โชคดีที่เวลานี้มีผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่คนหนึ่งไหวพริบดี ได้กล่าวต่อว่า “ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน คุณชายหุยชุนยังได้ไปที่ดินแดนต้นกำเนิดไฟ เคยพบเจอกับเทพสงครามสตรีแห่งจูเซียง”
“ถูกต้อง เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน” ผู้บำเพ็ญตนอีกคนกล่าวขึ้นทันทีว่า “ได้ยินว่าข้างกายของเทพสงครามหญิงแห่งจูเซียงยังมีผู้ชายอยู่คนหนึ่ง มีความใกล้ชิดกับเทพสงครามสตรีอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าจะแซ่หลี่ ส่วนรายละเอียดว่ามาจากสำนักไหนนั้นไม่ทราบได้”
“แซ่หลี่อย่างนั้นรึ…” มู่หย่าหลันที่เดิมมองไปยังที่ที่ห่างไกลตลอดได้หันกลับมาและเอ่ยถามขึ้น
“ถูกต้อง เป็นผู้ชายที่แซ่หลี่คนหนึ่ง” ชายหนุ่มผู้นี้เห็นว่าหมอเทวดาหญิงสนใจในหัวข้อสนทนาของตน จึงกล่าวด้วยความสนุกสนานว่า “เทพสงครามสตรียอดเยี่ยมมากเหลือเกิน เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่หนึ่งเดียวที่ติดตามกองทัพพันธมิตรไปโจมตีลานกำแหงแล้วยังกลับมาได้อย่างปลอดภัย เพียงแต่ผู้ชายที่อยู่ข้างกายของนางทำให้คนอื่นไม่เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ เนื่องจากเขาใกล้ชิดกับเทพสงครามสตรีมาก”
“เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน กระทั่งมีข่าวลือกันว่า ผู้ชายที่แซ่หลี่คนนี้มีความสัมพันธ์กับเทพสงครามสตรีที่ไม่ธรรมดา ด้วยเหตุนี้เองทำให้คุณชายหุยชุนรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นพิเศษ ระหว่างพวกเขายังเกิดปะทะกันไม่น้อย” ชายหนุ่มอีกคนเมื่อสบโอกาสเช่นนี้ไหนเลยจะยอมพลาดโอกาส จึงรีบชิงกล่าวขึ้นมา
“ผู้ชายคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร?” ฉินซาวเย่ากับมู่หย่าหลันต่างจ้องมองตากันและกัน ในขณะนี้ภายในใจของพวกนางต่างรู้ลางๆ แล้วว่าเป็นใครแล้ว
“ได้ยินว่าผู้ชายแซ่หลี่คนนั้นหน้าตาธรรมดาทั่วไปมาก ทุกคนต่างไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเทพสงครามสตรีที่ยอดเยี่ยมหนึ่งเดียวในหล้าเช่นนี้ถึงได้เดินไปด้วยกันกับเขา ด้วยเหตุนี้ ทำให้คุณชายหุยชุนไม่สบอารมณ์เป็นพิเศษ กระทั่งคิดจะลงมือต่อเขา” ชายหนุ่มผู้นี้รีบพูดต่อทันที
“จากนั้นล่ะ?” ฉินซาวเย่าพลันรู้สึกสนใจ เนื่องจากนางก็เพิ่งจะได้ทราบเรื่องนี้เวลานี้เอง
“ได้ยินว่าผู้ชายแซ่หลี่คนนั้นจัดการเผาคุณชายหวูเลี่ยนของแคว้นว่านโซ่วจนกลายเป็นจุณ ยังประกาศว่าจะทำลายแคว้นว่านโซ่วเสีย อันธพาลเต็มเปี่ยม ดุดันยิ่งนัก” ชายหนุ่มที่เป็นผู้เปิดหัวข้อสนทนาแต่แรกไม่อยากให้หัวข้อสนทนาถูกแย่งเอาไป จึงรับลูกกลับมา
มู่หย่าหลันและฉินซาวเย่าต่างมองตากันและกัน พวกนางรู้แล้วว่าผู้ชายแซ่หลี่คนนั้นเป็นใครแล้ว
“โลกนี้คนที่อวดดีมีมากดั่งดอกเห็ด” ในเวลานี้เอง หูชิงหนิวได้กล่าวเสียงเย็นชาขึ้นว่า “เจ้าคนไม่รู้จักคำว่าตายมีมากเหลือเกิน แค่มดปลวกตัวหนึ่งหาญกล้าร้องเอะอะว่าจะทำลายแคว้นว่านโซ่ว มันคือไม่รู้จักเจียมตัว”
เดิมทีหูชิงหนิวต้องการแสดงออกว่าตนเองนั้นเป็นคนพูดเก่ง แต่ทว่าคำพูดที่เขาพูดออกมาคำนี้ พลันทำให้กร่อยลงทันที เนื่องจากผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดที่อยู่ ณ ที่นี้ นอกจากมู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าแล้ว จางเหยียนและตัวเขาที่มีฐานะสูงที่สุดแล้ว
เวลานี้หูชิงหนิวอาศัยคำพูดคำเดียวก็ตัดสินความไปเรียบร้อย พลันทำให้หัวข้อสนทนานี้ถูกหยุดเอาไว้อย่างนั้น คนอื่นไม่สามารถไปตอบโต้หรือตวาดใส่เขาได้
พลันทำให้จางเหยียนแทบคลั่ง ไม่ง่ายนักกว่าจะสร้างบรรยากาศขึ้นมาได้บ้าง ทำให้หญิงงามรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้าง พลันถูกคำพูดคำเดียวของหูชิงหนิวทำให้กร่อย ทำให้อึ้งกันไปหมด
“โลกนี้มังกรหมอบพยัคฆ์เร้นกาย” แน่นอน มู่หย่าหลันย่อมต้องเข้าข้างผู้ชายแซ่หลี่เต็มที่ นางเพียงพูดน้ำเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่งเท่านั้น
“ใช่ ใช่ ใช่ แม่นางมู่พูดไม่มีผิดสักนิด ไม่แน่นักเจ้าคนแซ่หลี่คนนี้อาจมีธาตุแท้ภายในพิเศษอยู่” จางเหยียนรีบกล่าวสนับสนุนขึ้นมาว่า “ในเมื่อกล้าเอะอะเอ็ดตะโร ไม่แน่นักอาจมีฝีมือจริงๆ อยู่บ้างก็ได้”
“มีฝีมืออยู่บ้างแล้วจะมีประโยชน์อะไร?” หูชิงหนิวยังคงไม่รู้ตัว กล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “แคว้นว่านโซ่วคือแคว้นเจ้าลัทธิที่แข็งแกร่งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ เปี่ยมด้วยระดับบรรพบุรุษนับไม่ถ้วน คุณชายหุยชุนเองก็เป็นอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ยอดเยี่ยม ลำพังอาศัยวคนแซ่หลี่ที่เป็นผู้เยาว์ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งก็คิดจะทำลายแคว้นว่านโซ่ว มันคือความฝันของคนปัญญาอ่อน เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกแล้ว”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหูชิงหนิวพลันทำให้จางเหยียนโมโหจนแทบกระอักเป็นเลือด เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า อัจฉริยะบุคคลด้านการแพทย์อย่างหูชิงหนิวทำไมถึงได้มีอีคิวที่ต่ำขนาดนี้ พลันทำให้งานกร่อยอีกแล้ว นี่มันคือจอมกร่อยชัดๆ
เวลานี้ จางเหยียนอยากจะเปิดกะโหลกของหูชิงหนิวออกมาดูว่า สมองของอัจฉริยะบุคคลผู้นี้จุอะไรไว้กันแน่
ต่อให้คนโง่ก็รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหุบเขาอมตะกับแคว้นว่านโซ่วไม่ดี เวลานี้ต่อให้ที่หูชิงหนิวพูดนั้นเป็นความจริง แต่ก็เท่ากับเป็นการยกย่องแคว้นว่านโซ่วเต็มที่ แล้วมู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าในฐานะศิษย์ของหุบเขาอมตะจะคิดอย่างไร?
จางเหยียนก็ไม่สามารถหาหัวข้อสนทนาที่ดีได้ในเวลานี้ ไม่สามารถสนทนาต่อไปได้อีก
“แม่นางฉิน ท่านว่าอย่างนั้นหรือไม่?” หูชิงหนิวยังคงไม่สำนึก เดิมทีเขาเป็นคนที่มีท่าทีเย็นชามาโดยตลอด ยากนักที่จะได้เห็นเขาเผยรอยยิ้มออกมา และกล่าวว่า “คนบางคนบนโลกนี้ก็ไม่รู้จักประมาณตนอย่างนี่แหละ อาศัยคนๆ เดียวหาญกล้ากล่าววาจาสามหาวว่าจะทำลายแคว้นๆ หนึ่ง นับว่าอายุเยาว์แล้วประมาทโดยแท้ ไม่รู้จักมองดูว่าโลกนี้เป็นอย่างไร คนหนุ่มที่ไม่เคยผ่านอุปสรรคมาล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนี้”
ฉินซาวเย่าไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงมองดูสายน้ำที่อยู่ห่างไกลออกไปเท่านั้น
ส่วนคนอื่นๆ เรียกว่าต้องอึ้งไปโดยสิ้นเชิง ตัวเองพูดผิดแล้วยังไม่รุ้ตัวอีก ถึงกับยังรู้สึกว่าตัวเองทำได้ดี ดังนั้นทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่สามารถพูดคุยกันได้อีกต่อไป เมื่อมีจอมกร่อยอย่างหูชิงหนิวอยู่ด้วย ไม่ว่าใครก็เปิดประเด็นสนทนาไม่ออก
ในเวลานี้เอง มู่หย่าหลันที่มองน้ำในบึงตลอดพลันเห็นอะไรที่น่าสนใจ นางใช้ข้อศอกกระทุ้งฉินซาวเย่าที่อยู่ด้านข้าง ฉินซาวเย่าจึงมองออกไปทันที มองเห็นที่ตรงนั้นเป็นเกาะร้างเล็กๆ เกาะหนึ่ง บนชายหาดของเกาะนั้นมีคนผู้หนึ่งกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่
มองเห็นเป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง ผู้ชายธรรมดาจนไม่สามารถธรรมดามากไปกว่านี้อีก เวลานี้เขากำลังวุ่นอยู่บนชายหาดบนเกาะแห่งนั้น กำลังขุดหลุมในน้ำโคลนให้เป็นหลุมแต่ละหลุมขึ้นมา จากนั้นใช้มือก่อขึ้นมาให้เป็นเหมือนถ้ำดินโคลนด้วยความมุ่งมั่นยิ่งนัก เหมือนเป็นการปั้นงานศิลปะที่ยอดเยี่ยมอย่างนั้น
มู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าทั้งสองคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกันทั้งคู่ พวกนางต่างสบตากันและกัน นี่แหละคือศิษย์พี่ใหญ่ที่พวกนางต้องการตามหา พวกนางต่างเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาพร้อมกันเมื่อได้เห็นหลี่ชิเย่แล้ว
แม้ว่าหลี่ชิเย่ในขณะนี้จะเปื้อนไปด้วยน้ำโคลนทั้งตัว และดูสกปรกเลอะเทอะ แต่ในสายตาของมู่หย่าหลันและฉินซาวเย่าสองคนมองว่าหลี่ชิเย่ในเวลานี้ดูดีเป็นพิเศษ ขอเพียงหลี่ชิเย่ยังคงอยู่ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่แลดูสวยงามอะไรอย่างนั้น
มู่หย่าหลันนั้นดุจดั่งดอกเหมยที่ทระนงท่ามกลางหิมาะ ฉินซาวเย่าคือกล้วยไม้ที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาลึกและมืด น้อยครั้งนักที่พวกนางจะเผยรอยยิ้มออกมา เวลานี้ยามที่พวกนางเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมานั้น บรรดาผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างหูชิงหนิว จางเหยียนต่างมองจนจิตใจหวั่นไหว และหลงใหลไปกับรอยยิ้มของพวกนาง มองจนเคลิบเคลิ้มหลงใหล รอยยิ้มจางๆ เช่นนี้กล่าวสำหรับพวกเขาแล้วนับว่าช่างงดงามเหลือเกิน
มู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าพวกนางต่างก็ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่ต้องการทำอะไร เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ทำการปั้นหลุมโคลนและละหลุมอย่างละเอียด จึงไม่กล้าเข้าไปบุ่มบ่าม สั่งให้ศิษย์จอดเรือไว้ข้างๆ มองดูหลี่ชิเย่ที่กำลังทำงานวุ่นอยู่
มู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่ามองดูหลี่ชิเย่ที่ทำการปั้นถ้ำโคลนขึ้นมาถ้ำแล้วถ้ำเล่า ยามที่ถ้ำโคลนเล่านี้ถูกปั้นขึ้นมา มันดูเหมือนเป็นปล่องควันขนาดเล็กแต่ละปล่องอย่างนั้น อีกทั้งถ้ำดินแต่ละถ้ำเหมือนจะเชื่อมถึงกัน คล้ายดั่งเป็นรังที่เชื่อมกันได้ทุกทิศทุกทาง และเชื่อมไปยังโลกอีกโลกหนึ่งที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างนั้น
มู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าทั้งสองคนมองดูทุกๆ ความเคลื่อนไหวของหลี่ชิเย่ แต่ดูไม่ออกว่าหลี่ชิเย่ต้องการทำอะไรโดยสิ้นเชิง แต่ว่า หลี่ชิเย่ย่อมไม่ว่างมากจนน่าเบื่อแล้วมาเล่นดินโคลนที่ตรงนี้
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ พวกของหูชิงหนิวและจางเหยียนจึงได้สติกลับมาจากรอยยิ้มที่สวยหยาดเยิ้มนั้น เวลานี้เอง พวกของหูชิงหนิวและจางเหยียนจึงได้พบว่า มู่หย่าหลันกับฉินซาวเย่าถูกดึงดูดความสนใจโดยผู้ชายที่ดูธรรมดาซึ่งกำลังเล่นดินโคลนอยู่ที่ชายหาดนั่น
พลันที่หูชิงหนิวและจางเหยียนจ้องมองไป เห็นผู้ชายคนนี้ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดากว่านี้ได้อย่างไร เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่มีส่วนไหนที่น่าสนใจ ทั้งหูชิงหนิวและจางเหยียนเข้าใจเองว่า หากตนเองไปยืนอยู่ตรงหน้าผู้ชายคนนี้ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรผู้นี้แล้ว รับรองได้ว่าต้องทำให้เขาสลดและอับแสงแน่นอน ทำให้เขาต้องไร้ค่าคู่ควรจะกล่าวถึงแน่นอน
เฉกเช่นผู้ชายที่ธรรมดาเช่นนี้หากจับโยนลงไปบนถนนก็ต้องหายไปท่ามกลางฝูงชน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมาเปรียบเทียบกับอัจฉริยะบุคคลที่โดดเด่นแล้ว
แต่ทว่า ผู้ชายที่ธรรมดาเช่นนี้กลับทำให้มู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าจ้องมองด้วยความสนใจอย่างยิ่ง พวกนางทั้งสองมองตาไม่กะพริบกับทุกๆ อิริยาบถของชายผู้นี้ เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดสามารถดึงดูดความสนใจมากไปกว่าผู้ชายที่ธรรมดาๆ ได้อีกแล้ว
ภาพนี้พลันทำให้หูชิงหนิวและจางเหยียนทั้งสองคนรู้สึกเหมือนกรดไหลย้อนอย่างนั้น ผู้ชายที่แสนจะธรรมดาเช่นนี้มีอะไรชวนมอง ไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึง โดยเฉพาะท่าทางที่สกปรกเปื้อนดินโคลนทั้งตัว คล้ายดั่งขอทานที่อยู่ข้างถนน ดูแล้วก็สะอิดสะเอียน
“นี่ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ที่นั่น?” จางเหยียนรู้สึกไม่สบอารมณ์เมื่อมองเห็นผู้ชายที่ธรรมดาคนหนึ่งสามารถดึงดูดสายตาของมู่หย่าหลันที่เย็นชาและเหินห่างได้ จึงร้องเสียงดังออกไปยังหลี่ชิเย่
“ขุดของวิเศษ” หลี่ชิเย่ที่ใช้ดินโคลนปั้นแต่งถ้ำดินโคลนอยู่เพียงตอบรับไปตามอารมณ์ ท่าทางใจจดใจจ่ออย่างยิ่ง โดยไม่ได้มองหน้าพวกเขาสักแวบด้วยซ้ำ
“ขุดหาของวิเศษ? ของวิเศษอะไร?” ฉินซาวเย่าอดที่จะเอ่ยถามขึ้น นางรู้สึกรอคอยกับสิ่งนั้นอยู่บ้างแล้ว
“ของดี” หลี่ชิเย่ที่อยู่ไกลออกไปตอบรับคำหนึ่งตามอารมณ์ ยังคงวุ่นวายอยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่
“แม่นางฉิน ชายหาดที่เป็นดินโคลนเช่นนี้จะไปมีของวิเศษอะไรได้” หูชิงหนิวเป็นคนที่สังเกตสีหน้าคนไม่เป็น อีคิวต่ำจนไม่รู้จะต่ำอย่างไร กล่าวว่า “สำหรับพวกสวะแล้ว ต่อให้เป็นหินแร่เหล็กสักก้อนที่พบในดินโคลนก็เป็นของวิเศษที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว คนที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยยากจนเช่นนี้ ไม่เคยได้เห็นของวิเศษอะไรอยู่แล้ว ถ้าหากเอาไม้เจี่ยวหวงมู่ กิ่งเซิงเย่าจือให้เขาสักชิ้นหนึ่ง คงทำให้เขาต้องตกใจจนเหม่อ”
เมื่อหูชิงหนิวเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วได้ยืดอกขึ้น เนื่องจากเขามีไม้เจี่ยวหวงมู่ กิ่งเซิงเย่าจืออยู่พอดี ซี่งเป็นสมุนไพรที่ล้ำค่าและพบเห็นได้ยากยิ่ง ล้วนแล้วแต่เป็นกิ่งแก่ระดับล้านปีทั้งสิ้น ดังนั้น เขาจึงตั้งใจจะอวดอ้างตนต่อหน้าฉินซาวเย่าสักครั้ง
แต่ว่าฉินซาวเย่ากลับไม่ให้ความสนใจในไม้เจี่ยวหวงมู่ กิ่งเซิงเย่าจือที่หูชิงหนิวพูดถึงแม้แต่น้อย ยังคงเปี่ยมด้วยความสนใจมองดูถ้ำดินที่หลี่ชิเย่ปั้นก่อขึ้น ถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “เป็นของวิเศษแบบไหนกันแน่นะ? สามารถเปิดเผยให้สักนิดหรือไม่?”
“เจ้ากำลังขุดหาไม้โอสถรึ?” เทียบกับหูชิงหนิวที่เย็นชาพูดน้อย และไม่รู้จักพลิกแพลงอย่างหูชิงหนิวแล้ว จางเหยียนกลับสังเกตสีหน้าได้ดีกว่า เขารู้ว่าทั้งฉินซาวเย่า และมู่หย่าหลันต่างก็ให้ความสนใจในสิ่งที่ผู้ชายธรรมดาคนนี้กำลังขุดหาอยู่ ดังนั้น เขาจึงอยากจะสร้างบรรยากาศระหว่างกัน เพื่อให้สามารถใกล้ชิดมู่หย่าหลันได้ดีกว่า
สำหรับเรื่องที่ว่าชายผู้นี้สามารถขุดหาของวิเศษได้จริงหรือไม่นั้น เขาไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เพียงแต่ต้องการหลอกใช้ตัวเขาเท่านั้นเอง
………………………………………………
ตอนที่ 2249 ขุดหลุม
โชคดีที่เวลานี้มีผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่คนหนึ่งไหวพริบดี ได้กล่าวต่อว่า “ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน คุณชายหุยชุนยังได้ไปที่ดินแดนต้นกำเนิดไฟ เคยพบเจอกับเทพสงครามสตรีแห่งจูเซียง”
“ถูกต้อง เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน” ผู้บำเพ็ญตนอีกคนกล่าวขึ้นทันทีว่า “ได้ยินว่าข้างกายของเทพสงครามหญิงแห่งจูเซียงยังมีผู้ชายอยู่คนหนึ่ง มีความใกล้ชิดกับเทพสงครามสตรีอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าจะแซ่หลี่ ส่วนรายละเอียดว่ามาจากสำนักไหนนั้นไม่ทราบได้”
“แซ่หลี่อย่างนั้นรึ…” มู่หย่าหลันที่เดิมมองไปยังที่ที่ห่างไกลตลอดได้หันกลับมาและเอ่ยถามขึ้น
“ถูกต้อง เป็นผู้ชายที่แซ่หลี่คนหนึ่ง” ชายหนุ่มผู้นี้เห็นว่าหมอเทวดาหญิงสนใจในหัวข้อสนทนาของตน จึงกล่าวด้วยความสนุกสนานว่า “เทพสงครามสตรียอดเยี่ยมมากเหลือเกิน เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่หนึ่งเดียวที่ติดตามกองทัพพันธมิตรไปโจมตีลานกำแหงแล้วยังกลับมาได้อย่างปลอดภัย เพียงแต่ผู้ชายที่อยู่ข้างกายของนางทำให้คนอื่นไม่เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่ เนื่องจากเขาใกล้ชิดกับเทพสงครามสตรีมาก”
“เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน กระทั่งมีข่าวลือกันว่า ผู้ชายที่แซ่หลี่คนนี้มีความสัมพันธ์กับเทพสงครามสตรีที่ไม่ธรรมดา ด้วยเหตุนี้เองทำให้คุณชายหุยชุนรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นพิเศษ ระหว่างพวกเขายังเกิดปะทะกันไม่น้อย” ชายหนุ่มอีกคนเมื่อสบโอกาสเช่นนี้ไหนเลยจะยอมพลาดโอกาส จึงรีบชิงกล่าวขึ้นมา
“ผู้ชายคนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร?” ฉินซาวเย่ากับมู่หย่าหลันต่างจ้องมองตากันและกัน ในขณะนี้ภายในใจของพวกนางต่างรู้ลางๆ แล้วว่าเป็นใครแล้ว
“ได้ยินว่าผู้ชายแซ่หลี่คนนั้นหน้าตาธรรมดาทั่วไปมาก ทุกคนต่างไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรเทพสงครามสตรีที่ยอดเยี่ยมหนึ่งเดียวในหล้าเช่นนี้ถึงได้เดินไปด้วยกันกับเขา ด้วยเหตุนี้ ทำให้คุณชายหุยชุนไม่สบอารมณ์เป็นพิเศษ กระทั่งคิดจะลงมือต่อเขา” ชายหนุ่มผู้นี้รีบพูดต่อทันที
“จากนั้นล่ะ?” ฉินซาวเย่าพลันรู้สึกสนใจ เนื่องจากนางก็เพิ่งจะได้ทราบเรื่องนี้เวลานี้เอง
“ได้ยินว่าผู้ชายแซ่หลี่คนนั้นจัดการเผาคุณชายหวูเลี่ยนของแคว้นว่านโซ่วจนกลายเป็นจุณ ยังประกาศว่าจะทำลายแคว้นว่านโซ่วเสีย อันธพาลเต็มเปี่ยม ดุดันยิ่งนัก” ชายหนุ่มที่เป็นผู้เปิดหัวข้อสนทนาแต่แรกไม่อยากให้หัวข้อสนทนาถูกแย่งเอาไป จึงรับลูกกลับมา
มู่หย่าหลันและฉินซาวเย่าต่างมองตากันและกัน พวกนางรู้แล้วว่าผู้ชายแซ่หลี่คนนั้นเป็นใครแล้ว
“โลกนี้คนที่อวดดีมีมากดั่งดอกเห็ด” ในเวลานี้เอง หูชิงหนิวได้กล่าวเสียงเย็นชาขึ้นว่า “เจ้าคนไม่รู้จักคำว่าตายมีมากเหลือเกิน แค่มดปลวกตัวหนึ่งหาญกล้าร้องเอะอะว่าจะทำลายแคว้นว่านโซ่ว มันคือไม่รู้จักเจียมตัว”
เดิมทีหูชิงหนิวต้องการแสดงออกว่าตนเองนั้นเป็นคนพูดเก่ง แต่ทว่าคำพูดที่เขาพูดออกมาคำนี้ พลันทำให้กร่อยลงทันที เนื่องจากผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดที่อยู่ ณ ที่นี้ นอกจากมู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าแล้ว จางเหยียนและตัวเขาที่มีฐานะสูงที่สุดแล้ว
เวลานี้หูชิงหนิวอาศัยคำพูดคำเดียวก็ตัดสินความไปเรียบร้อย พลันทำให้หัวข้อสนทนานี้ถูกหยุดเอาไว้อย่างนั้น คนอื่นไม่สามารถไปตอบโต้หรือตวาดใส่เขาได้
พลันทำให้จางเหยียนแทบคลั่ง ไม่ง่ายนักกว่าจะสร้างบรรยากาศขึ้นมาได้บ้าง ทำให้หญิงงามรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้าง พลันถูกคำพูดคำเดียวของหูชิงหนิวทำให้กร่อย ทำให้อึ้งกันไปหมด
“โลกนี้มังกรหมอบพยัคฆ์เร้นกาย” แน่นอน มู่หย่าหลันย่อมต้องเข้าข้างผู้ชายแซ่หลี่เต็มที่ นางเพียงพูดน้ำเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่งเท่านั้น
“ใช่ ใช่ ใช่ แม่นางมู่พูดไม่มีผิดสักนิด ไม่แน่นักเจ้าคนแซ่หลี่คนนี้อาจมีธาตุแท้ภายในพิเศษอยู่” จางเหยียนรีบกล่าวสนับสนุนขึ้นมาว่า “ในเมื่อกล้าเอะอะเอ็ดตะโร ไม่แน่นักอาจมีฝีมือจริงๆ อยู่บ้างก็ได้”
“มีฝีมืออยู่บ้างแล้วจะมีประโยชน์อะไร?” หูชิงหนิวยังคงไม่รู้ตัว กล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “แคว้นว่านโซ่วคือแคว้นเจ้าลัทธิที่แข็งแกร่งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ เปี่ยมด้วยระดับบรรพบุรุษนับไม่ถ้วน คุณชายหุยชุนเองก็เป็นอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ยอดเยี่ยม ลำพังอาศัยวคนแซ่หลี่ที่เป็นผู้เยาว์ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งก็คิดจะทำลายแคว้นว่านโซ่ว มันคือความฝันของคนปัญญาอ่อน เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกแล้ว”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหูชิงหนิวพลันทำให้จางเหยียนโมโหจนแทบกระอักเป็นเลือด เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า อัจฉริยะบุคคลด้านการแพทย์อย่างหูชิงหนิวทำไมถึงได้มีอีคิวที่ต่ำขนาดนี้ พลันทำให้งานกร่อยอีกแล้ว นี่มันคือจอมกร่อยชัดๆ
เวลานี้ จางเหยียนอยากจะเปิดกะโหลกของหูชิงหนิวออกมาดูว่า สมองของอัจฉริยะบุคคลผู้นี้จุอะไรไว้กันแน่
ต่อให้คนโง่ก็รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหุบเขาอมตะกับแคว้นว่านโซ่วไม่ดี เวลานี้ต่อให้ที่หูชิงหนิวพูดนั้นเป็นความจริง แต่ก็เท่ากับเป็นการยกย่องแคว้นว่านโซ่วเต็มที่ แล้วมู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าในฐานะศิษย์ของหุบเขาอมตะจะคิดอย่างไร?
จางเหยียนก็ไม่สามารถหาหัวข้อสนทนาที่ดีได้ในเวลานี้ ไม่สามารถสนทนาต่อไปได้อีก
“แม่นางฉิน ท่านว่าอย่างนั้นหรือไม่?” หูชิงหนิวยังคงไม่สำนึก เดิมทีเขาเป็นคนที่มีท่าทีเย็นชามาโดยตลอด ยากนักที่จะได้เห็นเขาเผยรอยยิ้มออกมา และกล่าวว่า “คนบางคนบนโลกนี้ก็ไม่รู้จักประมาณตนอย่างนี่แหละ อาศัยคนๆ เดียวหาญกล้ากล่าววาจาสามหาวว่าจะทำลายแคว้นๆ หนึ่ง นับว่าอายุเยาว์แล้วประมาทโดยแท้ ไม่รู้จักมองดูว่าโลกนี้เป็นอย่างไร คนหนุ่มที่ไม่เคยผ่านอุปสรรคมาล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนี้”
ฉินซาวเย่าไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงมองดูสายน้ำที่อยู่ห่างไกลออกไปเท่านั้น
ส่วนคนอื่นๆ เรียกว่าต้องอึ้งไปโดยสิ้นเชิง ตัวเองพูดผิดแล้วยังไม่รุ้ตัวอีก ถึงกับยังรู้สึกว่าตัวเองทำได้ดี ดังนั้นทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่สามารถพูดคุยกันได้อีกต่อไป เมื่อมีจอมกร่อยอย่างหูชิงหนิวอยู่ด้วย ไม่ว่าใครก็เปิดประเด็นสนทนาไม่ออก
ในเวลานี้เอง มู่หย่าหลันที่มองน้ำในบึงตลอดพลันเห็นอะไรที่น่าสนใจ นางใช้ข้อศอกกระทุ้งฉินซาวเย่าที่อยู่ด้านข้าง ฉินซาวเย่าจึงมองออกไปทันที มองเห็นที่ตรงนั้นเป็นเกาะร้างเล็กๆ เกาะหนึ่ง บนชายหาดของเกาะนั้นมีคนผู้หนึ่งกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่
มองเห็นเป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง ผู้ชายธรรมดาจนไม่สามารถธรรมดามากไปกว่านี้อีก เวลานี้เขากำลังวุ่นอยู่บนชายหาดบนเกาะแห่งนั้น กำลังขุดหลุมในน้ำโคลนให้เป็นหลุมแต่ละหลุมขึ้นมา จากนั้นใช้มือก่อขึ้นมาให้เป็นเหมือนถ้ำดินโคลนด้วยความมุ่งมั่นยิ่งนัก เหมือนเป็นการปั้นงานศิลปะที่ยอดเยี่ยมอย่างนั้น
มู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าทั้งสองคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกันทั้งคู่ พวกนางต่างสบตากันและกัน นี่แหละคือศิษย์พี่ใหญ่ที่พวกนางต้องการตามหา พวกนางต่างเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาพร้อมกันเมื่อได้เห็นหลี่ชิเย่แล้ว
แม้ว่าหลี่ชิเย่ในขณะนี้จะเปื้อนไปด้วยน้ำโคลนทั้งตัว และดูสกปรกเลอะเทอะ แต่ในสายตาของมู่หย่าหลันและฉินซาวเย่าสองคนมองว่าหลี่ชิเย่ในเวลานี้ดูดีเป็นพิเศษ ขอเพียงหลี่ชิเย่ยังคงอยู่ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่แลดูสวยงามอะไรอย่างนั้น
มู่หย่าหลันนั้นดุจดั่งดอกเหมยที่ทระนงท่ามกลางหิมาะ ฉินซาวเย่าคือกล้วยไม้ที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาลึกและมืด น้อยครั้งนักที่พวกนางจะเผยรอยยิ้มออกมา เวลานี้ยามที่พวกนางเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมานั้น บรรดาผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างหูชิงหนิว จางเหยียนต่างมองจนจิตใจหวั่นไหว และหลงใหลไปกับรอยยิ้มของพวกนาง มองจนเคลิบเคลิ้มหลงใหล รอยยิ้มจางๆ เช่นนี้กล่าวสำหรับพวกเขาแล้วนับว่าช่างงดงามเหลือเกิน
มู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าพวกนางต่างก็ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่ต้องการทำอะไร เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ทำการปั้นหลุมโคลนและละหลุมอย่างละเอียด จึงไม่กล้าเข้าไปบุ่มบ่าม สั่งให้ศิษย์จอดเรือไว้ข้างๆ มองดูหลี่ชิเย่ที่กำลังทำงานวุ่นอยู่
มู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่ามองดูหลี่ชิเย่ที่ทำการปั้นถ้ำโคลนขึ้นมาถ้ำแล้วถ้ำเล่า ยามที่ถ้ำโคลนเล่านี้ถูกปั้นขึ้นมา มันดูเหมือนเป็นปล่องควันขนาดเล็กแต่ละปล่องอย่างนั้น อีกทั้งถ้ำดินแต่ละถ้ำเหมือนจะเชื่อมถึงกัน คล้ายดั่งเป็นรังที่เชื่อมกันได้ทุกทิศทุกทาง และเชื่อมไปยังโลกอีกโลกหนึ่งที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างนั้น
มู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าทั้งสองคนมองดูทุกๆ ความเคลื่อนไหวของหลี่ชิเย่ แต่ดูไม่ออกว่าหลี่ชิเย่ต้องการทำอะไรโดยสิ้นเชิง แต่ว่า หลี่ชิเย่ย่อมไม่ว่างมากจนน่าเบื่อแล้วมาเล่นดินโคลนที่ตรงนี้
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ พวกของหูชิงหนิวและจางเหยียนจึงได้สติกลับมาจากรอยยิ้มที่สวยหยาดเยิ้มนั้น เวลานี้เอง พวกของหูชิงหนิวและจางเหยียนจึงได้พบว่า มู่หย่าหลันกับฉินซาวเย่าถูกดึงดูดความสนใจโดยผู้ชายที่ดูธรรมดาซึ่งกำลังเล่นดินโคลนอยู่ที่ชายหาดนั่น
พลันที่หูชิงหนิวและจางเหยียนจ้องมองไป เห็นผู้ชายคนนี้ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดากว่านี้ได้อย่างไร เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่มีส่วนไหนที่น่าสนใจ ทั้งหูชิงหนิวและจางเหยียนเข้าใจเองว่า หากตนเองไปยืนอยู่ตรงหน้าผู้ชายคนนี้ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรผู้นี้แล้ว รับรองได้ว่าต้องทำให้เขาสลดและอับแสงแน่นอน ทำให้เขาต้องไร้ค่าคู่ควรจะกล่าวถึงแน่นอน
เฉกเช่นผู้ชายที่ธรรมดาเช่นนี้หากจับโยนลงไปบนถนนก็ต้องหายไปท่ามกลางฝูงชน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมาเปรียบเทียบกับอัจฉริยะบุคคลที่โดดเด่นแล้ว
แต่ทว่า ผู้ชายที่ธรรมดาเช่นนี้กลับทำให้มู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าจ้องมองด้วยความสนใจอย่างยิ่ง พวกนางทั้งสองมองตาไม่กะพริบกับทุกๆ อิริยาบถของชายผู้นี้ เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดสามารถดึงดูดความสนใจมากไปกว่าผู้ชายที่ธรรมดาๆ ได้อีกแล้ว
ภาพนี้พลันทำให้หูชิงหนิวและจางเหยียนทั้งสองคนรู้สึกเหมือนกรดไหลย้อนอย่างนั้น ผู้ชายที่แสนจะธรรมดาเช่นนี้มีอะไรชวนมอง ไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึง โดยเฉพาะท่าทางที่สกปรกเปื้อนดินโคลนทั้งตัว คล้ายดั่งขอทานที่อยู่ข้างถนน ดูแล้วก็สะอิดสะเอียน
“นี่ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ที่นั่น?” จางเหยียนรู้สึกไม่สบอารมณ์เมื่อมองเห็นผู้ชายที่ธรรมดาคนหนึ่งสามารถดึงดูดสายตาของมู่หย่าหลันที่เย็นชาและเหินห่างได้ จึงร้องเสียงดังออกไปยังหลี่ชิเย่
“ขุดของวิเศษ” หลี่ชิเย่ที่ใช้ดินโคลนปั้นแต่งถ้ำดินโคลนอยู่เพียงตอบรับไปตามอารมณ์ ท่าทางใจจดใจจ่ออย่างยิ่ง โดยไม่ได้มองหน้าพวกเขาสักแวบด้วยซ้ำ
“ขุดหาของวิเศษ? ของวิเศษอะไร?” ฉินซาวเย่าอดที่จะเอ่ยถามขึ้น นางรู้สึกรอคอยกับสิ่งนั้นอยู่บ้างแล้ว
“ของดี” หลี่ชิเย่ที่อยู่ไกลออกไปตอบรับคำหนึ่งตามอารมณ์ ยังคงวุ่นวายอยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่
“แม่นางฉิน ชายหาดที่เป็นดินโคลนเช่นนี้จะไปมีของวิเศษอะไรได้” หูชิงหนิวเป็นคนที่สังเกตสีหน้าคนไม่เป็น อีคิวต่ำจนไม่รู้จะต่ำอย่างไร กล่าวว่า “สำหรับพวกสวะแล้ว ต่อให้เป็นหินแร่เหล็กสักก้อนที่พบในดินโคลนก็เป็นของวิเศษที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว คนที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยยากจนเช่นนี้ ไม่เคยได้เห็นของวิเศษอะไรอยู่แล้ว ถ้าหากเอาไม้เจี่ยวหวงมู่ กิ่งเซิงเย่าจือให้เขาสักชิ้นหนึ่ง คงทำให้เขาต้องตกใจจนเหม่อ”
เมื่อหูชิงหนิวเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วได้ยืดอกขึ้น เนื่องจากเขามีไม้เจี่ยวหวงมู่ กิ่งเซิงเย่าจืออยู่พอดี ซี่งเป็นสมุนไพรที่ล้ำค่าและพบเห็นได้ยากยิ่ง ล้วนแล้วแต่เป็นกิ่งแก่ระดับล้านปีทั้งสิ้น ดังนั้น เขาจึงตั้งใจจะอวดอ้างตนต่อหน้าฉินซาวเย่าสักครั้ง
แต่ว่าฉินซาวเย่ากลับไม่ให้ความสนใจในไม้เจี่ยวหวงมู่ กิ่งเซิงเย่าจือที่หูชิงหนิวพูดถึงแม้แต่น้อย ยังคงเปี่ยมด้วยความสนใจมองดูถ้ำดินที่หลี่ชิเย่ปั้นก่อขึ้น ถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “เป็นของวิเศษแบบไหนกันแน่นะ? สามารถเปิดเผยให้สักนิดหรือไม่?”
“เจ้ากำลังขุดหาไม้โอสถรึ?” เทียบกับหูชิงหนิวที่เย็นชาพูดน้อย และไม่รู้จักพลิกแพลงอย่างหูชิงหนิวแล้ว จางเหยียนกลับสังเกตสีหน้าได้ดีกว่า เขารู้ว่าทั้งฉินซาวเย่า และมู่หย่าหลันต่างก็ให้ความสนใจในสิ่งที่ผู้ชายธรรมดาคนนี้กำลังขุดหาอยู่ ดังนั้น เขาจึงอยากจะสร้างบรรยากาศระหว่างกัน เพื่อให้สามารถใกล้ชิดมู่หย่าหลันได้ดีกว่า
สำหรับเรื่องที่ว่าชายผู้นี้สามารถขุดหาของวิเศษได้จริงหรือไม่นั้น เขาไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เพียงแต่ต้องการหลอกใช้ตัวเขาเท่านั้นเอง