เงินทองตกพื้นทำเอาทุกคนในแดนลัทธิพรรษเดือดพล่านกับสิ่งนี้โดยพลัน ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่อดใจไม่ไหวขึ้นไปยังเรือกระดาษสีดำเพื่อเข้าไปยังเงินทองตกพื้น
อีกทั้งเรือกระดาษสีดำที่บินออกมาจากเงินทองตกพื้นก็มีจำนวนมากเหลือเกิน หลังจากที่เรือกระดาษสีดำบินออกมาจากประตูหลุมดำที่ดั่งบานกระจกอย่างมืดฟ้ามัวดินแล้วก็แยกย้ายบินไปยังทุกทิศทุกทางของแดนลัทธิพรรษ
กล่าวได้ว่า เมื่อเงินทองตกพื้นปรากฏตัวขึ้นนาทีนั้นก็เหมือนลิขิตเอาไว้แล้วว่าจะบินไปทั่วแดนลัทธิพรรษ ดังนั้น ไม่ว่าบุคคลผุ้นั้นจะอยู่ ณ สถานที่ใดของแดนลัทธิพรรษ ต่อให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ หรือสำนักนั้นๆ จะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไกลโพ้นลับตาผู้คนเพียงใดก็ตามภายในแดนลัทธิพรรษ ก็จะสามารถเห็นเรือกระดาษสีดำของเงินทองตกพื้น
ดังนั้น ขอเพียงในกระเป๋าของเจ้ามีเงินอยู่เพียงพอก็ขึ้นไปยังเรือกระดาษสีดำเถอะ มันจะอาศัยความเร็วที่รวดเร็วที่สุดส่งตัวเจ้าเข้าไปยังเงินทองตกพื้นเร็วที่สุด
แน่นอน หากพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลจากประตูทางเข้า เงินทองที่ต้องใช้เพื่อการนี้ก็ยิ่งต้องใช้มาก มิฉะนั้นแล้วเรือกระดาษสีดำก็จะไม่ส่งตัวเจ้าเข้าไปยังเงินทองตกพื้น
หลังจากที่เงินทองตกพื้นปรากฏตัวออกมาได้ไม่นาน หลี่ชิเย่ก็ได้ลงมาจากยอดเขาเก็บสมุนไพร
พวกฟ่านเมี่ยวเจินสามศิษย์พี่น้องไม่ได้จากไปไหน พวกนางได้รับคำสั่งจากนักพรตฉางเซินให้อยู่รอหลี่ชิเย่
“ศิษย์พี่จะกลับไปที่หุบเขาหรือไม่?” พลันที่เห็นหลี่ชิเย่ มู่หย่าหลันที่ปรกติพูดน้อยถึงกับเอ่ยปากขึ้นเป็นคนแรก ท่าทีที่จ้องมองหลี่ชิเย่แฝงไว้ซึ่งความใฝ่หา
แม้ว่าศิษย์พี่น้องอย่างฟ่านเมี่ยวเจินทั้งสามไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่สนทนาเรื่องอะไรกับอาจารย์ของตน แต่ลางสังหรณ์บอกพวกนางว่า บางทีระหว่างอาจารย์พวกนางกับหลี่ชิเย่อาจไม่ค่อยจะสบายใจนัก
ภายในใจของพวกฟ่านเมี่ยวเจินย่อมกระหายอยากให้หลี่ชิเย่สามารถกลับไปที่หุบเขาอมตะของพวกเขา และเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพวกนางจริงๆ จะอย่างไรเสียงหุบเขาอมตะพวกนางต้องการศิษย์เช่นหลี่ชิเย่ ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกเขาอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี
“ไม่ ยังจะไม่กลับไปชั่วคราว” หลี่ชิเย่ส่ายหัวเบาๆ ดวงตาทั้งสองมองดูเรือกระดาษสีดำแต่ละลำที่แล่นผ่านมาแล้วมองไปที่ที่ห่างไกล สายตามองข้ามระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ก้าวข้ามท้องฟ้าที่ว่างเปล่า เสมือนหนึ่งพุ่งทะลุเข้าไปยังประตูหลุมดำที่ดั่งบานกระจก
“ศิษย์พี่ต้องการไปที่เงินทองตกพื้น?” ฟ่านเมี่ยวเจินที่มีจิตใจตรงกันเข้าใจได้ทันทีและเอ่ยขึ้นมา เมื่อมองเห็นสายตาของหลี่ชิเย่ที่เสมือนก้าวข้ามท้องฟ้าว่างเปล่าที่ไร้ขอบเขต
“ไปสักครั้ง สมควรไปสักครั้งหนึ่ง ข้ากำลังจะตามหามันพอดี ในเมื่อมาแล้วย่อมดีที่สุด ซึ่งจะทุ่นกำลังของข้าลงได้มากเลยทีเดียว” ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้ ประกายตาเต้นกระตุกทีหนึ่ง
กล่าวสำหรับคนอื่น การไปที่เงินทองตกพื้นเพื่อต้องการของมีค่า ต้องการสิ่งที่เรียกว่าผจญโชค แต่ว่า ที่หลี่ชิเย่ต้องการไปเงินทองตกพื้นต้องการพบคนผู้หนึ่งมากกว่า
“ข้าจะไปกับศิษย์พี่” ดวงตาฟ่านเมี่ยวเจินกะพริบทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าหากพวกเราเดินทางด้วยกัน ก็จะมีเพื่อน”
“พวก พวกเราก็ไปด้วย” เวลานี้แม้แต่มู่หย่าหลันที่เยือกเย็นและหยิ่งยโสและฉินซาวเย่าก็อยากติดตามไปด้วย พวกนางยินดีร่วมเดินทางไปกับหลี่ชิเย่
“ไม่ ถ้าหากพวกเจ้าอยากจะไป ยังคงไปกับเจ้าหุบเขาเถอะ” หลี่ชิเย่มองดูเรือกระดาษสีดำส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ข้ายังมีธุระนิดหน่อย ไม่แน่นักอาจต้องเจอะเจอกับเรื่องยุ่งยากนิดหน่อย”
“ศิษย์พี่ต้องการไปที่ตี้อิ๋น!” ฟ่านเมี่ยวเจินพลันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเมื่อหลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ ฟ่านเมี่ยวเจินที่ฉลาดและเจ้าเล่ห์เข้าใจในตัวของหลี่ชิเย่ เขาไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดๆ บนโลกอยู่แล้ว
มาวันนี้เขาถึงกับพูดว่าจะต้องพบกับเรื่องยุ่งยากนิดหน่อย นางก็นึกถึงสถานที่ที่น่ากลัวยิ่งแห่งหนึ่ง สถานที่ที่ทุกคนที่ไปยังเงินทองตกพื้นแล้วต้องหน้าถอดสีเมื่อมีการเอ่ยถึง นั่นก็คือตี้อิ๋น
“ถูกต้อง จะต้องไปสักครั้ง” หลี่ชิเย่ที่มองดูเรือกระดาษสีดำแล้ว แววตากลับกลายเป็นลึกล้ำยิ่งนัก ในความทรงจำทั้งหมดที่เขาได้มา และสิ่งที่เขารู้มาทั้งหมด มันเป็นสถานที่ที่เขาต้องไปสักครั้งจริงๆ
ในฐานะที่เป็นศิษย์สำนักที่สืบทอดมาของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ ทั้งมู่หย่าหลันแบฉินซาวเย่าต่างก็รู้ว่า ‘ตี้อิ๋น’ คือสถานที่อะไร
“มัน มันอันตรายเกินไปแล้วกระมัง” แม้แต่ฉินซาวเย่าที่ได้ยินแล้วยังบังเกิดความหวาดกลัว และหน้าซีดขึ้นมาบ้าง กล่าวด้วยความตระหนกว่า “เมื่อไหร่ที่ก้าวเข้าไปในตี้อิ๋นแล้วต้องไปแล้วไปลับ เคยมีราชันแท้จริงหลายคนตายอยู่ที่นั่น แม้แต่ปฐมบรรพบุรุษเซิ่นอีก็ไปแล้วไปลับเช่นกัน! สะ สถานที่แห่งนี้น่ากลัวเกินไป”
เวลานี้ฟ่านเมี่ยวเจินและมู่หย่าหลันต่างจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ พวกนางเคยรับรู้สถานที่แห่งนี้จากผู้อาวุโส สถานที่แห่งนี้ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่ากลัวมากที่สุด
เนื่องจากสถานที่แห่งนี้แม้แต่ระดับราชันแท้จริงเข้าไปก็ต้องตาย อย่าว่าแต่ราชันแท้จริงเลย ตามประวัติเคยมีระดับปฐมบรรพบุรุษผู้หนึ่งตายอยู่ที่ตรงนั้น ปฐมบรรพบุรุษที่ว่าก็คือปฐมบรรพบุรุษเซิ่นอี! ปฐมบรรพบุรุษเซิ่นอีผู้นี้เคยก่อตั้งระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเซิ่นอีขึ้นที่แดนลัทธิพรรษ!
ปฐมบรรพบุรุษนั้นดำรงอยู่ในฐานะปราศจากผู้ต่อกรเพียงใด ทั่วหล้าปราศจากผู้ต่อกรเว้นแต่พวกเขาเอง แต่ทว่าปฐมบรรพบุรุษเซิ่นอียังคงไปแล้วไปลับ เรียกได้ว่าสถานที่แห่งนี้ถูกผู้คนยกย่องให้เป็นสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในหล้าแล้ว
สิ่งที่หาใช่เป็นเพราะปฐมบรรพบุรุษอ่อนเกินไป แต่เป็นเพราะสถานที่แห่งนั้นน่ากลัวเกินไป ส่งผลให้ภายหลังไม่มีใครกล้าเหยียบย่างเข้าไปยังสถานที่นั้นอีกแล้ว
เวลานี้หลี่ชิเย่ถึงกับบอกว่าต้องการเข้าไปยังตี้อิ๋น แล้วจะไม่ให้พวกฟ่านเมี่ยวเจินศิษย์พี่น้องสามคนต้องตกใจอย่างยิ่งได้อย่างไรเล่า
“ไม่มีปัญหา” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย แววตาลึกล้ำอย่างยิ่ง เสมือนหนึ่งสามารถมองทะลุผ่านทั่วฟ้าดินอย่างนั้น เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ข้าแค่เดินดูเฉยๆ เท่านั้น ใช่ว่าจะมีแผนการอะไร”
คำพูดเช่นนี้ถึงกับทำให้พวกฟ่านเมี่ยวเจินศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องยิ้มเจื่อนๆ นี่มันตี้อิ๋นนะ ถึงกับพูดได้ว่าแค่เดินดูเท่านั้น ในสายตาของคนอื่นมองว่าคำพูดนี้ช่างอวดดีและโง่เขลาเหลือเกิน แต่พวกนางกลับเข้าใจชัดเจนว่า หลี่ชิเย่พูดได้ย่อมทำได้
“กลับไปเถอะ กลับไปที่หุบเขาอมตะ” สุดท้ายหลี่ชิเย่สั่งการกับฟ่านเมี่ยวเจินพวกนางสามคน และกล่าวว่า “ถ้าหากพวกเจ้าอยากจะไปจริงๆ เจ้าหุบเขาจะให้โอกาสที่ดีกว่าให้พวกเจ้า เชื่อว่านางสามารถจัดการให้ดีได้”
พวกฟ่านเมี่ยวเจินศิษย์พี่น้องได้แต่ผงกหัวเงียบๆ เดิมทีพวกนางต้องการติดตามหลี่ชิเย่ เพียงแต่เวลานี้หลี่ชิเย่ต้องการไปที่เงินทองตกพื้น กระทั่งต้องการไปที่ตี้อิ๋น ทุกอย่างย่อมไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว พวกนางจำเป็นต้องกลับไปรายงานต่อนักพรตฉางเซิน
“ศิษย์พี่” สุดท้ายขณะจะจากกัน มู่หย่าหลันที่ปรกติเป็นคนพูดน้อยมาโดยตลอดพลันเรียกออกมาคำหนึ่ง นางจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ทำท่าลังเลนิดหนึ่ง สุดท้ายกล่าวว่า “จากนี้ไปท่าน ท่าน ท่านยังคงเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะหรือไม่?”
ความจริงแล้ว ขณะที่มู่หย่าหลันพูดคำพูดนี้ออกมานั้น ไม่เพียงแต่มู่หย่าหลัน แม้แต่ฟ่านเมี่ยวเจินและฉินซาวเย่าก็มองไปที่หลี่ชิเย่พร้อมกัน แววตาของพวกนางจ้องมองด้วยแววตาที่อ้อนวอน
แม้จะกล่าวว่าหลี่ชิเย่อยู่ร่วมกับพวกนางเป็นช่วงระยะเวลาที่ไม่นานนัก แต่ว่าหลี่ชิเย่กลับฝากความประทับใจเอาไว้อย่างลึกซึ้ง กระทั่งกล่าวได้ว่าหลี่ชิเย่ทำให้พวกนางได้รับประโยชน์ไม่น้อยทีเดียว ความเป็นศิษย์พี่ของเขาใช่ว่าจะไม่สมฐานะ
มาคราวนี้ขณะอาจารย์ของพวกนางจากไป แม้ว่าอาจารย์พวกนางจะไม่ได้พูดอะไรออกมา พวกนางก็รู้ว่าในนั้นมีเรื่องราวที่ไม่สบายใจ พวกเขาเข้าใจได้ว่าตำแหน่งศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหลี่ชิเย่เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น พร้อมที่จะไปจากได้ทุกเมื่อ กระทั่งอาจเป็นไปได้ว่าจะเกิดเรื่องราวบางอย่างขึ้น เป็นเรื่องที่ไม่เรื่องดี
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ เท่านั้น มองดูแววตาที่อ้อนวอนของพวกพวกฟ่านเมี่ยวเจินสามคน ปัดเส้นผมของมู่หย่าหลันเบาๆ ยิ้มเฉยเมยว่า “ข้าจะเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะหรือไม่มันไม่สำคัญ เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าหรือไม่ก็ไม่สำคัญ อย่างน้อยที่สุดพวกเรามีวาสนาเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว มีวาสนาทุกอย่างก็มีความเป็นไปได้” ขาดคำ ร่างของหลี่ชิเย่แวบหนึ่งพลันหายไปอยู่บนท้องฟ้าแล้ว
พริบตาเดียวนี้เอง หลี่ชิเย่ก้าวเดียวเหินขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้า และก้าวขึ้นไปบนเรือกระดาษสีดำในฉับพลัน หลังจากขึ้นไปบนเรือกระดาษสีดำแล้ว หลี่ชิเย่ถือโอกาสโยนเหรียญกำหนึ่งลงบนเรือกระดาษสีดำ จำนวนเหรียญที่โยนลงไปมีจำนวนที่เหลือเฟือ
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้โยนเหรียญลงบนเรือกระดาษสีดำแล้ว ได้ยินเสียงดังตึงขึ้นเสียงหนึ่ง เสมือนดั่งเป็นแสงที่ตกกระทบกระเพื่อมเป็นวง พริบตาเดียวมองเห็นเหรียญนั้นละลายและหายไป
เรือกระดาษสีดำหันหัวเรือกลับทันทีหลังจากได้รับเหรียญจากหลี่ชิเย่แล้ว คล้ายดั่งเป็นธนูที่ถูกยิงออกมาอย่างนั้น บินมุ่งหน้าไปยังประตูหลุมดำที่ดั่งบานกระจก ความรวดเร็วของมันปราศจากสิ่งใดเทียบเทียม กระทั่งก้าวขามมิติ ซึ่งยากที่จะจินตนาการได้ว่า ด้วยเรือกระดาษสีดำที่เป็นเพียงกระดาษบางๆ เท่านั้นไปเอาพลังมาจากไหนสามารถทำความเร็วได้ถึงระดับเช่นนี้
พวกฟ่านเมี่ยวเจินศิษย์พี่น้องที่อยู่ในเรือนโอสถมองตามหลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนเรือกระดาษสีดำกระทั่งหายไปในขอบฟ้าแล้ว พวกนางจึงได้ละสายตากลับมา
“พวกเรากลับไปเถอะ” สุดท้ายแล้ว ฟ่านเมี่ยวเจินได้ทอดถอนใจออกมาในที่สุด พามู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าจากไป
พิธีเซ่นไหว้บูชาในครั้งนี้กล่าวได้ว่าหุบเขาอมตะของพวกเขาชนะอย่างเด็ดขาด ขณะเดียวกันก็ได้ขจัดแคว้นว่านโซ่วที่มีใจทะเยอทะยานอย่างยิ่งไปได้ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในศิษย์ผู้ดำเนินการจัดพิธีเซ่นไหว้บูชาในครั้งนี้ ในใจของพวกฟ่านเมี่ยวเจินสมควรดีใจจึงจะถูก
แต่ว่าภายในใจของฟ่านเมี่ยวเจินพวกนางกลับรู้สึกหนักอึ้ง เนื่องจากพวกนางเข้าใจได้ว่ามีเรื่องบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล เป็นเรื่องของหลี่ชิเย่กับหุบเขาอมตะของพวกนาง อีกทั้งพวกนางสามารถมองออกจากท่าทีของนักพรตฉางเซิน ซึ่งเรื่องนี้อาจจะมีความเป็นไปได้ว่าแย่จนกระทั่งหลี่ชิเย่เปิดศึกกับหุบเขาอมตะของพวกเขา ซึ่งนับเป็นสิ่งที่แย่ที่สุด
สิ่งนี้ก็คือภาพที่ฟ่านเมี่ยวเจินพวกนางไม่อยากจะเห็นมากที่สุด พวกนางไม่ต้องการให้ก้าวไปถึงจุดนี้ จะอย่างไรเสียพวกนางเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลี่ชิเย่มาก่อน
เรือกระดาษสีดได้บรรทุกหลี่ชิเย่บินไปยังประตูนั่น ระหว่างทางมีเรือกระดาษสีดำจำนวนมากก็ได้หันหัวกลับและบินไปยังประตู เรือกระดาษสีดำทุกๆ ลำล้วนแล้วแต่บรรทุกคนเอาไว้ บ้างนั่งมากับเรือกระดาษสีดำเพียงคนเดียว บ้างมากันหลายคนกระทั่งกว่าสิบคนที่นั่งมาในเรือกระดาษสีดำลำเดียว แน่นอน จำนวนคนยิ่งมากเงินที่ต้องหยอดลงไปก็ยิ่งมาก
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือรุ่นอาวุโสที่นั่งอยู่ในเรือกระดาษสีดำ ล้วนแล้วแต่มีท่าทางที่ดีใจอยู่หลายส่วน กระทั่งอยากจะทดลองเต็มที่แล้ว จะอย่างไรเสียไม่ว่าใครก็ต้องการได้รับสมบัติมีค่าหรือวาสนาจากเงินทองตกพื้น
ไม่ช้านักเรือกระดาษสีดำได้บินไปถึงบริเวณด้านหน้าประตูหลุมดำที่ดั่งบานกระจก เมื่อทอดสายตามองออกไป นอกจากเรือกระดาษสีดำที่บินออกมาอย่างมืดฟ้ามัวดินแล้ว บริเวณด้านหน้าก็มีเรือกระดาษสีดำที่บรรทุกกันมาเต็มไปด้วยยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจากทั่วทุกสารทิศเรียงอยู่เป็นแถวเป็นแนวด้านหน้า
ได้ยินเสียงปุ ปุ ปุแต่ละเสียงที่ดังขึ้น มองเห็นเรือกระดาษสีดำแต่ละลำที่แล่นเข้าไปยังประตูหลุมดำที่ดั่งบานกระจก สภาพเช่นนี้คล้ายดั่งถูกหลุมดำกลืนกินเข้าไปอย่างนั้น ภาพนี้ดูไม่ค่อยจะน่าดูนัก
แต่ทว่าภาพที่ไม่น่าดูเช่นนี้กลับไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว ตรงกันข้ามกลับทำให้ผู้คนจำนวนมากดีใจ กระทั่งมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อดร้องเสียงดังออกมาไม่ได้ว่า “เงินทองตกพื้น ข้ามาแล้ว!”
หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนเรือกระดาษสีดำสงบนิ่งอย่างยิ่ง ขามที่เรือกระดาษสีดำแล่นไปถึงด้านหน้าประตูนั้น เขายังคงมีท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เวลานี้ ได้ยินเสียงดังปุเสียงหนึ่ง เรือกระดาษสีดำได้บรรทุกหลี่ชิเย่เข้าไปในประตู เสมือนหนึ่งมีคลื่นสีดำที่ไหลเคลื่อนไปอย่างนั้น เพียงพริบตาเดียวก็ท่วมหลี่ชิเย่จนมิด เหมือนว่าประตูนี้ไม่เหมือนเป็นประตู แต่เหมือนเป็นทะเลมากกว่า พริบตาเดียวก็เข้าไปอยู่ในโลกแห่งทะเล
……………………………………………