“พรรคมารก็คือพรรคมาร ไหนเลยมีข้ออ้างมากมาย!” กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วกล่าวตัดบทคำพูดของตันหวังฟงเซี่ยวเฉิน ตวาดเสียงดังว่า “ธรรมะกับอธรรมไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ พรรคมารคือนอกรีต ทุกคนสามารถสังหารได้ ยิ่งไปกว่านั้นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจะไม่ไปร่วมก่อกรรมทำชั่วกับพรรคมาร”
“สวะ” ฟงเซี่ยวเฉินตำหนิเสียงเย็นชาว่า “เจ้ามีความสามารถอะไร ลำพังอาศัยกำลังคนเดียวกล้าปฏิเสธขอตกลงของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิทั้งหมดในแดนลัทธิพรรษกับระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง เจ้าคิดจะล้มข้อตกลงฉบับนี้ก็ต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากพรรคหยางหมิง และจูเซียงหวู่ถิงกับบรรดาเหล่าระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิทั้งหมดเสียก่อน”
“เจ้า…” สีหน้าของกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วพลันแดงก่ำเมื่อถูกฟงเซี่ยวเฉินกล่าวตำหนิ ถึงกับพาลโกรธขึ้นมาเนื่องจากความละอายและขุ่นเคือง ร้องเสียงดังออกมาว่า “ฟงเซี่ยวเฉิน เจ้า เจ้า เจ้าอย่าได้เถียงข้างๆ คูๆ!”
“มีเพียงสวะอย่างเจ้าเท่านั้นที่เถียงข้างๆ คูๆ” ฟงเซี่ยวเฉินกล่าวเฉยเมยว่า “เรื่องใหญ่เช่นนี้ไหนเลยปล่อยให้เจ้าพูดจามั่วซั่วได้ ผู้พเนจรและพวกเขาต่างก็อยู่กันพร้อมหน้าที่ตรงนี้ เรื่องเช่นนี้ไหนเลยให้เจ้าพูดแล้วคนอื่นต้องทำตาม”
สีหน้าของกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วยิ่งดูไม่จืดเข้าไปใหญ่ เมื่อถูกฟงเซี่ยวเฉินกล่าวตำหนิเช่นนี้ เขาถึงกับมองหน้าพวกของผู้พเนจรหยางหมิงทีหนึ่ง
เวลานี้ผู้พเนจรหยางหมิงมองดูหลี่ชิเย่อย่างระมัดระวังทีหนึ่ง เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจในตัวของคุณชายหลี่ ด้วยทัศนคติท่าทีที่ระมัดระวังรอบคอบ แต่ว่า บรรดาบรรพบุรุษของกองทัพพันธมิตรในวันนั้นได้เป็นตัวแทนของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนมากร่วมลงนามในสัญญาต่ออายุข้อตกลงในครั้งกระนั้น ดังนั้น จึงเป็นการบ่งชี้ว่าเห็นด้วยกับฐานะของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงในวันนี้ และถือว่าได้ทำการกวาดล้างอันตรายจากกระแสดูดเลือดที่รุนแรงได้จบสิ้นแล้ว…”
“…สำหรับข้อตกลงในครั้งนั้น เป็นการทบทวนอย่างรอบคอบโดยระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนมากกับซิวหลอจ้านเทียนแล้วกำหนดขึ้นมา ดังนั้น บรรดาระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนมากต่างก็ไม่มีความเห็นเป็นอื่น” คำพูดลักษณะเช่นนี้ของผู้พเนจรหยางหมิงดูเป็นทางการอย่างยิ่ง การเรียบเรียงคำพูดก็ระมัดระวังรอบคอบยิ่งนัก แต่ทว่า อย่างน้อยก็เป็นตัวแทนของท่าทีที่เป็นทางการอย่างหนึ่ง
ไม่ว่าผู้พเนจรหยางหมิงจะมองหลี่ชิเย่อย่างไรก็ตาม และไม่ว่าทุกคนจะอคติอย่างไรต่อหลี่ชิเย่ก็ตาม แต่ว่า ในครั้งนั้นนักบวชหยางหมิงและบรรดาบรรพบุรุษทั้งหลายได้เป็นตัวแทนของกองทัพพันธมิตรให้มีการปฏิบัติตามสัญญาฉบับเดิมต่อไป สิ่งนี้ย่อมบ่งบอกว่าบรรดาระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิในแดนลัทธิพรรษทั้งหมดยังคงให้การยอมรับข้อตกลงที่มีการลงนามกับซิวหลอจ้านเทียน และยอมรับในฐานะของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง ไม่ใช่พรรคมารที่ถือเอกสิทธิ์ครอบครองโดยเทพแท้จริงเทียนเต๋อในครั้งนั้น
ฐานะของผู้พเนจรหยางหมิงนับว่าสูงส่งและมากด้วยอำนาจ นางคือเจ้าสำนักของพรรคหยางหมิง คำพูดของนางก็คือท่าทีของพรรคหยางหมิง พรรคหยางหมิงถือเป็นพรรคอันดับหนึ่งของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง เมื่อนางยังพูดออกมาเช่นนี้ สำหรับระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิอื่นๆ ก็ปฏิบัติตามข้อตกลงเช่นนี้
เมื่อผู้พเนจรหยางหมิงแสดงท่าทีออกมาเช่นนี้ พลันทำให้กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วมีสีหน้าที่แดงก่ำ สุดท้ายสีหน้าแทบจะกลายเป็นแดงคล้ำไปแล้ว เนื่องจากเวลานี้เขาไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของผู้พเนจรหยางหมิงได้ มิฉะนั้นล่ะก็เท่ากับเขาปฏิเสธท่าทีของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิทั้งหมดที่อยู่ในแดนลัทธิพรรษ มันคือการแตกหักกับระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิทั้งหมดในแดนลัทธิพรรษชัดๆ
เขายังไม่ทันยืนได้อย่างมั่นคง แล้วจะให้เขาแตกหักกับบรรดาระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิต่างๆ ในแดนลัทธิพรรษได้อย่างไรเล่า ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาคิดชิงอำนาจ ต้องการปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ยังจำเป็นต้องอาศัยพรรคหยางหมิงของพวกเขามาให้การรับรองฐานะอันชอบธรรมของแคว้นว่านโซ่ว
“แคว้นว่านโซ่วแค่แคว้นๆ หนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเท่านั้นเอง ยังไม่มีสิทธิ์ไปแสดงท่าทีในเรื่องใหญ่แทนระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะได้” ฟงเซี่ยวเฉินไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย คำพูดลักษณะเช่นนี้คล้ายเป็นการตบหน้าของกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วอย่างแรง
แม้ว่าพวกของผู้พเนจรหยางหมิงไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ย่อมไม่เป็นที่สงสัยว่า การที่พวกเขาไม่พูดอะไรออกมาย่อมบ่งบอกว่าแคว้นว่านโซ่วยังไม่มีสิทธิ์ที่จะคัดค้านในเรื่องนี้ได้ อย่างน้อยที่สุดเขายังทำเช่นนี้ไม่ได้ หากคิดจะเป็นตัวแทนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ
“ถึง ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ตาม แต่ว่า คนของพรรคมารมีเจตนาแท้จริงยากแก่การหยั่งรู้ เขาแฝงตัวเข้ามาเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะมีแผนร้าย ต้องการทำร้ายระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะพวกเราอย่างแน่นอน ขณะที่ฟงเซี่ยวเฉินเจ้า รู้ทั้งรู้ว่าเขาเป็นศิษย์ของพรรคมารแต่ปิดบังไม่ยอมเปิดเผย แสดงว่ามีจุดประสงค์จะทำร้ายระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ทำร้ายรากฐานเป็นหมื่นยุคของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ โทษไม่อาจอภัย” กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วพูดเสียงดังขึ้นมา
บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจากสำนักต่างๆ จำนวนมากของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้ากันและกัน ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นใดดี
“ในเมื่อท่านนักพรตกล้าให้คุณชายหลี่เป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งย่อมต้องมีเหตุผลของนาง” ฟงเซี่ยวเฉินกล่าวน่าเกรงขามว่า “เรื่องของหุบเขาอมตะ เรื่องของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะให้แคว้นว่านโซ่วของพวกเจ้าพูดแล้วคนอื่นจะต้องทำตามตั้งแต่เมื่อไหร่? แคว้นว่านโซ่วของพวกเจ้ายังไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวก่าย!”
“ในฐานะที่เป็นศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ทุกคนย่อมมีหน้าที่ในความปลอดภัยของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ทุกเรื่องราวของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก็คือเรื่องของพวกเรา…” กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมาทันที เด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผาย
“พอแล้ว” ขณะที่กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วกำลังแสดงท่าทีที่เด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผายนั้น หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ ตัดบทคำพูดของเขาและยิ้มกล่าวว่า “คำพูดที่ฟังดูเหมือนสง่าผ่าเผยแต่ความจริงไม่ใช่ เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องพูดอีกแล้ว เปลืองน้ำลาย หยาบคาย”
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ใบหน้าแฝงรอยยิ้ม มองดูทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ช้าๆ และกล่าวว่า “ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงก็ดี พรรคมารก็ช่าง ข้าก็คือข้า ข้าก็คือหลี่ชิเย่ พวกเจ้าจะรู้สึกว่าข้าเป็นจอมมารก็ได้ คิดว่าข้าเป็นคนบ้าก็ได้ ข้าจะเป็นอะไรไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเห็นด้วย เหตุผลของข้าง่ายมาก ใครขวางข้า ฆ่าไม่มีละเว้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม! แม้แต่สวรรค์ หรือโอรสราชันก็ไม่ต่างกัน”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่พลันทำให้บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มองหน้ากันและกัน ง่ายๆ และรุนแรง คนอื่นว่าเขาเป็นพรรคมารเขากลับมีท่าทีที่อย่างไรก็ได้โดยสิ้นเชิง เปี่ยมด้วยความพาลยิ่ง
“วาจาสามหาวมาก!” กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วหัวเราะเสียงดังทันที และส่งเสียงดังขึ้นมาว่า “ต่อให้เป็นแดนลัทธิพรรษขวางอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าก็จะฆ่าไม่มีละเว้นรึ? เจ้าต้องการเป็นศัตรูกับแดนลัทธิพรรษทั้งหมดรึ?”
ย่อมไม่ต้องสงสัย คำพูดของกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วมีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่ นั่นคือต้องการลากเอาหลี่ชิเย่ไปเป็นศัตรูกับแดนลัทธิพรรษ
“แค่แดนลัทธิพรรษเท่านั้นเอง ไหนเลยคู่ควรจะกล่าวถึงเล่า?” หลี่ชิเย่ไม่ได้เลิกกระทั่งหนังตาด้วยซ้ำ กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ต่อให้เป็นแดนสามเซียนเข้ามาขวางหน้าข้า ก็จะฆ่าไม่มีละเว้นเช่นกัน! ในโลกนี้ ใยจะต้องกลัวเป็นศัตรูกับใคร!”
คำพูดที่อันธพาลปราศจากผู้เทียบเทียม ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต้องใจหายใจคว่ำ แม้แต่ผู้พเนจรหยางหมิงยังถึงกับจ้องมองหลี่ชิเย่อย่างไม่ละสายตา
“วาจาโอหัง” หลี่ชิเย่ไม่สนใจกับแผนชั่วเล็กน้อยเช่นนี้อยู่แล้ว ทำให้กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วพลันหมดมุกไปทันที
“วาจาโอหังมาก ข้าอยากจะทดสอบดูว่าเจ้าจะมีฝีมือสักเท่าไรกัน!” จังหวะที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ คุณชายหุยชุนได้ก้าวออกมาร้องกล่าวเสียงดังท้าประลองกับหลี่ชิเย่
“อาศัยเจ้ารึ?” หลี่ชิเย่เพียงมองหน้าเขาทีหนึ่ง ยังคงนั่งสูงเด่นอยู่บนบัลลังก์กษัตริย์เช่นเดิม
“ถูกต้อง” สีหน้าของคุณชายหุยชุนแดงก่ำเมื่อถูกหลี่ชิเย่ดูแคลนถึงเพียงนี้ ตึงเสียงหนึ่งดังขึ้น กระบี่ยาวของเขาออกจากฝักชี้ไปที่หลี่ชิเย่ ร้องกล่าวเสียงดังว่า “กล้าออกมาตัดสินชี้ขาดหรือไม่!”
กระบี่ยาวในมือของคุณชายหุยชุนส่งประกายคลื่นที่กระเพื่อม เสมือนดั่งเป็นน้ำในยามฤดูใบไม้ผลิ ส่งกลิ่นอายเยือกเย็นที่คุกคามผู้คน มีความแหลมคมอย่างยิ่ง กระบี่เล่มนี้ของเขามีชื่อว่ากระบี่หุยชุน เป็นสุดยอดของวิเศษชิ้นหนึ่งของแคว้นว่านโซ่ว โดยราชันแท้จริงของแคว้นว่านโซ่วผู้หนึ่งได้ทิ้งเอาไว้ให้ มีอานุภาพที่ยอดเยี่ยมปราศจากผู้ต่อกร
ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ เมื่อเห็นคุณชายหุยชุนก้าวออกมาท้าประลองหลี่ชิเย่ คุณชายหุยชุนคืออันดับหนึ่งของกลุ่มคนรุ่นใหม่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ มีชื่อเป็นหนึ่งในสามคุณชาย กำลังจะได้ครอบครองราชันแท้จริง เรื่องกำลังความสามารนถในกลุ่มคนรุ่นใหม่นั้นไม่ต้องสงสัย กลับเป็นว่าทุกคนต่างไม่รู้ถึงตื้นลึกหนาบางของหลี่ชิเย่ที่เป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งคนนี้
“สงเคราะห์เจ้า” หลี่ชิเย่กวักมือไปตามอารมณ์ ได้ยินเสียงตึงเสียงหนึ่งดังขึ้น ปรากฏกระบี่เหล็กเล่มหนึ่งอยู่ในมือ เป็นกระบี่เหล็กที่ธรรมดามากเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้น
“ลงมือเถอะ” หลี่ชิเย่ยังคงนั่งอยู่ที่บัลลังก์กษัตริย์ กระบี่เหล็กในมือยื่นออกไปข้างหน้าตามอารมณ์ยิ่ง
ในมือของหลี่ชิเย่กำกระบี่เหล็ก ท่าทางนั้นเป็นไปตามอารมณ์อย่างยิ่ง ด้วยท่าทีเช่นนี้ในสายตาของคุณชายหุยชุนมองว่ามันเป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง เขาร้องคำรามออกมาว่าฆ่า
ตึงเสียงกระบี่คำราม มองเห็นประกายเยือกเย็นของกระบี่หุยชุนที่พุ่งขึ้นฟ้าเสมือนดั่งคลื่นยามฤดูใบไม้ผลิที่โจมตีต่อท้องฟ้า น่าเกรงขามและยิ่งใหญ่ ได้ยินเสียงดังแว้งค์ขึ้นเสียงหนึ่ง จังหวะประกายเยือกเย็นพุ่งขึ้นท้องฟ้านั้น หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันลงมา ผ่าภูเขา ทำลายกลุ่มภูเขาจนละเอียด ขณะหนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันลงมา อานุภาพของหนึ่งกระบี่เพียงพอที่จะผ่าพื้นพสุธาให้แยกออกโดยแท้
ปังเสียงดังสนั่น อย่างไรก็ตาม หนึ่งกระบี่ที่ดุดันเช่นนี้ฟาดฟันลงมากลับถูกกระบี่เหล็กในมือต้านเอาไว้ได้ตามอารมณ์
“วิชาที่อ่อนเท่านั้น” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย กระบี่เหล็กในมือกวาดออกไปตามอารมณ์ เสียงปังดังขึ้น กระบี่หุยชุนที่ดั่งกระบี่สวรรค์ถูกทำให้ต้องล่าถอยกลับไป
คุณชายหุยชุนโกรธจัด กระบี่หุยชุนในมือพลันสำแดงออกไปดั่งพายุฝนฟ้าคะนอง มีความรวดเร็วอย่างยิ่ง เวลานี้ประกายกระบี่ที่ดั่งคลื่นยักษ์เทลงมาอย่างไม่ขาดสาย เหมือนน้ำทะเลที่ไม่มีสิ้นสุด ต้องการท่วมหลี่ชิเย่ให้จมมิดอย่างนั้น
ตึง ตึง ตึงเสียงกระบี่กระทบกันดังไม่ขาดสาย สะเก็ดไฟแตกกระจาย เวลานี้มองเห็นเงากระบี่ที่เป็นชั้นๆ
แม้ประกายกระบี่ของคุณชายหุยชุนจะดั่งคลื่นยักษ์ ทุกๆ กระบี่เหมือนต้องการพันธนาการหลี่ชิเย่เอาไว้ แต่ว่ากระบี่เหล็กในมือของหลี่ชิเย่แค่ต้านรับเบาๆ ทีหนึ่งก็สามารถสลายกระบวนท่าของคุณชายหุยชุนได้อย่างง่ายดาย
สิ่งนี้หาใช่เป็นเพราะกระบวนท่าของคุณชายหุยชุนไม่แข็งแกร่งพอ และหาใช่เพราะกระบวนท่าของคุณชายหุยชุนไม่ลึกซึ้งพิสดารพอ ตรงกันข้าม กระบวนท่าของคุณชายหุยชุนที่สำแดงพลิกแพลงได้ลึกล้ำมหัศจรรย์อย่างยิ่ง แต่ว่า กลับถูกหลี่ชิเย่โจมตีเข้าจุดตายทุกครั้ง แค่โจมตีครั้งเดียวก็พ่ายทันที ดุจดั่งงูตัวหนึ่งที่ถูกล็อคที่จุดเจ็ดนิ้วทุกครั้งเสมอ
เสียงปังดังสนั่น กระบี่เหล็กของหลี่ชิเย่ได้โจมตีจนกระบวนท่าของคุณชายหุยชุนต้องแตกพ่ายกลับไปอีกครั้ง ทำให้คุณชายหุยชุนต้องถูกบีบให้ล่าถอยไปภายใต้หนึ่งกระบวนท่า
สิ่งนี้พลันทำให้สีหน้าของคุณชายหุยชุนดูไม่จืดถึงขีดสุด กระบวนท่าของเขาที่แข็งกร้าวและพาลล้วนแล้วแต่ถูกหลี่ชิเย่สลายไปได้อย่างง่ายดาย
“ดี ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะสามารถทำลายได้นานสักเท่าไรเชียว” คุณชายหุยชุนหัวเราะออกมาด้วยความโกรธจัด ล้วงหยิบเอากล่องผ้าแพรออกมาใบหนึ่ง ท่าทางหนักแน่นจริงจัง
เมื่อกล่องแพรถูกเปิดออก ได้กลิ่นหอมของโอสถที่โชยมาแตะจมูก มองเห็นภายในกล่องแพรบรรจุยาเม็ดขนาดเท่าไข่นกพิราบอยู่เม็ดหนึ่ง ยาเม็ดๆ นี้มีสีแดงดั่งเพลิง กระทั่งคล้ายดั่งมีเปลวไฟที่วูบวาบอยู่อย่างนั้น
‘ยาเม็ดอัคคีเทพดุเดือด’ แม้แต่ผู้พเนจรหยางหมิงก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อมองเห็นยาเม็ดๆ นี้
บรรดาเจ้าสำนักและผู้อาวุโสของแคว้นเจ้าลัทธิจำนวนมากต่างตกใจยิ่งนัก เมื่อได้ยินชื่อ ‘ยาเม็ดอัคคีเทพดุเดือด!’ ชื่อนี้แล้ว
“นี่ นี่มันคือยาเม็ดวิเศษที่หาได้ยากยิ่งของแคว้นว่านโซ่ว มีอยู่น้อยมาก มันสามารถเพิ่มพลังวัตรขึ้นอย่างบ้าคลั่งกับผู้ที่ได้กินเข้าไป” ระดับผู้อาวุโสของตระกูลขุนนางโบราณผู้หนึ่งกล่าวด้วยความหวาดผวา
จังหวะที่ทุกคนต่างรู้สึกตกใจอยู่นั้น มองเห็นคุณชายหุยชุนได้นำยาเม็ดอัคคีเทพดุเดือดที่มีขนาดเท่าไข่นกพิราบนี้กลืนลงท้องในรวดเดียว
………………………….