สุดท้าย หลี่ชิเย่เดินทางออกจากถ้ำหิน และก้าวเดินลงมาจากยอดเขาที่ลอยล่องนั่น
บนยอดเขาลูกที่สูงที่สุดมีน้ำตกที่พุ่งลงมาอย่างแรง อีกทั้งน้ำตกที่พุ่งลงมาอย่างแรงไม่ได้มีเพียงแค่สายเดียว ท่ามกลางยอดเขาแต่ละลูกที่ลอยล่องอยู่นี้ มีน้ำตกจำนวนไม่น้อยที่พุ่งลงมา โดยเฉพาะน้ำตกที่เทลงมาจากยอดเขาที่สูงที่สุดลูกนั้น ยิ่งเสมือนดั่งน้ำตกจากสวรรค์ เห็นน้ำตกที่มีสีขาวลงมาเป็นสายคล้ายเป็นผ้าแพรบางๆ ที่แขวนห้อยอยู่บนท้องฟ้า ดุจดั่งน้ำจากแม่น้ำสายใหญ่ลงมาจากสวรรค์อย่างนั้น เป็นภาพที่เป็นปาฏิหาริย์สามารถมองเห็นจากระยะห่างไกลนับพันลี้
น้ำตกแต่ละสายที่พุ่งลงมาจากกลุ่มภูเขาที่ลอยล่องอยู่ และรวมตัวกันกลายเป็นแม่น้ำท่ามกลางเทือกเขา สุดท้ายไหลรวมกันกลายเป็นบึงน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาล ขณะยืนมองไปในระยะห่างไกลจากริมบึงนั้น มองเห็นน้ำในบึงที่ลึกและกว้างไกล ดุจดั่งเป็นมหาสมุทรอย่างนั้น
ท่ามกลางบึงแห่งนี้ มองเห็นเกาะแก่งที่ผลุบๆ โผล่ๆ ยามที่มีเกาะแก่งแต่ละเกาะปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางน้ำสีเขียวครามนั้น เสมือนดั่งเป็นไข่มุกสุกใสแต่ละเม็ดอย่างนั้น
บึงน้ำที่เกิดจากน้ำตกไหลมารวมกันนี้ มีผู้ตั้งชื่อให้กับมันว่าบึงโอสถ เนื่องจากบึงโอสถนี้มีเกาะแก่งอยู่จำนวนไม่น้อย ดังนั้นจึงสามารถมองเห็นเรือที่แล่นผ่านไปมา และเกาะบางเกาะมีผู้คนอาศัยอยู่ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นที่ที่นักท่องเที่ยว และผู้บำเพ็ญตนอาศัยชื่นชมเป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง
แววตาของหลี่ชิเย่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึงขณะมองดูน้ำตกที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้า เสมือนหนึ่งมองทะลุผ่านกลุ่มของภูเขาแต่ละลูกที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าอย่างนั้น
“นับว่าเป็นสถานที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ลำพังแค่พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ผืนนี้แล้ว เซียนโอสถต้องทุ่มเทกำลังกายใจไปนับไม่ถ้วนนะเนี่ย พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์และยอดเยี่ยมเช่นนี้เรียกได้ว่าวิเศษมากทุกๆ ที่เลยนะ” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและลัดเลาะไปตามปลายน้ำ
ในเรือนโอสถมีโอสถทิพย์หญ้าวิเศษเป็นจำนวนมาก แต่ว่ายังมีอยู่สิ่งหนึ่งที่มีอยู่เฉพาะในเรือนโอสถเท่านั้น ไม่ว่าสถานที่แห่งใดของแดนลัทธิพรรษก็ไม่สามารถพบเห็นสิ่งนี้ได้ สิ่งนั้นก็คือไม้เย่ามู่
เล่าลือกันว่า ยอดเขาลูกที่สูงที่สุดที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้านั้น มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ซึ่งปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกไม่รู้อยู่ตรงไหน แต่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้เมื่อครบรอบอายุหนึ่งปีทุกครั้ง ก็จะมีกิ่งไม้แก่ตกลงมา โดยที่กิ่งไม้แก่เหล่านี้ได้ตกลงไปในน้ำที่เป็นลำธาร ผ่านการแช่จากน้ำจากลำธารที่ไหลลงมาจากจักรวาลนานนับพันล้านปี จากนั้นลอยตามน้ำมาจนถึงน้ำตกที่พุ่งลงมา ผ่านการขัดเกลาจากน้ำตก และกลุ่มภูเขาที่ทำให้มันเย็นลงอย่างรวดเร็ว
กิ่งไม้แก่เหล่านี้หลังจากตกลงมาจากน้ำตกบนท้องฟ้าแล้ว ไหลลอยไปตามแม่น้ำ เนื่องจากกิ่งไม้แก่มีน้ำหนักดั่งเหล็ก สุดท้ายจึงจมลงไปอยู่ในใต้น้ำและทับถมอยู่ใต้ดิน
หลังจากผ่านการทับถมอยู่ใต้ดินนานนับพันล้านปีแล้ว กิ่งไม้แก่ลักษณะเช่นนี้จึงกลายเป็นสิ่งที่เรียกกันว่าไม้เย่ามู่ในที่สุด
เนื่องจากไม้เย่ามู่คือกิ่งไม้แก่จากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในตำนาน ผ่านการแช่น้ำจากน้ำที่ไหลมาจากสวรรค์ แล้วยังผ่านการขัดเกลาจากน้ำตกสวรรค์ แล้วนอนทับถมอยู่ใต้ดินในทะเล ผ่านการแช่เพื่อทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็วมาเป็นเวลานานนับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าภายในตัวของมันได้ถูกชุบทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็วโดยพลังแก่นฟ้าดินของเรือนโอสถแห่งนี้
ด้วยเหตุนี้เอง ไม้เย่ามู่จึงมีค่าดั่งทองคำ กระทั่งล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำ แค่ไม้เย่ามู่ท่อนเล็กๆ ท่อนหนึ่งก็มีมูลค่าที่สูงมาก หากว่าอายุของมันยาวนานมาก กระทั่งเรียกได้ว่ามีราคาที่สูงลิ่วเลยทีเดียว
ศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจำนวนไม่น้อยได้เดินทางมาค้นหาไม้เย่ามู่ตามลำธารสายเล็กๆ ที่ไหลมาจากหุบเขา ท่ามกลางเรือนโอสถมีลำธารสายเล็กๆ อยู่เป็นจำนวนมากต่อเนื่องกันไปยาวนับหมื่นลี้ อีกทั้งหุบเขาอมตะ ไม่อนุญาตให้มีการขุดหากันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ดังนั้นไม้เย่ามู่จึงหาได้ยากยิ่ง และมีราคาสูงล้ำค่าเป็นพิเศษ
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ยังคงมีผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่ใฝ่หาให้ได้มา กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนที่มีชาติกำเนิดมาจากชนชั้นรากหญ้าแล้ว หากสามารถได้ไม้เย่ามู่สักชิ้นหนึ่ง เกรงว่าคงเป็นลาภก้อนโต และพลิกชีวิตนับจากนั้นเป็นต้นไป
ขณะที่หลี่ชิเย่ล่องมาตามแม่น้ำลงมา มองดูสภาพโดยรวมของแม่น้ำ เขาก็รู้สึกสนใจขึ้นมาบ้างกับไม้เย่ามู่ที่มีเพียงหนึ่งเดียวของเรือนโอสถ แน่นอน สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสนใจนั้นหาใช่ตัวของไม้เย่ามู่
หลี่ชิเย่ล่องลงมาตามน้ำ สุดท้ายได้มาถึงบริเวณที่ลำธารต่างๆ ไหลมารวมกันอยู่ในบึงโอสถ มองเห็นน้ำในบึงใสแจ๋วที่กระเพื่อมเป็นวงและเปล่งเป็นประกายออกมายามต้องแสงอาทิตย์ เหมือนดั่งคลื่นน้ำที่สะท้อนแสงแสบตาออกมาดูงดงามยิ่งนัก
แต่ที่ดึงดูดความสนใจหลี่ชิเย่หาใช่เป็นทิวทัศน์ที่งดงามของบึงโอสถ แต่เป็นเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง เกาะเล็กๆ เกาะนี้รกร้างปราศจากผู้คน แต่มันกลับดูงดูดหลี่ชิเย่เอาไว้
“น่าสนใจ สรรพสิ่งท่ามกลางฟ้าดินล้วนมีสติปัญญา ดูท่าน่าสนใจจริงๆ” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
สุดท้ายหลี่ชิเย่ได้หยิบเอาพลั่วขุดสมุนไพรขึ้นมาอันหนึ่ง ทำการขุดบริเวณชายหาดน้ำตื้นบนเกาะนี้ โดยไม่ได้สนใจกับน้ำโคลนที่กระเด็นจนเลอะเทอะไปทั้งตัว
มู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าติดตามหาตัวหลี่ชิเย่ติดต่อกันมาหลายวัน แต่ก็ไม่พบร่องรอยของหลี่ชิเย่ ซึ่งทำให้ภายในใจของมู่หย่าหลันกับฉินซาวเย่าถึงกับร้อนรน ต่อมาได้รับแจ้งข่าวจากศิษย์ภายในสำนักว่า มีความเป็นไปได้ที่หลี่ชิเย่ไปปรากฎตัวอยู่ที่บึงโอสถ ทำให้มู่หย่าหลันและฉินซาวเย่าทั้งสองคนรีบรุดไปยังบึงโอสถทันที
ขณะที่มู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าเร่งรุดไปยังบึงโอสถนั้น ปรากฏผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะติดตามอยู่ข้างกายของพวกนางในทันที ในจำนวนนั้นมีอยู่ไม่น้อยเป็นผู้ที่รักใคร่ในตัวของพวกนาง
บรรดาผู้ติดตามเหล่านี้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับมู่หย่าหลันและฉินซาวเย่าเป็นอย่างยิ่ง พวกนางไม่ชอบเลยที่มีคนเหล่านี้คอยเดินตามก้นต้อยๆ อย่างนี้ ซึ่งกีดขวางการทำงานของพวกนาง แต่ว่าพวกนางก็ไม่สามารถขับไล่พวกที่คอยติดตามเหล่านี้ให้พ้นๆ ไป
ในเวลานี้ มู่หย่าหลันกับฉินซาวเย่าทั้งสองคนต่างรู้สึกว่า หากเวลานี้ศิษย์พี่ใหญ่อยู่ข้างกายก็ดีสินะ
เทียบกับมู่หย่าหลันที่เย็นชา ฉินซาวเย่าที่อ่อนโยนแล้ว ฟ่านเมี่ยวเจินที่เจ้าเล่ห์มีวิธีมากมายเหลือเกิน ถ้าหากฟ่านเมี่ยวเจินอยู่ตรงนี้ล่ะก็ สามารถไล่ผู้ติดตามเหล่านี้ไปได้อย่างสบายๆ นางแค่ออกอุบายตามอารมณ์ก็สามารถทำให้ผู้ติดตามเหล่านี้ถูกทิ้งไปไกลถึงเส้นขอบฟ้า
มู่หย่าหลันกับฉินซาวเย่าต่างก็ไม่มีฝีมือด้านนี้เฉกเช่นศิษย์พี่ใหญ่ ดังนั้น บางครั้งพวกนางก็รู้สึกปวดหัวกับสิ่งนี้ ส่วนใหญ่แล้วพวกนางไม่ต้องการไปปรากฏตัว พวกนางชื่นชอบที่จะอยู่ภายในหุบเขาอมตะเพื่อศึกษาค้นคว้าวิชาแพทย์ และวิชาสมุนไพรมากกว่า
มาคราวนี้เพื่อติดตามค้นหาหลี่ชิเย่ ทำให้ทั้งมู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าไม่อาจไม่ปรากฏตัวออกมา ซึ่งทำให้มีผู้ที่รักใครพวกนางคอยติดตามอยู่จำนวนไม่น้อย ไปถึงไหนตามไปถึงนั่น ทำให้มู่หย่าหลันและฉินซาวเย่าต่างรู้สึกปวดหัว
ในบรรดาผู้ติดตามจำนวนมากเหล่านี้ ต้องยกให้จางเหยียน กับหูชิงหนิวที่โดดเด่นมากที่สุด สามารถสยบคู่แข่งทางความรักเป็นจำนวนมาก
เวลานี้มู่หย่าหลันกับฉินซาวเย่าสองคนนั่งเรือเข้าไปในบึงเพื่อตามหาหลี่ชิเย่ พวกนางคอยสังเกตเกาะทุกๆ เกาะ คาดหวังพบร่องรอยของหลี่ชิเย่
แต่ทว่า พวกที่คอยติดตามพวกนางจำนวนไม่น้อยก็ติดตามมาด้วย หากเปลี่ยนเป็นฟ่านเมี่ยวเจินที่เจ้าเล่ห์ขี้โกง ไม่แน่นักอาจจับพวกเขาโยนลงไปในน้ำนานแล้ว ขณะที่มู่หย่าหลันและฉินซาวเย่าไม่มีฝีมือทางด้านนี้
“แม่นางมู่มาเที่ยวชมเกาะอย่างนั้นรึ?” จางเหยียนยื่นหน้าเข้ามาและเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น เมื่อมองเห็นมู่หย่าหลันและฉินซาวเย่าที่มองดูเกาะแล้วเกาะเล่า เวลานี้เขาเข้าใจเองว่าท่าทางและรอยยิ้มในเวลานี้ของเขา ดึงดูดผู้คนมากที่สุด มีพลังชีวิตและสนเท่ห์
เป็นความจริงที่จางเหยียนเป็นบุรุษที่เท่และร่าเริงสนุกสนานคนหนึ่ง ในฐานะหนึ่งในสามอัจฉริยะ และผู้สืบทอดของสำนักไป่ตัน กล่าวได้ว่าเขามีฐานะที่ไม่ธรรมดา และเป็นชายในฝันของหญิงสาวจำนวนไม่น้อย แต่เขากลับหลงใหลในตัวของมู่หย่าหลัน
“หาสมุนไพร” สำหรับความเร่าร้อนของจางเหยียนนั้น มู่หย่าหลันเพียงตอบไปด้วยท่าทีเย็นชา สิ่งนี้ใช่เป็นการแกล้งทำของมู่หย่าหลัน ความจริงแล้วไม่ว่ากับใครนางก็จะหยิ่งยโสและเหินห่างเช่นนี้
“ไม่ทราบว่าแม่นางฉินกับแม่นางมู่มาหาโอสถชนิดใด?” หูชิงหนิวที่ค่อนข้างจะพูดน้อยก็รีบสมทบคำหนึ่ง และกล่าวว่า “ข้ามีความรู้เกี่ยวกับด้านโอสถอยู่บ้าง บางทีอาจสามารถช่วยเหลือแม่นางทั้งสองอีกแรง”
หูชิงหนิวมีฉายาว่ามือเทพ มีความหยิ่งยโสยิ่งนัก และเป็นผู้ที่พูดน้อย สำหรับผู้คนจำนวนมากแล้วเขากระทั่งดูแคลนที่จะเอ่ยปากพูดด้วย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินซาวเย่าเขาอดที่จะแสดงออกบ้าง คนพูดน้อยอย่างเขาก็อยากจะร่วมพูดคุยบ้าง หวังว่าสามารถทำให้ฉินซาวเย่าใจอ่อนได้
“ขอบคุณ ไม่ต้องแล้ว” ฉินซาวเย่าส่ายหน้า นางที่มีนิสัยอ่อนโยนใจกว้าง แม้แต่ปฏิเสธก็ทำได้ไม่ดี หากเปลี่ยนเป็นฟ่านเมี่ยวเจินคงจัดการตะเพิดจางเหยียนและหูชิงหนิวไปถึงไหนๆ แล้ว
“แม่นางทั้งสองเกรงใจกันเกินไปแล้ว ต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกันใยต้องเกรงใจกันเล่า อีกอย่าง หุบเขาอมตะคือบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะพวกเรา พวกเราทำงานให้กับหุบเขาอมตะก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” จางเหยียนรีบกล่าวขึ้น
“ในคลังยาของข้าได้รวบรวมสุดยอดโอสถจากทั่วหล้าเอาไว้ ไม่ทราบว่าแม่นางฉินต้องการโอสถชนิดใด ไม่แน่นักข้าอาจมีอยู่พอดี” หูชิงหนิวที่ไม่ชำนาญจำนรรจาในเวลานี้ก็พยายามหาวิธีที่จะทำให้หญิงงามต้องใจอ่อน
“นั่นสิ หมอเทวดาหญิงกับเทพธิดาฉินเกรงใจเกินไปแล้ว เรื่องของหุบเขาอมตะก็คือเรื่องของพวกเรา เรื่องตามหาโอสถแค่นี้ขอเพียงเทพธิดาทั้งสองเอ่ยปากก็พอแล้ว ไหนเลยต้องให้เทพธิดาทั้งสองต้องมาตามหาเองเล่า” มีผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่คนอื่นๆ รีบกล่าวสนับสนุนขึ้นมา
มู่หย่าหลันถือโอกาสขี้คร้านจะพูดอีกต่อไปให้มันรู้แล้วรู้รอดไป นางเพียงจ้องมองสายน้ำในบึงและเกาะแก่งที่อยู่ห่างไกลออกไปด้วยท่าทีเย็นชา ขณะที่ฉินซาวเย่าเพียงส่ายหน้าเบาๆ ปฏิเสธความหวังดีของทุกคน
พวกนางไม่สะดวกที่จะเปิดเผยเรื่องราวของหลี่ชิเย่ออกไป ได้แต่อาศัยข้ออ้างว่ามาเก็บสมุนไพรในการตามหาหลี่ชิเย่
ทั้งจางเหยียนและหูชิงหนิวต่างรู้สึกกร่อย เมื่อมู่หย่าหลันกับฉินซาวเย่าสองคนล้วนแล้วแต่ไม่พูดไม่จาอีกต่อไป จางเหยียนกรอกตาทีหนึ่งกล่าวกับหูชิงหนิวว่า “พี่หู ท่านเดินทางท่องไปทั่วยุทธภพ ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ได้พบเจอเรื่องราวประหลาดบ้างหรือไม่?”
“ไม่ค่อยมีเรื่องราวประหลาดอะไรมากมาย เพียงวุ่นอยู่กับการเก็บสมุนไพรและช่วยคน เรื่องราวอื่นไม่มีเวลาไปสนใจ เร็วๆ นี้พบโรคประหลาดอยู่หลายโรค รู้สึกน่าสนใจยิ่ง ดังนั้นจึงใช้เวลาศึกษาค้นคว้าไปไม่น้อย” หูชิงหนิวไตร่ตรองนิดหนึ่งแล้ว ได้แต่พูดออกมาเช่นนี้
หูชิงหนิวเป็นคนที่ค่อนข้างจะพูดน้อย ไม่ชอบสมาคมกับผู้อื่น ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการช่วยชีวิตคนแล้วเขารังเกียจที่จะทำเสียด้วยซ้ำ แต่เวลานี้เขาต้องการอวดอ้างตนสักหน่อย หวังจะดึงดูดความสนใจของฉินซาวเย่า
เมื่อหูชิงหนิวพูดออกมาเช่นนี้ จางเหยียนก็ไม่รู้ว่าจะพูดต่อได้อย่างไร เนื่องจากเขาไม่ชำนาญวิชาแพทย์ ขณะที่มู่หย่าหลันที่เขาคิดจะจีบนั้นเป็นหมอเทวดาหญิง ถ้าหากเขายังคงพูดเรื่องวิชาแพทย์ต่อไป กลับจะถูกหูชิงหนิวแย่งความโดดเด่นไป
“แต่ว่า ได้ยินว่าคุณชายหุยชุน พี่หุยชุนจะออกจากการกักตนแล้ว และจะมาร่วมงานเซ่นไหว้ในครั้งนี้” จางเหยียนได้แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอื่น
เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างหุบเขาอมตะ กับแคว้นว่านโซ่วนั้นจางเหยียนก็พอรู้มาอยู่บ้าง ดังนั้น เขาจึงคิดจะหยิบยกหัวข้อสนทนาบางเรื่องขึ้นมาเพื่อดึงดูดความสนใจของมู่หย่าหลัน
“อืม ถูกต้อง ในอดีตข้าเคยได้ยินข่าวลือมาว่า คุณชายหุยชุนเคยคิดที่จะศึกษาแลกเปลี่ยนกับนักพรตฉางเซิน“ หูชิงหนิวตอบออกมาทันที ตัวเขาที่เดิมเป็นคนพูดน้อย เวลานี้ก็อยากจะแสดงออกมากขึ้น และพูดให้มากขึ้น
แต่ว่า พลันที่หูชิงหนิวพูดคำพูดลักษณะเช่นนี้ออกมา พลันทำให้หัวข้อสนทนาตันทันที เนื่องจากนักพรตฉางเซินก็คืออาจารย์ของมู่หย่าหลันและฉินซาวเย่า เวลานี้หูชิงหนิวไม่เอ่ยถึงเรื่องอื่น กลับจะเลือกเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา มิเท่ากับทำให้สาวงามไม่สบอารมณ์รึ?
จางเหยียนบังเกิดอารมณ์อยากจะบีบคอหูชิงหนิวให้ตายคามือ เจ้าหูชิงหนิวคนนี้ที่มีวิชาแพทย์หนึ่งเดียวไม่มีสอง ต่อให้เป็นโรคที่ยากกว่านี้เขาก็มีความชำนาญ แต่กลับโง่จนมิอาจเยียวยาได้ สามารถทำให้หัวข้อสนทนาตันลง ทำเอาจางเหยียนแทบคลั่ง
…………………………..