ต้นสนต้นหนึ่ง ใบที่เป็นเข็มดั่งกระบี่ ลำต้นดั่งมังกรซีหลง ลำต้นไม่ได้สูงยันฟ้า แต่กลับมีท่าทีที่สามารถผ่าโลกให้แยกออกได้
ด้วยกิ่งที่เป็นง่ามไม้ของต้นสนแก่กิ่งหนึ่ง มันสามารถต้านกระบี่ยักษ์ของเซี่ยวเจี้ยนหงเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย แม้ว่ากระบี่ยักษ์เล่มนั้นของเซี่ยวเจี้ยนหงสามารถฟันแม่น้ำและภูเขาให้ขาด สามารถโค่นเก้าขุนเขาได้ แต่กลับไม่สามารถทำอันตรายกิ่งที่เป็นง่ามไม้แก่แม้เพียงน้อยนิด
สนกระบี่…ในใจของฟ่านเมี่ยวเจินรู้สึกสะเทือนหวั่นไหวเมื่อได้เห็นต้นสนแก่ต้นนี้ กล่าวด้วยความตระหนกว่า “ต้นบรรพบุรุษแสดงอภินิหารแล้ว!”
ไม่เพียงแต่ฟ่านเมี่ยวเจินที่ถูกภาพนี้ทำให้หวั่นไหว แม้แต่ศิษย์และยอดฝีมือทุกระดับชั้นในหุบเขาอมตะก็หวั่นไหวกับภาพนี้เช่นกัน
“เป็นต้นบรรพบุรุษจริงๆ นะเนี่ย” ศิษย์ของหุบเขาอมตะแทบไม่อยากจะเชื่อ เมื่อเห็นต้นสนแก่ต้นนี้แล้ว หลังจากที่พิจารณาอย่างละเอียด สุดท้ายมั่นใจยิ่งว่านี่แหละคือสนกระบี่ของหุบเขาอมตะของพวกเขา
ตามตำนานเล่าว่า ในครั้งนั้นเซียนโอสถเคยปลูกต้นไม้ประหลาดเอาไว้ในหุบเขาอมตะสามต้น ต้นไม้ประหลาดทั้งสามต้นได้ผ่านกาลเวลามานานนับไม่ถ้วน ดำรงคงอยู่ร่วมกันกับหุบเขาอมตะ ไม่รู้ว่าวันเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ต้นไม้ประหลาดทั้งสามต้นเรียกว่าแก่หง่อมยิ่งนักปราศจากผู้เทียบเทียม เสมือนหนึ่งคือสามผู้เฒ่าที่แก่เฒ่าที่สุดของหุบเขาอมตะ
ดังนั้น ศิษย์ของหุบเขาอมตะทุกยุคทุกสมัยก็จะเรียกมันว่าต้นบรรพบุรุษ แต่ทว่า ไม่เคยมีศิษย์คนใด หรือระดับบรรพบุรุษคนใดได้เคยเห็นความอภินิหารของต้นบรรพบุรุษทั้งสามต้นนี้มาก่อน ต้นบรรพบุรุษทั้งสามต้นดูไปแล้วก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับต้นไม้แก่ทั่วๆ ไป เพียงแต่แก่ยิ่งกว่าเท่านั้นเอง
เคยมีระดับบรรพบุรุษกล่าวเอาไว้ว่า ต้นบรรพบุรุษทั้งสามต้นของหุบเขาอมตะมีอภินิหารที่ยอดเยี่ยมมาก เมื่อไหร่ที่พวกมันปะทุพลังยิ่งใหญ่ขึ้นมาก็จะเป็นเรื่องที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการประหารเทพแท้จริง ต่อกรกับราชันแท้จริง แต่ทว่า หากต้องการให้ต้นบรรพบุรุษของหุบเขาอมตะทั้งสามต้นปะทุพลังที่สะเทือนฟ้าขึ้นมา เกรงว่าต้องได้รับการยอมรับจากต้นไม้แก่สามต้นนี้ก่อน
หุบเขาอมตะตั้งตระหง่านมายุคสมัยแล้วยุคสมัยเล่า แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเคยมีศิษย์ หรือบรรพบุรุษคนใดได้รับการยอมรับจากต้นบรรพบุรุษทั้งสามต้นนี้
มาวันนี้ สนกระบี่ในฐานะหนึ่งในสามต้นบรรพบุรุษกลับปรากฏอยู่ด้านหลังของหลี่ชิเย่ขึ้นมกะทันหัน ลักษณะเช่นนี้ได้สร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทุกระดับของหุบเขาอมตะ
ยิ่งฟ่านเมี่ยวเจินด้วยแล้วถึงกับอ้าปากค้าง แม้ว่าหลี่ชิเย่จะเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่ง แต่ความเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของเขาดูจะได้มาถูกๆ อีกทั้งการดำรงตำแหน่งศิษย์ลำดับที่หนึ่งของเขาก็สั้นมาก
ด้วยศิษย์ลำดับที่หนึ่งราคาถูกๆ กลับได้รับการยอมรับจากต้นสนกระบี่หนึ่งในสามบรรพบุรุษ นับว่าสยองขวัญมากเหลือเกิน และออกจะน่ากลัวเกินไปแล้ว
บรรพบุรุษแต่ละรุ่นของหุบเขาอมตะจำนวนเท่าไรที่ต้องการปลุกต้นบรรพบุรุษให้ได้ แต่ก็ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จมาก่อน หลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงผู้เยาว์คนหนึ่ง กลายมาเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งได้ไม่นาน ก็สามารถได้รับการยอมรับจากต้นบรรพบุรุษทั้งสาม นับว่าน่าตกใจมากเหลือเกิน
“ความฉลาดเฉลียวและมองการณ์ไกลของเจ้าหุบเขานับว่ามีเพียงหนึ่งไม่มีสองจริงๆ ยอดเยี่ยมมากนะเนี่ย” ภายในหุบเขาอมตะเองก็มีระดับบรรพบุรุษที่มองดูจากที่สูงในระยะห่างไกล มองเห็นหลี่ชิเย่ถึงกับให้สนกระบี่แสดงอภินิหารแล้วก็รุ้สึกหวั่นไหวยิ่งนัก ถึงกับใจหายใจคว่ำ ความอัศจรรย์เช่นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนตลอดกาล มาวันนี้กลับปรากฏขึ้นบนตัวของคนหนุ่มคนหนึ่ง
ดวงตาคู่นั้นของเซี่ยวหงเจี้ยนก็ต้องเบิกกว้าง ไม่อยากเชื่อในสายตาของตนเอง เขาเองก็เป็นผู้บำเพ็ญตน ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ เรื่องราวตำนานเกี่ยวกับต้นบรรพบุรุษสามต้นที่ขึ้นอยู่ในหุบเขาอมตะเขาก็รับรู้มาอย่างชัดเจน แต่เขาไม่นึกไม่ฝันเลยก็คือสนกระบี่ถึงกับแสดงอภินิหารในวันนี้
“ทำลาย…” เมื่อเซี่ยวหงเจี้ยนได้สติคืนกลับมาจึงได้คำรามเสียงยาว เสียงตึงดังขึ้นเสียงหนึ่ง ทันใดนั้นเองด้านหลังของเขาปรากฏเป็นกระบี่เล่มแล้วเล่มเล่าที่แผ่กางออกมา ตัวเขาเสมือนหนึ่งกลายเป็นผู้บงการของหมื่นกระบี่ กระบี่ศักดิ์สิทธิ์จำนวนมหาศาลเสมือนหนึ่งเป็นเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรง ภาพเช่นนี้ดูไปก็คล้ายกับนกยูงรำแพนอย่างนั้น
ตึง ตึง ตึงเสียงคำรามของกระบี่ราวกับสามารถแทงทะลุเก้าชั้นฟ้า ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกจับเหวี่ยง ได้ยินเสียงดังแว้งค์ขึ้นเสียงหนึ่ง จังหวะที่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ถูกเหวี่ยงให้ฟาดฟันลงมานั้น แม้แต่ท้องฟ้าก็ถูกมันผ่าให้แยกออกและทิ้งร่องรอยบนท้องฟ้าที่น่าหวาดผวาเอาไว้
‘กระบี่นพเก้าสังสาระ!’ เซี่ยวหงเจี้ยนคำรามเสียงยาวไม่หยุด อานุภาพของเทพแท้จริงได้ปะทุขึ้นมา คล้ายดั่งเป็นน้ำหลากที่เกิดจากเขื่อนพังที่พุ่งมาไม่ขาดสายอย่างนั้น สามารถท่วมฟ้าดินจนสิ้น
ตึง…กระบี่เคลื่อนไหวไปหมื่นอาณาจักร กระบี่ศักดิ์สิทธิ์แต่ละเล่มที่ฟาดเหวี่ยงลงมา เสมือนดั่งกระบี่เป็นล้านล้านเล่มที่ฟาดฟันลงมา และวัฏสงสารไม่มีสิ้นสุด เหมือนว่าจะไม่มีการหยุดนิ่งตลอดไป จนกว่าศัตรูจะเสียชีวิต
ด้วยเคล็ดวิชากระบี่ที่โหดร้ายและอันธพาลเช่นนี้ ทำให้ผู้พบเห็นต้องหวาดกลัวจนขนลุกขนพอง เคล็ดวิชากระบี่ก็ว่าน่ากลัวมากแล้ว ยังบวกเพิ่มพลังของเทพแท้จริงเข้าไปอีก ด้วยกระบวนท่าที่น่ากลัวเช่นนี้กระบวนท่าเดียวก็สามารถทำลายล้างสำนักได้สำนักหนึ่ง
แต่แล้ว หลี่ชิเย่ที่เผชิญกับเคล็ดวิชากระบี่ที่น่ากลัวเช่นนี้ยังคงเหมือนไม่ใส่ใจกับมัน เพียงพูดเอ้อระเหยขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ไปเถอะ” จากนั้นเห็นโบกมือทีหนึ่ง
พริบตาเดียวนั้นเอง เสียงตึงดังขึ้นเสียงหนึ่ง มองเห็นใบของต้นสนที่คล้ายเข็มจำนวนนับล้านนับพันห้อยลง เข็มสนขนาดเล็กแต่ละอันได้กลับกลายเป็นดั่งน้ำตกสวรรค์ในพริบตาเดียว เหมือนว่ากระบี่สวรรค์เป็นล้านล้านเล่มถูกเทลงมาโดยพลัน ต้นสนกระบี่ก็คล้ายดั่งเป็นต้นไม้ยักษ์ที่ค้ำยันท้องฟ้า ขณะที่น้ำตกกระบี่ที่ห้อยลงมาคล้ายเป็นกิ่งของต้นหลิวอย่างนั้น ทำการคลุมหุบเขาอมตะทั้งหมดเอาไว้อย่างหนาแน่น
ภายใต้การครอบคลุมของกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนที่ดั่งน้ำตกกระบี่ ทั่วทั้งหุบเขาอมตะก็คล้ายดั่งเป็นป้อมปราการเหล็กอย่างนั้น มั่นคงแข็งแรงไม่สามารถตีให้แตกได้
เสียงพุ่งชนกระแทกดังปัง ปัง ปังขึ้นมาเขย่าพื้นพสุธา สะเก็ตไฟปลิวว่อน ทั้งทั้งแผ่นดินล้วนแล้วแต่สั่นไหวโคลงเคลง เหมือนเป็นการทำลายฟ้าดินอย่างนั้น
เป็นการใช้ ‘กระบี่นพเก้าสังสาระ’ ของเซี่ยวหงเจี้ยนฟันใส่น้ำตกกระบี่ ซึ่งถือเป็นกระบวนท่าที่เซี่ยวหงเจี้ยนภูมิใจมากที่สุดและทรงอานุภาพมากที่สุดของเขาแล้ว แต่ว่า เมื่อฟาดฟันลงบนน้ำตกกระบี่กลับไม่สามารถระคายผิวแม้แต่น้อย มันไม่สามารถทำลายน้ำตกกระบี่ได้อยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะอาศัยกระบี่เดียวผ่าหุบเขาอมตะให้เป็นสองซีกอีก
สีหน้าของเซี่ยวหงเจี้ยนเปลี่ยนไปมากทีเดียวกับภาพที่เห็น เขารู้ได้ทันทีถึงความน่ากลัวของสนกระบี่ต้นนี้แล้ว
บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มองดูอยู่ในระยะห่างไกลก็ต้องผวาเช่นกัน นาทีนี้ทุกคนจึงได้เข้าใจถึงความน่ากลัวของหุบเขาอมตะ ในฐานะที่เป็นผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ เป็นความจริงที่หุบเขาอมตะมีธาตุแท้ภายในที่หนาแน่นมากปราศจากผู้เทียบเทียม
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น หลังจากกระบี่กระบวนท่าแรกไม่ได้ผล ตามติดด้วยหนึ่งกระบี่เหินเวหา เซี่ยวหงเจี้ยนเคลื่อนที่ไปตามกระบี่ ฉับพลันได้กลับกลายเป็นกระบี่สายรุ้งสายหนึ่งหนีไปยังฟากฟ้าไกลนั่น
นาทีนี้ เซี่ยวหงเจี้ยนรู้ตัวแล้วว่าสู้สนกระบี่ไม่ได้ ในเวลานี้ เรียกว่าในกลยุทธทั้งสามสิบหกกลยุทธนั้น หนีคือสุดยอดกลยุทธ กล่าวสำหรับเขาแล้วห้วงเวลาระหว่างความเป็นความตาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเกียรติยศฐานะสูงส่ง…ทั้งหมดล้วนไม่มีความสำคัญอีกต่อไป รักษาชีวิตเอาไว้ก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน
ตึง…ปรากฎเสียงแต่ละเสียงที่ดังขึ้น จังหวะที่เซี่ยวหงเจี้ยนหมายหลบหนีไปนั้น ทันใดนั้นปรากฏประกายที่ไหลเคลื่อนไปบนต้นสนกระบี่ ในเสี้ยววินาทีนี้เอง ลึกลงไปใต้พื้นดินปรากฏกระบี่ขนาดยักษ์แต่ละเล่มค่อยๆ โผล่ขึ้นมา กระบี่ยักษ์แต่ละเล่มเหมือนว่างอกแตกออกมาจากต้นแก่สนกระบี่ต้นนี้อย่างนั้น กระบี่ยักษ์ทุกเล่มประณีตงดงามและโปร่งแสง คล้ายดั่งเป็นผลึกอย่างนั้น ยามที่กระบี่ยักษ์ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาเรียงรายเป็นแผงนั้น คล้ายดั่งเป็นหน้าผาผลึกที่สูงชันแผ่นหนึ่งขวางทางของเซี่ยวหงเจี้ยนเอาไว้
“ทำลาย…” เซี่ยวหงเจี้ยนไม่ได้ชะลอความเร็วของเขาลง เขาได้ลงมือด้วยการกวักมือทีหนึ่งตั้งแต่ยังอยู่ในระยะห่างไกล กระบี่ศักดิ์สิทธิ์แต่ละเล่มที่หอบเอาพลังที่ทำลายฟ้าดินโจมตีเข้าใส่หน้าผาผลึกที่สูงชันที่แปลงมาจากกระบี่ยักษ์นั่น
ตูม ตูม ตูมปรากฏเสียงดั่งสนั่นแต่ละเสียงที่เกิดขึ้น เมื่อกระบี่ศักดิ์สิทธิ์แต่ละเล่มที่พุ่งเข้าปะทะกับหน้าผาผลึกที่สูงชันนั้น กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่แหลกละเอียดไปสิ้น ไม่สามารถพุ่งโจมตีให้หน้าผาผลึกที่สูงชันนี้ทะลุได้อยู่แล้ว
“ขึ้น…” เมื่อเซี่ยวหงเจี้ยนจนด้วยเกล้า จึงถีบตัวเองขึ้นสูงไปยังเก้าชั้นฟ้า เพื่ออาศัยหลบหนีไปทางด้านบน
แต่ทว่า ในพริบตาเดียวนั่นเอง ได้ยินเสียงดังแว้งค์ขึ้นมาเสียงหนึ่ง กิ่งที่เป็นง่ามไม้ของต้นสนกระบี่สั่นไหวทีหนึ่ง จากนั้นรวดเร็วปานสายฟ้าแลบทิ่มแทงทะลุผ่านท้องฟ้าก้าวข้ามพื้นแผ่นดินสิบล้านลี้ในทันที
“แย่แล้ว…” เซี่ยวหงเจี้ยนพลันรับรู้ได้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น ตวัดมือไปทางด้านหลังด้วยกระบวนท่าหนึ่งกระบี่ตัดโลกา หวังจะตัดขาดสิ่งที่อยู่ด้านหลังทั้งหมด ต่อให้หนึ่งกระบี่ตัดโลกาของเขาก็ยังคงใช้การไม่ได้ ได้ยินเสียงดังปุเสียงหนึ่ง เลือดสดๆ แตกกระจาย ง่ามไม้แก่แทงทะละหน้าอกของเซี่ยวหงเจี้ยน
ปังท้องฟ้าแตกละเอียด ปรากฏร่องรอยผลึกพร่างพราวที่แตกจำนวนนับไม่ถ้วน กิ่งไม้ที่เป็นง่ามไม้ได้ตรึงร่างของเซี่ยวหงเจี้ยนไว้บนท้องฟ้า
เสียงเลือดหยดติ้ง ติ้ง ติ้งไหลลงมาตามกิ่งไม้แก่หยดลงมา เป็นเลือดที่มีสีฉูดฉาดมาก สีแดงและคาวจนน่าตกใจ ทำเอาผู้คนถึงกับสั่นเทิ้มทีหนึ่ง
ดวงตาทั้งสองของเซี่ยวหงเจี้ยนในเวลานี้ก็เบิกกว้างมองดูง่ามไม้ที่เสียบทะลุหน้าอกของตน เทพแท้จริงเช่นเขาถูกต้นไม้แก่ต้นหนึ่งเอาชนะได้อย่างง่ายดาย
ทุกคนต่างถูกภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ต้องสะเทือนหวั่นไหว ไม่รู้มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่อ้าปากกว้างมากจนแทบจะยัดไข่ห่านเข้าไปได้ฟองหนึ่งแล้ว และอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นไม่อาจหุบได้ลงเป็นเวลานาน
ระดับเทพแท้จริง ชั้นขึ้นสู่สวรรค์ต้องมาถูกตรึงเอาไว้เช่นนั้น ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพียงใด เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนต้องหวาดผวาจนขนลุกขนพองเช่นใด
เวลานี้หลี่ชิเย่เหินฟ้าขึ้นไปก้าวเดียวก็ไปอยู่ตรงหน้าเซี่ยวหงเจี้ยน ยิ้มเฉยเมยและกล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า “การสังหารเทพนี่ดูไม่มีความยากอะไรเลย จับราชันแท้จริงสักคนมาลองฆ่ากันเล่นๆ บางทีอาจจะหายอยากได้”
คำพูดลักษณะเช่นนี้พลันทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์อึ้งจนพูดอะไรไม่ออกโดยสิ้นเชิง ฟ่านเมี่ยวเจินได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ความโอหังและพาลเช่นนี้เรียกว่าที่สุดแล้ว ไม่สามารถหาคำอะไรมาบรรยายได้อีก
ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ด้านนอกไม่กล้าพูดอะไรมาก ไม่ว่ากำลังของหลี่ชิเย่จะกล้าแข็งเพียงใดก็ตาม สามารถได้รับการยอมรับจากบรรพบุรุษต้นไม้ของหุบเขาอมตะก็คือต้นทุนอย่างหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ตามสามารถได้รับการยอมรับจากบรรพบุรุษต้นไม้ ด้วยต้นทุนเช่นนี้ย่อมเพียงพอที่เขาจะคุยโตโอ้อวดไปชั่วชีวิตแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้หลี่ชิเย่ควบคุมให้บรรพบุรุษต้นไม้ตรึงสังหารระดับเทพแท้จริงคนหนึ่งได้ ด้วยผลงานการสู้รบเช่นนี้ ไม่ว่าจะคุยโตโอ้อวดอย่างไรก็ถือว่าไม่เกินเลยไป
กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว การจะบังคับควบคุมต้นบรรพบุรุษนั้นหามีความยากเลยแม้แต่น้อยนิด ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหลี่ชิเย่มีต้นไม้แก่ฉางเซินที่เป็นสิ่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวในหล้าแล้ว ลำพังอาศัยแค่ต้นโลกดึกดำบรรพ์ที่เขาสร้างขึ้นมาก็มีความฝืนลิขิตสวรรค์ไร้ผู้เทียบเทียมแล้ว ดังนั้น กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว การควบคุมต้นสนกระบี่นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก
ดวงตาทั้งสองของเซี่ยวหงเจี้ยนเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวยิ่งนัก เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่เดินเข้ามาใกล้ จะอย่างไรเสียบนโลกนี้คนที่สามารถทำได้ถึงขั้นไม่หวาดหวั่นต่อความตายได้อย่างแท้จริงนั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เกรงว่าขณะที่ความตายใกล้เข้ามา ไม่ว่าใครก็ตามก็ต้องรู้สึกหวาดหวั่นทั้งสิ้น
“เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร?” สีหน้าของเซี่ยวหงเจี้ยนซีดเผือด ร้องเสียงดังออกมา เวลานี้เขาอยากจะดิ้นรน กระทั่งไม่เสียดายที่จะระเบิดร่างตัวเอง เพื่อให้ชะตาแท้ของตนได้หลบหนีไป
แต่ทว่า ต้นสนกระบี่ที่ตรึงร่างของเขาอยู่นั้นไม่เปิดโอกาสให้กับเขาแม้แต่น้อย ได้ทำการตรึงร่างพร้อมชะตาแท้ของเขาเอาไว้ตรงนั้น เขาจึงไม่สามารถระเบิดร่างตนเองเพื่อหนีได้อยู่แล้ว
กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว เซี่ยวหงเจี้ยนที่ถูกตรึงร่างเอาไว้บนท้องฟ้านั่น เป็นเพียงเนื้อที่อยู่บนเขียงเท่านั้น