“แทะดินโคลน?” สำหรับคำพูดของหูชิงหนิวนั้น หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องมีการเตรียมตัวกันบ้างล่ะ” กล่าวพลางก้าวเดินไปยังเรือใหญ่นั่น
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” จางเหยียนถึงกับขมวดคิ้วทีหนึ่งและเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นหลี่ชิเย่จะก้าวขึ้นบนเรือ
หลี่ชิเย่ขึ้นมาบนเรือแล้วหัวเราะและกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้าจะเปิดการพนันขึ้นแล้ว ข้าจะเลอะโคลนทั้งตัวได้อย่างไรกัน ข้าย่อมต้องแต่งองค์ทรงเครื่องเข้าร่วมสิ”
“ลงไป ที่ตรงนี้หาใช่ที่ที่เจ้าควรจะมา” จางเหยียนสั่งการออกมาด้วยความไม่พอใจ
แม้ว่าคำพูดของจางเหยียนก่อนหน้าฟังดูเหมือนหวังดีต่อหลี่ชิเย่อย่างนั้น ความจริงแล้ว กล่าวสำหรับเขาแล้วหลี่ชิเย่เป็นเพียงเครื่องมือที่เขาอาศัยทำให้บรรยากาศมีความคึกคักเท่านั้นเอง ภายในใจของเขาไม่เคยมองหลี่ชิเย่ตรงๆ และไม่เคยถือเอาหลี่ชิเย่เป็นอะไร
เวลานี้ หลี่ชิเย่คิดจะขึ้นมาบนเรือ จางเหยียนย่อมไม่ชอบใจอยู่แล้ว ผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งเช่นนี้ ไหนเลยจะมีสิทธิ์มานั่งเรือลำเดียวกันกับพวกเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาที่เปื้อนน้ำโคลนทั้งตัว เสมือนดั่งเป็นขอทานที่อย่ข้างถนน หากขึ้นมาบนเรือมิทำให้เรือต้องสกปรกไปด้วย
“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่เพียงหัวเราะออกมาตามอารมณ์ และปีนขึ้นบนเรือเหยียบลงบนดาดฟ้าเรือ หลี่ชิเย่ที่เปื้อนน้ำโคลนทั้งตัวยามที่เหยียบลงบนดาดฟ้าเรือ ก็จะทิ้งร่องรอยเป็นรอยเท้าที่เป็นดินโคลนแต่ละข้างเอาไว้ และน้ำโคลนก็หยดลงบนดาดฟ้าเรือจนเกลื่อนไปทั่ว
“ลงไปเลย…” หูชิงหนิวเมื่อเห็นหลี่ชิเย่ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยดินโคลน เลอะเทอะเปรอะเปื้อน และทำให้ดาดฟ้าเรือต้องสกปรก รู้สึกสะอิดสะเอียน จึงส่งเสียงตวาดออกไปว่า “ที่ตรงนี้เจ้าไหนเลยมีสิทธิ์ขึ้นมาได้ ไสหัวลงไป”
“เจ้าลงไปเดี๋ยวนี้เลย” มีชายหนุ่มสองคนเสนอตัวออกมาขวางหลี่ชิเย่เอาไว้ ร้องเสียงดังว่า “หาไม่แล้วจะจับเจ้าโยนลงไป”
บรรดาชายหนุ่มที่อยู่บนเรือ มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่เป็นอัจฉริยะบุคคล พวกเขาดูถูกพวกที่เป็นชนขั้นรากหญ้าและผู้บำเพ็ญตนไร้สังกัดอยู่แล้ว ในสายตาของพวกเขาบรรดาชนชันรากหญ้าและผู้บำเพ็ญตนไร้สังกัดก็แค่มดปลวกเท่านั้นเอง
เมื่อครู่ที่มีผู้คนจำนวนมากที่เข้าร่วมเกมการพนันด้วยความรู้สึกที่เร่าร้อนนั้น ก็แค่ต้องการเห็นความสนุกสนานของมู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าเท่านั้นเอง พวกเขาก็แค่ต้องการให้สาวงามชื่นชอบ ต้องการลุ้นให้สาวงามยิ้มละไมออกมาเท่านั้น
เวลานี้ หลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง และคนที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเปื้อนน้ำโคลนถึงกับคิดขึ้นบนเรือและนั่งบนเรือร่วมกับพวกเขา เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อนุญาตอยู่แล้ว มดปลวกประเภทนี้จะมามีสิทธิ์ร่วมนั่งบนเรือลำเดียวกันกับพวกเขาได้อย่างไรกันเล่า ยิ่งไปกว่านั้น น้ำโคลนที่อยู่บนตัวหลี่ชิเย่พวกเขาสะอิดสะเอียนแค่ได้เห็น
มู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าพวกนางสองคนยังไม่ทันได้เอ่ยปาก พวกของหูชิงหนิวก็ตัดสินใจโดยพละการ พลันทำให้พวกนางทั้งสองคนไม่ปลื้มนัก
“ต่อให้เป็นเกมการพนัน เจ้าก็เป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งที่อยู่ในเกม ไหนเลยมีสิทธิ์ร่วมนั่งกับผู้เล่น ไสหัวลงไปเสีย อย่าให้เท้าเหม็นๆ ของเจ้าทำให้ดาดฟ้าเรือของเทพธิดาฉินต้องสกปรก” ชายหนุ่มอีกคนในสองคนรับไม้ต่อส่งเสียงดังขึ้นมา
หลี่ชิเย่ไม่สนใจชายหนุ่มทั้งสอง สั่งการต่อมู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าว่า “ทั้งตัวมีแต่ดินโคลน ช่วยจัดการให้ข้าที”
หลี่ชิเย่สั่งการต่อมู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าอย่างเต็มปากเต็มคำเช่นนี้ พลันทำให้สีหน้าของบรรดาผู้บำเพ็ญตน กลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์เปลี่ยนไป ในสายตาของพวกเขามองว่าหมอเทวดาหญิงมู่และเทพธิดาฉินเป็นใครกัน ผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงถึงกับหาญกล้าสั่งพวกนางเหมือนสาวใช้
“บังอาจ…” ในเวลานี้ ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่ออกปากตำหนิขึ้นมา
ยิ่งหูชิงหนิวและจางเหยียนด้วยแล้ว สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไปมากทีเดียว สีหน้าของหูชิงหนิวดูไม่เป็นมิตร เผยปณิธานการฆ่าออกมา กล่าวน่าครั่นคร้ามขึ้นมาว่า “เจ้าคนไม่รู้จักคำว่าตาย ถึงกับหาญกล้าสบประมาทเทพธิดา จะเอาชีวิตเจ้า…”
แต่ทว่า คำพูดของหูชิงหนิวพูดยังไม่ทันจบ ก็ต้องสะดุดลงดื้อๆ
เวลานี้ มองเห็นมู่หย่าหลันที่เย็นชาเหินห่างได้เข้าไปประคองมือข้างหนึ่งของหลี่ชิเย่เอาไว้ เหมือนเกรงว่าเขาจะลื่นตกอย่างนั้น ขณะที่ฉินซาวเย่าช่วยหลี่ชิเย่ถอดเอาชุดคลุมที่เปื้อนน้ำโคลนออกมา
ในเวลานี้มู่หย่าหลันและฉินซาวเย่าพวกนางสองคนไม่ได้สนใจเลยว่าดินโคลนที่อยู่บนตัวของหลี่ชิเย่จะทำให้เสื้อของพวกเขาต้องเปื้อน คล้ายดั่งเป็นสาวใช้ที่คอยจัดการให้กับหลี่ชิเย่อย่างนั้น
“ท่านเลอะขี้ดินทั้งตัว ต้องอาบน้ำแล้วล่ะ” ฉินซาวเย่าได้แต่เอ่ยขึ้นขณะมองดูตัวเขาที่เสื้อผ้าเต็มไปด้วยดินโคลน
“ข้าจะไปเตรียมการเรื่องของใช้สำหรับอาบน้ำ” มู่หย่าหลันไปจัดการทันที
ขณะที่ฉินซาวเย่าประคองหลี่ชิเย่เข้าไปภายในตัวเรือ และพูดบ่นออกมาว่า “ท่านหายตัวไปโดยกะทันหันหลายวัน ศิษย์พี่ถูกท่านทำให้ตกอกตกใจยกใหญ่”
“เดินเที่ยวไปตามอารมณ์เท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง ใยต้องกังวลใจถึงเพียงนี้ สามารถกวาดจนสิ้นซากตามอารมณ์เท่านั้น”
ระหว่างการสนทนาของคนทั้งสอง ได้หายเข้าไปภายในลำเรือ เหลือไว้แต่เพียงพวกที่ตกใจยืนแข็งทื่อดั่งหุ่นไก่เหล่านั้น
เวลานี้ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งหมดที่อยู่บนเรือต่างอ้าปากกว้าง และไม่สามารถเรียกสติกลับมาได้ พวกเขาต่างงงงันกับภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
มู่หย่าหลันและฉินซาวเย่ามีชาติกำเนิดจากหุบเขาอมตะที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคปัจจุบัน ฐานะสูงส่งยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นพวกนางมีรูปโฉมที่สวยหยาดเยิ้ม ไม่รู้ว่าได้ทำให้ผู้คนจำนวนเท่าไรต้องหลงใหล ในแนวความคิดของผู้คนจำนวนเท่าไรที่มองว่า พวกนางคือเทพธิดาที่สูงส่ง เป็นนางฟ้าที่ผู้คนทุ่มเทความรักให้
แต่ว่า ในเวลานี้พวกนางที่อยู่ข้างกายหลี่ชิเย่กลับเสมือนเป็นสาวใช้คนหนึ่งอย่างนั้น ช่างคล้อยตาม อ่อนโยน และเอาใจใส่อะไรอย่างนั้น โชคทางความรักเช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีโอกาสได้เสพตลอดไป
โดยเฉพาะคนที่ร้องกล่าวเสียงดังต่อหลี่ชิเย่นั้น ยิ่งรู้สึกถึงใบหน้าที่แสบร้อน และเก้อเขินยิ่งนัก
ในขณะนี้ แม้แต่อัจฉริยะบุคคลอย่างจางเหยียนและหูชิงหนิวก็พูดอะไรไม่ออก ท่าทางนั้นดูจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พวกเขาคิดจะได้รับความนิยมชื่นชมจากสาวงาม คิดจะลุ้นให้สาวงามยิ้มสักนิดก็ยังยาก แต่กลับอ่อนโยนและคล้อยตามกับผู้ชายอีกคนถึงเพียงนี้
สิ่งที่ทำให้จางเหยียนและหูชิงหนิวรู้สึกหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์ก็คือ ผู้ชายคนนี้หาใช่ผู้ยิ่งใหญ่ที่ยอดเยี่ยมแต่อย่างใด เป็นเพียงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีชื่อเสียงเท่านั้นเอง แล้วจะไม่ทำให้พวกเขาต้องโมโหในใจได้อย่างไรเล่า
ในเวลานี้ ภายในใจของทั้งจางเหยียนและหูชิงหนิวต่างมีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ ความรู้สึกต่างๆ นานาที่พรั่งพรูออกมา
“นี่ นี่ นี่…” มีผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อ้าปากค้าง ทำท่าจะพูดไปครึ่งค่อนวัน ปรากฎว่าพูดไม่ออกสักคำ พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไรดี
หลังจากผ่านไปนานมาก ในที่สุดหลี่ชิเย่ก็ได้ชำระล้างกายาเสร็จสิ้น สบายเนื้อสบายตัวไปทั่วตัว ถอนหายใจยาวทีหนึ่ง และยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “อาบน้ำร้อนก่อนแล้วตามด้วยชาชั้นดีร้อนๆ สักแก้ว ช่างเป็นเรื่องที่สบายใจเช่นใด”
ทุกคนยืนอยู่ที่หน้าประตูมองดูหลี่ชิเย่ที่บิดขี้เกียจ ในใจรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก รู้สึกว่าหลี่ชิเย่ขวางหูขวางตาเป็นพิเศษ
ในเวลานี้ มู่หย่าหลันคลุมเสื้อคลุมให้เขาด้วยท่าทีที่อ่อนโยนและเอาอกเอาใจ
“พอดีผลึกน้ำแข็งละมุนละไมที่ข้าปลูกเอาไว้ ยังเหลืออยู่อีกหนึ่งขวดยังไม่ได้เปิด” ฉินซาวเย่าเผยรอยยิ้มออกมาและกล่าว ยามที่ฉินซาวเย่าที่ดั่งกล้วยไม้ท่ามกลางหุบเขาลึกเมื่อยิ้มออกมา เสมือนดั่งดอกกล้วยไม้ที่บานเบ่ง สวยสดงดงามหลุดพ้นจากจารีตประเพณีทั่วไปอย่างนั้น ทำให้ผู้คนเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างได้ทันที
“เช่นนั้นก็ชงมาดื่มสักหน่อยก็แล้วกัน ดูว่าศิลปะการชงชาของเจ้าเป็นอย่างไร” หลี่ชิเย่หัวเราะและสั่งออกไป
“เทียบศิลปะการชงชาข้าเทียบศิษย์พี่สาวไม่ได้” ฉินซาวเย่าที่มีท่าทีเอียงอายอยู่สามส่วน และถ่อมตนอยู่เจ็ดส่วน เวลานี้นาแลดูงดงามยิ่งนัก
ฉินซาวเย่าชงชาริมหน้าต่าง ขณะที่มู่หย่าหลันเตรียมเรื่องโต๊ะให้หลี่ชิเย่ได้นั่งสบายๆ อยู่ที่นั่น ยามที่แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านหน้าต่างแล้วตกลงบนใบหน้าของเขาแล้ว ตัวเขาที่ดูท่าทีเบื่อหน่ายเหมือนเพิ่งตื่นนอนอย่างนั้น
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ กลิ่นหองของชานั้นฟุ้งกระจายไปทั่วลำเรือ ฉินซาวเย่า ประเคนน้ำชาด้วยมือทั้งสอง และกล่าวว่า “นี่คือใบชาฤดูใบไม้ผลิ ท่านลองชิมว่ารสชาติเป็นเช่นใด”
มู่หย่าหลันถึงกับยิ้มจางๆ จุดธูปหอม และตระเตรียมอาหารว่างให้
โฉมตรูอยู่ด้านข้าง มือขาวประเคนน้ำชา ขนมอบกรอบ ช่างเป็นการเสพสุขเพียงใด ไม่รู้ว่ามีผู้ที่อิจฉากับภาพเช่นนี้อย่างไร
ผู้บำเพ็ญตน กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยู่บนเรือตามจ้องมองด้วยท่าทีงุนงง ภายในใจรุ้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง เวลานี้ไม่สามารถพูดอะไรออกมา
“น้ำชาไม่เลวนัก แต่ว่าฝีมือของหย่าหลันก็ดีมาก อาหารว่างเหมาะสมพอดี” หลังจากที่หลี่ชิเย่ลิ้มลองแล้ว อาหารว่างเข้าปาก และยิ้มกล่าวขึ้นมา
ในเวลานี้ ภายในใจของหูชิงหนิวและจางเหยียนดูจะอึดอัดมากเป็นพิเศษ ความจริงแล้วคนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่รู้สึกอึออัดทั้งสิ้น แต่พวกเขาต่างจนด้วยเกล้า มีเพียงหูชิงหนิวที่ส่งเสียงฮึเย็นชาขึ้นมา
เมื่อหลี่ชิเย่ได้ยินเสียงของหูชิงหนิวแล้ว จึงได้เงยหน้าขึ้นมองดูพวกเขาทีหนึ่ง หัวเราะและกล่าวว่า “ข้าเกือบจะลืมเรื่องเกมการพนันไปแล้ว”
“ต่อไป ต่อไป เกมพนันของพวกเราเดินหน้าต่อไป” หลี่ชิเย่ยิ้มแต้กล่าวกับพวกของหูชิงหนิว
“ศิษย์พี่ ท่านก็อย่างได้แกล้งพวกเขาอีกเลย” มู่หย่าหลันยิ้มเฉยเมย เสมือนดั่งดอกเหมยฤดูหนาวที่บานเบ่งเต็มที่ งดงามจนประทับใจอย่างยิ่ง นางส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เรื่องเช่นนี้กล่าวสำหรับท่านแล้วมั่นใจเก้าในสิบส่วนอยู่แล้ว”
มู่หย่าหลันนับว่ามีความหวังดี นางมั่นใจว่าหากหลี่ชิเย่ลงมือ ย่อมมีความมั่นใจเก้าในสิบส่วนอยู่แล้ว การที่พวกของจางเหยียนหาญกล้าพนันกับหลี่ชิเย่ จะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
“เรื่องนี้จะมาหาว่าเป็นการกลั่นแกล้งได้อย่างไร ใช่ว่าข้าบอกว่าจะต้องพนันกันให้ได้” หลี่ชิเย่ทำพยักไหล่ กล่าวด้วยท่าทีอย่างไรก็ได้ว่า “ในเมื่อรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ พวกเราก็อย่าพนันก็แล้วกัน”
“ใครบอกว่าจะไม่พนัน?” หูชิงหนิวก้าวออกมาทันที กล่าวน่าเกรงขามขึ้นมา
ภายในใจของหูชิงหนิวยอมรับความอัปยศนี้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่สามารถแสดงท่าทีด้อยลงต่อหน้าฉินซาวเย่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เขาไม่สามารถถอยได้อีก
“อ้อ เป็นเจ้าที่ต้องการพนัน หรือว่าทุกคนต้องการพนันด้วย?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
“ขอเพียงเจ้ากล้าพนัน แล้วใครเขากลัวเล่า” หูชิงหนิวยืดอกขึ้น สายตาคมกริบ กล่าวเย็นชาขึ้นว่า “ในเมื่อได้บอกไว้แล้วว่าจะพนัน ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็จะพนันให้ถึงที่สุด”
แม้ว่าหูชิงหนิวผู้นี้จะเป็นคนที่หยิ่งยโส ชอบพูดจาทำให้งานกร่อย แต่ว่าเขาเป็นคนที่ทำอะไรดื้อรั้นมาก และเป็นคนที่ชอบเอาชนะคนอื่น
ในเวลานี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถอยอย่างเด็ดขาด ยิ่งไม่สามารถแสดงท่าทีที่อ่อนลงต่อหน้าคนที่ตนชื่นชอบ ต่อให้ต้องต้านอย่างสุดกำลังก็จะต้านให้ถึงที่สุด
“พี่จางเหยียน พวกเราก็พนันกับเขาให้ถึงที่สุด” เวลานี้หูชิงหนิวดึงจางเหยียนเข้าร่วม
“เรื่องนี้…” จางเหยียนถึงกับลังเลขึ้นมา สุดท้ายเขาก็กัดฟัน ร่วมเป็นร่วมตายกับหูชิงหนิว และกล่าวว่า “เมื่อจะพนันก็เล่นให้ถึงที่สุด ดูสิว่าจะขุดเอาไม้เย่ามูจากที่ตรงนี้ได้หรือไม่”
จางเหยียนเป็นคนที่ค่อนข้างฉลาดและมีไหวพริบ เวลานี้ทุกคนต่างมองออกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมู่หย่าหลัน กับฉินซาวเย่าไม่ธรรมดา ยิ่งกว่านั้นยังเป็นศิษย์พี่ของพวกนางยิ่งต้องมีความยอดเยี่ยม ถ้าหากเป็นช่วงปรกติแล้วจางเหยียนย่อมไม่ต้องการไปปะทะอะไรกับหุบเขาอมตะ
แต่ทว่า เวลานี้หากตนถอยต่อหน้าคนที่ตัวเองชื่นชอบล่ะก็ เขาก็จะกลายเป็นคนอ่อนแอไป ดังนั้นเขาจึงต้องกัดฟันเพื่อร่วมเป็นร่วมตายกับหูชิงหนิว