แท่นโอสถตั้งอยู่ในบริเวณส่วนที่ลึกเข้าไปในเรือนโอสถ มันถูกสร้างขึ้นบนยอดเขาแห่งหนึ่ง ยอดเขาแห่งนี้มีความสูงเป็นหมื่นจ้าง และตัวของแท่นโอสถถูกสร้างอยู่บนยอดเขาสูงสุด มันมีพื้นที่ที่กว้างขวางยิ่งนัก
ขณะที่มองจากระยะห่างไกล ยอดเขาอันเป็นสถานที่ตั้งแท่นโอสถก็คล้ายดั่งเป็นต้นหลินจือขนาดยักษ์ต้นหนึ่ง แม้ว่าภูเขาลูกนี้จะใหญ่และหนามีความสูงเป็นหมื่นจ้าง เมื่ออยู่ภายใต้แท่นโอสถที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารแล้ว มันก็แลดูเหมือนเป็นก้านขนาดเล็กของเห็ดหลินจือเท่านั้น ขณะที่แท่นโอสถตั้งอยู่บนส่วนที่เป็นหมวกบนก้านของเห็ดหลินจือ
ความใหญ่โตมโหฬารของแท่นโอสถเรียกได้ว่าจุคนได้เรือนแสน มีความกว้างขวางใหญ่โตยิ่งนัก เล่าลือกันว่า แท่นโอสถแห่งนี้ในครั้งนั้นไม่เพียงเป็นสถานที่ที่เซียนโอสถอาศัยเป็นที่ปรุงกลั่นยาเม็ดและโอสถเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เซียนโอสถยังได้อาศัยสถานที่แห่งนี้บัญชาการทั่วหล้า ควบคุมจักรวาล
ด้วยเหตุนี้เอง ทุกครั้งที่มีการจัดพิธีเซ่นไหว้บูชาของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก็จะจัดขึ้นที่นี่ เป็นการประกาศอำนาจของหุบเขาอมตะ และประกาศว่าหุบเขาอมตะคือสายตรงที่สืบทอดกันมา กุมอำนาจปกครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ บัญชาการทั่วหล้า
เมื่อยืนอยู่บนแท่นโอสถแล้วเงยหน้ามองขึ้นไป ก็จะเห็นกลุ่มของภูเขาที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า กลุ่มของภูเขาแต่ละลูกที่ลอยล่องอยู่ตรงนั้นแลดูอลังการยิ่งนัก โดยเฉพาะกับยอดเขาที่สูงที่สุดทะลุท้องฟ้ายิ่งเป็นที่ตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง เหมือนว่าเซียนโอสถได้ทิ้งร่องรอยที่ไม่สามารถลบเลือนได้ในครั้งนั้นเอาไว้ตรงนี้
ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีผู้เรียกขานกลุ่มภูเขาที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหล่านี้ว่ายอดเขาบรรพบุรุษ และก็มีคนเรียกว่ายอดเขาเก็บสมุนไพรเนื่องจากในครั้งนั้นเซียนโอสถได้หลบอยู่ในกลุ่มภูเขาเหล่านี้เพื่อเก็บสมุนไพร
วันนี้ พิธีการเซ่นไหว้จะจัดให้มีขึ้น ณ ที่ตรงนี้ ทำให้แท่นโอสถกลับกลายเป็นคึกคัก และเข้มงวดอย่างยิ่ง ท่ามกลางบรรยากาศที่คึกคักเข้มงวดนี้เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของการฆ่าฟัน
ด้านนอกของแท่นโอสถมีบันไดหินทอดยาวจากตีนเขาตรงขึ้นไปถึงด้านบนของแท่นโอสถ แต่ว่า ในขณะนี้ขั้นบันไดมียอดฝีมือแต่ละคนที่เฝ้ารักษาการอยู่ โดยยอดฝีมือทั้งหมดล้วนแล้วแต่มาจากกองทัพมังกรเงินของแคว้นว่านโซ่ว เสื้อเกราะสีเงินบนตัวของพวกเขาส่งประกายแวบวับ เสมือนดั่งเป็นงูสีเงินที่บินว่อนท่ามกลางแสงตะวัน
ด้านหน้าสุดของแท่นโอสถมีการจัดวางบัลลังก์กษัตริย์อยู่ตัวหนึ่ง ปรกติแล้วมีเพียงผู้ที่ดำเนินการจัดพิธีเซ่นไหว้เท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้นั่ง ซึ่งว่ากันตามคุณสมบัติแล้วโดยปรกติผู้ที่จะนั่งบนบัลลังก์กษัตริย์ตัวนี้คือนักพรตฉางเซิน ซึ่งถือเป็นตัวแทนของหุบเขาอมตะที่บัญชาการทั่วหล้า กุมอำนาจปกครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ
ถัดจากบัลลังก์กษัตริย์ซ้ายขวาได้จัดวางเก้าอี้ไท่ซืออยู่แถวหนึ่ง ที่นั่งเหล่านี้มีฐานะสูงส่ง เป็นที่นั่งที่ทางแคว้นว่านโซ่วจัดเตรียมไว้สำหรับผู้แทนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ ในแดนลัทธิพรรษ ซึ่งที่นั่งลักษณะเช่นนี้ในปีที่ผ่านๆ มาไม่เคยมีมาก่อน เวลานี้ทางแคว้นว่านโซ่วกลับจัดที่นั่งให้กับผู้แทนจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ ที่มาร่วมพิธี และต้องการยืมมือของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ มาแสดงถึงความชอบธรรมในการยึดอำนาจของพวกเขา
ด้านตรงข้ามกับบัลลังก์กษัตริย์เป็นที่นั่งที่จัดวางเป็นแถว ขนาดสูงต่ำเป็นระเบียบ เป็นที่นั่งที่จัดเตรียมไว้สำหรับสำนักและแคว้นเจ้าลัทธิ ตระกูลขุนนางโบราณที่มีอันดับของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะได้นั่ง
ระหว่างที่พิธีเซ่นไหว้ยังไม่เริ่ม บรรดาสำนักเจ้าลัทธิต่างๆ ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก็ทยอยมีผู้เดินทางมาเข้านั่งประจำที่ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่สนับสนุนหุบเขาอมตะ หรือฝ่ายสนับสนุนแคว้นว่านโซ่ว ก็ได้มาเข้านั่งประจำที่แต่วัน เนื่องจากสงครามแย่งชิงอำนาจในครั้งนี้ไม่ว่าใครก็หลบเลี่ยงไม่พ้น เพียงแต่ฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะหรือพ่ายแพ้เท่านั้น
หลังจากที่ยอดฝีมือของแต่ละสำนักได้เข้านั่งประจำที่แล้ว ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีท่าทีที่หนักแน่น กระทั่งผู้คนจำนวนมากได้ตระเตรียมอาวุธพร้อมสรรพเอาไว้แล้ว เนื่องจากทุกคนต่างก็รู้ว่า เพียงพิธีเซ่นไหว้เริ่มต้นขึ้น การต่อสู้ถึงขั้นตายไปข้างหนึ่งจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ว่ากองทัพมังกรเงินของแคว้นว่านโซ่วจะทำการปิดล้อมแท่นโอสถเอาไว้ทั้งหมดอย่างแน่นหนา แต่ไม่ได้ขัดขวางบรรดาสำนักต่างๆ ที่ให้การสนับสนุนต่อหุบเขาอมตะเข้าร่วมพิธี จะอย่างไรเสียหากแคว้นว่านโซ่วต้องการกุมอำนาจปกครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ก็จะต้องสยบสำนักต่างๆ ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะให้ได้
ดังนั้น ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าในระหว่างประกอบพิธีเซ่นไหว้ก็จะเป็นโอกาสที่แคว้นว่านโซ่วจะได้สำแดงกำลังทหารของตน และไม่เป็นที่สงสัยว่ามันคือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการอวดแสนยานุภาพของตน ขอเพียงพวกเขามีกำลังที่กล้าแข็งอย่างเพียงพอ จะต้องสยบบรรดาสำนักที่ให้การสนับสนุนต่อหุบเขาอมตะให้พวกเขาหันมาพึ่งพาพวกตน
หลังจากที่ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากเข้านั่งประจำที่แล้วล้วนมีท่าทีที่หนักแน่นจริงจัง บรรยากาศฆ่าฟันดูมีมากเป็นพิเศษ
มีผู้ที่เงยหน้าขึ้นมอง มองเห็นยอดเขาเก็บสมุนไพรที่เหมือนแขวนอยู่บนท้องฟ้านั้น บริเวณปากทางเข้าบันไดหินของยอดเขาสูงสุดนั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ กระบี่เล่มหนึ่งวางอยู่บนตัก หลับตาพักผ่อนกายา การนั่งอยู่ที่ตรงนั้นของเขาเสมือนดั่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง พลังกระบี่ที่น่ากลัวตลบอบอวลไปทั่วกลุ่มของภูเขากลุ่มนั้น
ขณะที่กลุ่มภูเขาของยอดเขาเก็บสมุนไพรนั้นถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เสมือนดั่งมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง ขอเพียงมีผู้ที่หลบซ่อนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกเช่นนี้แล้ว เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถพบเห็นได้
ด้านล่างสุดของยอดเขาเก็บสมุนไพรซึ่งเป็นบริเวณปากทางเข้าสู่ภูเขาลูกนี้ มองเห็นระดับบรรพบุรุษของแคว้นว่านโซ่วได้นำยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งเฝ้ารักษาการณ์อยู่ ไม่ให้ผู้ใดเข้าไปใกล้
“ศิษย์พี่ฟ่านหลบเข้าไปอยู่ในยอดเขาเก็บสมุนไพร” มีศิษย์ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่กล่าวเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
คุณชายหุยชุนนำยอดฝีมือของแคว้นว่านโซ่วก่อการกบฏขึ้นกะทันหัน คุมตัวศิษย์ของหุบเขาอมตะ และศิษย์ของสำนักอื่นๆ เอาไว้ ฟ่านเมี่ยวเจินที่เป็นผู้ดำเนินการจัดงานสู้ไม่ได้ ต้องหนีและเข้าไปอยู่ภายในยอดเขาเก็บสมุนไพร โดยหลบเข้าไปอยู่ท่ามกลางขุนเขาที่ปกคลุมด้วยเมฆาไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด
ขณะที่คุณชายหุยชุนก็อาศัยกำลังหักหาญเข้าไปในยอดเขาเก็บสมุนไพรโดยลำพัง โดยก้าวขึ้นไปตามบันไดหินทีละขั้นๆ แม้ว่าพลังสยบของยอดเขาเก็บสมุนไพรจะทรงพลังมากอย่างยิ่ง แต่ท้ายที่สุดเขาก็สามารถขึ้นไปจนถึงยอดเขา แต่กลับไม่พบร่องรอยของฟ่านเมี่ยวเจิน
“คุณชายหุยชุนนับว่ายอดเยี่ยมมาก เข้าไปในยอดเขาเก็บสมุนไพรด้วยการก้าวขึ้นบันไดหินไปทีละขั้นๆ ไม่เสียทีที่เป็นหนึ่งในสามคุณชาย มิน่าเล่าทุกคนต่างพูดว่าเขามีโอกาสได้ครอบครองราชันแท้จริง” ระดับผู้อาวุโสของตระกูลขุนนางโบราณที่มองเห็นคุณชายหุยชุนซึ่งเฝ้าอยู่ที่ยอดเขาแล้วกล่าวทอดถอนใจออกมา
“คุณชายหุยชุนครอบครองตำแหน่งราชันแท้จริง จะนำพาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก้าวสู่โชติช่วงชัชวาลย์ นำพาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก้าวสู่ความเจริญรุ่งเรือง ปราศจากผู้ต่อกร ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ที่พักพิงสุดท้ายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก็คือแคว้นว่านโซ่ว มีเพียงแคว้นว่านโซ่วเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะที่ตกต่ำได้” ศิษย์สำนักเจ้าลัทธิที่หันไปพึ่งพาแคว้นว่านโซ่วถึงกับกล่าวด้วยความภูมิใจ
“ชาตินี้หากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจะกำเนิดราชันแท้จิรงขึ้นมาได้องค์หนึ่งจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณชายหุยชุน นับเป็นความภาคภูมิใจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะโดยแท้” เจ้าสำนักของนิกายที่เก่าแก่โบราณก็ต้องทอดถอนใจออกมา และรู้สึกจนด้วยเกล้าอยู่บ้าง
แม้แต่นิกายและตระกูลขุนนางโบราณที่ไม่ได้สนับสนุนการยึดอำนาจของแคว้นว่านโซ่ว แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับในพลังแฝงของคุณชายหุยชุน เมื่อไรที่คุณชายหุยชุนได้กลายเป็นราชันแท้จริง ย่อมส่งผลกระทบต่อรูปแบบของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะในระยะยาว
หากจะกล่าวว่า เมื่อเทพแท้จริงได้ก้าวถึงขั้นขึ้นสู่สวรรค์แล้ว กระทั่งกลายเป็นอมตะ กำลังความสามารถของพวกเขาไม่เห็นจะด้อยไปกว่ากันเมื่อเทียบกับราชันแท้จริงบางคน กระทั่งชั้นอมตะบางคนแข็งแกร่งยิ่งกว่าราชันแท้จริงเสียอีก
แต่หากว่ากันถึงเรื่องของพลังแฝงแล้ว ราชันแท้จริงแข็งแกร่งกว่าเทพแท้จริงอยู่มากทีเดียว ด้วยเหตุนี้เอง ราชันแท้จริงย่อมทรงคุณค่ายิ่งกว่าระดับเทพแท้จริง ขั้นขึ้นสู่สวรรค์ กระทั่งขั้นอมตะเสียอีก
“ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ…” ในขณะที่ผู้คนบางส่วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เสียงแผ่วเบากันอยู่ ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ด้านนอกแท่นโอสถปรากฏคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ก้าวขึ้นบันได้มา ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทยอยกันหันไปมอง
คนกลุ่มนี้คือผู้แทนที่มาจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ในแดนลัทธิพรรษ พวกเขาล้วนแล้วแต่ได้รับคำเชิญจากแคว้นว่านโซ่ว เพื่อมาเป็นผู้สังเกตการณ์ในพิธีเซ่นไหว้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ
ยามที่คนกลุ่มนี้เดินเข้ามายังแท่นโอสถนั้น ได้ดึงดูดสายตาของผู้คนเป็นจำนวนมาก แน่นอน ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจากสำนักบางแห่งรู้สึกไม่พอใจต่อแคว้นว่านโซ่ว จะอย่างไรเสียพิธีเซ่นไหว้เป็นเรื่องภายในของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ เวลานี้แคว้นว่านโซ่วกลับเชื้อเชิญบุคคลภายนอกให้มาเป็นผู้สังเกตการณ์
คนกลุ่มนี้นำโดยผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้สวมชุดนักพรต ไว้มวยผมแบบนักพรต สูงส่งและหลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา มีลักษณะน่าเกรงขามที่บอกไม่ถูก ยิ่งกว่านั้นยังมีท่าทีอยู่เหนือทั่วหล้าอย่างนั้น
นักพรตหญิงผู้นี้ดูไปแล้วอายุไม่มาก ดูเหมือนแค่สามสิบ ความงดงามของนางนั้นเรียกได้ว่างดงามจนหมู่มวลบุปผาพากันหุบ ดวงจันทราต้องหลบเข้าไปในเมฆไม่กล้าแข่งรัศมี งดงามจนนกตะลึงลืมบิน ร่วงมาจากบนฟ้า และหมู่มัจฉาตะลึงในความงามลืมว่ายจมลงใต้จ้ำ คล้ายดั่งดอกบัวดอกหนึ่งท่ามกลางหุบเขาที่ลึกและเงียบ ท่ามกลางความเยือกเย็นและเงียบแฝงไว้ด้วยความงามและความสูงส่ง ทำให้ผู้คนได้แต่มองจากระยะห่างไกล
ความจริงแล้ว ผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงมีรูปโฉมที่ประทับใจผู้คนเท่านั้น อีกทั้งยังมีรูปร่างที่น่าภาคภูมิใจ แม้ว่าจะสวมใส่ชุดนักพรต ยังคงมองเห็นส่วนโค้งส่วนเว้าได้ ยังคงมองเห็นร่องอกที่วับๆ แวมๆ ยิ่งอกของนางแล้วแทบจะล้นทะลักออกมา เปี่ยมด้วยความอิ่มเอิบ
แต่ทว่า กลิ่นอายที่เปล่งออกมาจากตัวของนางกลับทำให้ผู้คนต้องมองข้ามความงดงามและความเย้ายวนชวนมองของนางไป โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นของนาง มองดูแล้วมีประกายที่สยบจิตใจผู้คน ยิ่งทำให้เป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คน
“ผู้พเนจรหยางหมิง…” ผู้คนจำนวนมากต่างหวั่นไหวในใจเมื่อได้เห็นผู้หญิงคนนี้ ความจริงแล้วก่อนหน้านั้นทุกคนล้วนแล้วแต่นึกไม่ถึงว่าแคว้นว่านโซ่วจะสามารถเชิญบุคคลระดับเช่นนี้มาได้ กระทั่งแม้แคว้นว่านโซ่วเองก็ไม่คาดคิดว่าจะมีบุคคลสำคัญระดับเช่นนี้จากพรรคหยางหมิงมาร่วมงาน
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ แม้จะส่งตัวแทนมาเข้าร่วมพิธีเซ่นไหว้ดังกล่าว แต่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิส่วนใหญ่ก็ไม่ต้องการไปก้าวก่ายการช่วงชิงอำนาจภายในของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง ดังนั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิส่วนใหญ่ก็จะส่งยอดฝีมือคนหนึ่งมาเป็นตัวแทนเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม พรรคหยางหมิงในฐานะที่เป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่แข็งแกร่งที่สุด เจ้าสำนักของพวกเขากลับเดินทางมาร่วมงานเซ่นไหว้เช่นนี้ด้วยตนเอง นับเป็นเรื่องที่เหนือความคาดคิดของผู้คน
กระทั่งแคว้นว่านโซ่วเองก็ต้องตกใจยิ่งนักกับการปรากฏตัวของผู้พเนจรหยางหมิง เนื่องจากพวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าผู้พเนจรหยางหมิงจะมาร่วมงานด้วยตนเอง
ผู้พเนจรหยางหมิงได้รับการขนานนามว่าเป็นสองนักพรตยิ่งใหญ่แห่งแดนลัทธิพรรษร่วมกับนักพรตฉางเซินแห่งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ พวกนางต่างมีบารมีที่เป็นตัวแปรสำคัญในแดนลัทธิพรรษ ซึ่งเป็นบารมีที่ผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ จำนวนมากไม่สามารถเอื้อมถึงได้
นักพรตฉางเซินได้รับความเคารพยกย่องเป็นอันมาก ซึ่งเกี่ยวพันแบบแยกกันไม่ออกระหว่างการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่ใกล้เสียชีวิตให้หายเป็นปรกติ กับการมีวิชาปรุงกลั่นยาที่สุดยอดไม่มีสองในหล้า
ขณะที่ผู้พเนจรหยางหมิงแตกต่างกัน ในฐานะที่เป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนลัทธิพรรษ การที่ผู้พเนจรหยางหมิงสามารถสยบใต้หล้า มักเป็นเพราะนางมีกำลังความสามารถแข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรอยู่เสมอๆ
ไม่มีผู้ใดทราบถึงกำลังความสามารถที่แท้จริงของผู้พเนจรหยางหมิง แม้ว่าผู้พเนจรหยางหมิงจะไม่ได้ครอบครองราชันแท้จริง แต่มีผู้คาดการณ์ว่า ผู้พเนจรหยางหมิงอยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์มานานแล้ว เพียงแต่นางซ่อนเร้นความสามารถที่แท้จริงตลอดมาไม่เปิดเผย จึงไม่มีใครรู้ถึงกำลังความสามารถที่แท้จริงเท่านั้น และไม่มีใครกล้าไปท้าประลองกับผู้พเนจรหยางหมิง
ครั้นกลุ่มของผู้พเนจรหยางหมิงเข้านั่งประจำที่แล้ว ได้ยินเสียงก้าวเดินที่พร้อมเพรียงกันมากดังขึ้น มองเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวเดินเข้ามาภายในแท่นโอสถ ท่ามกลางการอารักขาของยอดฝีมือแต่ละคน
ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดมังกร ตาเหยี่ยวคู่นั้นของเขามีความแหลมคมยิ่งนัก ยามที่แววตาของเขากวาดผ่าน เสมือนดั่งเป็นมีดที่แหลมคมขูดลงบนตัวของทุกคนอย่างนั้น
ชายหนุ่มวัยกลางคนผู้นี้ปรากฏกลิ่นอายของเทพแท้จริง ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของเขามีท่าทีที่รุกรานทั่วหล้า ดูแข็งแกร่งยิ่งนัก
“ฝ่าบาท…” ยามที่ชายหนุ่มผู้นี้ปรากฏตัว บรรดาศิษย์ของสำนักต่างๆ ที่หันไปพึ่งพาแคว้นว่านโซ่วต่างทยอยกันลุกขึ้นแสดงความเคารพ
ขณะที่บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ยืนหยัดให้การสนับสนุนต่อหุบเขาอมตะนั่งนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหว