิญกับการข่มขู่จากระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ เขากลับไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย จัดการกับตัวประกันที่อยู่ในมือจนกลายเป็นหมอกเลือดไปต่อหน้าต่อตาระดับเทพแท้จริงผู้นี้ ช่างเป็นวิธีการที่พาลและดุดันเพียงใด
ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างมองหน้ากันและกัน เซี่ยวหงเจี้ยนคือระดับเทพแท้จริงนะเนี่ย ขณะที่หลี่ชิเย่ในฐานะกลุ่มคนรุ่นใหม่ของหุบเขาอมตะถึงกับกล้าท้าทายต่อเขา ช่างพาลอะไรขนาดนั้น ต้องมีความมั่นใจเพียงใด มันคือความบ้าบิ่นชัดๆ
สีหน้าของเซี่ยวหงเจี้ยนดูไม่จืดถึงขีดสุด เนื่องจากเขาเองก็นึกไม่ถึงว่าหลี่ชิเย่จะบีบชิงหวังของแคว้นว่านโซ่วจนกลายเป็นหมอกเลือดอย่างกะทันหัน เปลี่ยนเป็นคนอื่นไม่ว่าใครก็ตามคงไม่มีการกระทำที่บ้าบิ่นถึงเพียงนี้
“ผู้เยาว์ ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น!” เซี่ยวหงเจี้ยนโกรธจนถึงขีดสุด มันเป็นการท้าท้ายอำนาจบารมีของเขาโดยตรง กระทั่งไม่เห็นเทพแท้จริงอย่างเขาอยู่ในสายตา
ตึง…เสียงหนึ่งดังขึ้น พริบตาเดียวนั่นเอง เซี่ยวหงเจี้ยนสองมือประกบกัน มองเห็นประกายกระบี่สายหนึ่งที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ได้ยินเสียงกระบี่คำรามดังตึง ปรากฎกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่โตมหึมาเล่มหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาช้าๆ กระบี่ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้มีความยาวนับสิบล้านจ้าง เมื่อมันโผล่พ้นหมดทั้งเล่มปลายกระบี่สามารถยันไปถึงจักรวาล
ณ นาทีนี้ พลังกระบี่ที่ที่น่ากลัวดั่งน้ำตกสวรรค์ที่ทิ้งตัวลงมา พลังกระบี่ทุกสายล้วนแล้วแต่สามารถสังหารยอดฝีมือนับสิบล้านคน สร้างความหวาดกลัวให้ผู้คนจำนวนมากต้องทยอยกันถอยหลังไป
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในเสี้ยววินนาทีนี้เอง หนึ่งกระบี่ของเซี่ยวหงเจี้ยนได้ฟาดฟันลงมา ขณะที่หนึ่งกระบี่ของเซี่ยวหงเจี้ยนที่ฟาดฟันลงมานั้น ได้ยินเสียงแตกสลายดังขึ้น ภายใต้อานุภาพหนึ่งกระบี่นี้ บรรดาภูเขาที่อยู่ด้านนอกหุบเขาอมตะล้วนแล้วแต่ปรากฎรอยร้าวออกมา
“น่าสยดสยองมาก…” ยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยที่ได้ถอยห่างออกไปแล้วยังคงมีสีหน้าที่ขาวซีด เมื่อมองเห็นหนึ่งกระบี่ที่พาลยิ่งนักเช่นนี้ แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ในใจยังคงหวาดผวาอยู่ และกล่าวว่า “อาศัยอานุภาพหนึ่งกระบี่นี้เกรงว่าคงอยู่ในระดับเทพแท้จริง ขั้นสวรรค์ชั้นที่สองแล้วกระมัง”
“ผู้เยาว์ของหุบเขาอมตะท้าสู้กับระดับเทพแท้จริงก้าวขึ้นสู่สวรรค์เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเลย เกรงว่าคงเป็นการรนหาที่ตายเอง” กระบี่ที่ฟันลงมาในลักษณะเช่นนี้ มีผู้ที่พึมพำออกมาว่า พวกเขาไม่ต้องไปดูตอนต่อไปก็ทราบผลอยู่แล้ว หลี่ชิเย่ที่เป็นผู้เยาว์ลักษณะเช่นนี้ไม่สามารถต้านความน่ากลัวของกระบี่นี้ได้อยู่แล้ว
เสียงปังดังสนั่น หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันลงมา สะเก็ดไฟปลิวกระจาย แต่ว่า ไม่มีภาพของหลี่ชิเย่ที่ถูกสังหารตามจินตนาการของทุกคน แต่เป็นกระบี่ยักษ์ของเซี่ยวหงเจี้ยนถูกต้านเอาไว้ได้
เวลานี้ มองเห็นด้านหลังของหลี่ชิเย่ปรากฏต้นสนแก่ต้นหนึ่งโผล่ขึ้นมาช้าๆ ต้นสนแก่ต้นนี้งอกขึ้นมาจากภายในหุบเขาอมตะ และต้นสนแก่ต้นนี้เพียงแค่ยื่นกิ่งที่เป็นง่ามออกมากิ่งหนึ่งเท่านั้น ก็สามารถต้านกระบี่ยักษ์ของเซี่ยวหงเจี้ยนเอาไว้ได้แล้ว
มองเห็นต้นสนแก่ต้นนี้มีความแก่หง่อมเป็นอันมาก คล้ายดั่งมังกรซิวหลงอย่างนั้น อีกทั้งใบที่ลักษณะคล้ายเข็มทั้งใหญ่และยาว ดูไปแล้วเหมือนนำเอากระบี่เล่มเล็กๆ มาแขวนอยู่บนกิ่งไม้อย่างนั้น
“สนกระบี่…” คนที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปมากทีเดียวเป็นคนแรกกลับเป็นเซี่ยวหงเจี้ยนที่อยู่ในฐานะเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ เมื่อได้เห็นต้นสนแก่ต้นนี้แล้ว
……..
ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท