ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 2263 ลั่นกลองรบ

ตอนที่ 2263 ลั่นกลองรบ
ภายในระยะเวลาอันสั้น เสียงที่จอแจสารพัดดังก้องไปทั่วเรือนโอสถ โดยเฉพาะสำนักต่างๆ ที่ก้าวออกมายืนอยู่ข้างฝ่ายของแคว้นว่านโซ่ว ยิ่งงัดเอาคำพูดต่างๆ มาเยินยอแคว้นว่านโซ่ว ต้องการให้การแย่งชิงอำนาจของแคว้นว่านโซ่วเป็นไปโดยชอบธรรม
“หุบเขาอมตะตกต่ำลงจริงๆ แล้วรึ?” ในเวลานี้เอง แม้แต่สำนักต่างๆ ที่สนับสนุนหุบเขาอมตะอย่างมั่นคงถึงกับกังวลใจยิ่งนัก เมื่อเห็นหุบเขาอมตะยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว
“ฟ่านเมี่ยวเจินหลบหนีเข้าไปในบริเวณที่ลึกเข้าไปของยอดเขาสูงสุด ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก คุณชายหุยชุนได้ติดตามขึ้นไปบนยอดเขาสูงสุดนั้นแล้ว ปิดเส้นทาหนีของฟ่านเมี่ยวเจินไว้ และทางเข้ายอดเขาสูงสุดก็ถูกระดับบรรพบุรุษของแคว้นว่านโซ่วปิดกั้นเอาไว้ การจับกุมตัวฟ่านเมี่ยวเจินให้ได้นั้นเกรงว่าคงเป็นเรื่องที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น” ในขณะที่ผู้คนกำลังมีจิตใจที่หวาดผวายิ่ง ทางเรือนโอสถได้มีผู้ที่ปล่อยข่าวใหม่ล่าสุดออกมา เพื่อสร้างบารมีของแคว้นว่านโซ่วให้ยิ่งใหญ่ขึ้น
“เกรงว่าสถานการณ์ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว หุบเขาอมตะตกต่ำลงแล้วจริงๆ” ระดับผู้อาวุโสพึมพำออกมาด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด
“นักพรตฉางเซินเสียชีวิตแล้ว สมควรตั้งแคว้นว่านโซ่วขึ้นแทน” ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาสำนักต่างๆ ที่หันไปพึ่งพิงแคว้นว่านโซ่วยังส่งเสียงร้องจอแจออกมาไม่หยุด เมื่อเห็นว่าแคว้นว่านโซ่วดั่งพระอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่กลางหาว พวกเขาทำเช่นนี้เพื่อเพิ่มบารมีให้กับแคว้นว่านโซ่ว และปลุกความกล้าของตนให้เพิ่มมากขึ้น
“นักพรตฉางเซินเสียชีวิตแล้ว สมควรตั้งแคว้นว่านโซ่วขึ้นแทน!” คำขวัญทำนองนี้ดังก้องไปทั่วเรือนโอสถ ทำให้ผู้คนจำนวนมากไม่อาจสงบลงได้
“แค่มดปลวกฝูงหนึ่งเท่านั้นเอง!” ท่ามกลางเสียงเอะอะที่ร้องออกมาร้อนรนยิ่งนัก ปรากฏเสียงเอ้อระเหยเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงเอ้อระเหยที่ฟังสบายๆ ดังไปทั่วเรือนโอสถ
“ณ พิธีเซ่นไหว้ข้าจะเด็ดศีรษะผู้ทรยศทั้งหมดแล้วแขวนเอาไว้บนยอดเขาสูงสุด เพื่อเซ่นไหว้ปรัชญาเมธี” เสียงที่เอ้อระเหยนี้แม้ไม่ดังกังวานมากนัก แต่ก็ดังกระจายไปทั่วเรือนโอสถ และเข้าไปอยู่ในรูหูของทุกคนได้ชัดเจนอย่างยิ่ง
พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา เทียบกับคำพูดที่พูดกันจอแจสนับสนุนการช่วงชิงอำนาจของแคว้นว่านโซ่วไม่รู้ว่าพาลกว่ากี่เท่าตัว พูดขึ้นมาตรงๆ ว่าจะเด็ดหัวของศัตรู เป็นการดูแคลนต่อแคว้นว่านโซ่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเรียกว่าโอหังยิ่งนัก หมางเมินทั่วหล้า ตัวข้าเท่านั้นที่เป็นใหญ่เพียงผู้เดียว
พลันที่คำพูดอันธพาลเช่นนี้ถูกพูดออกมา ทำเอาทั่วทั้งเรือนโอสถเงียบสงัดยิ่งนัก แม้แต่พวกสำนักต่างๆ ที่ร้องเอะอะโวยวายก่อนหน้าก็นิ่งเงียบในทันที
มีผู้ที่ฟังแล้วจดจำเสียงนี้ได้ ถึงกับร้องเสียงดังขึ้นมาว่า “เขาคือศิษย์พี่ใหญ่ของหุบเขาอมตะ ศิษย์ลำดับที่หนึ่งของนักพรตฉางเซิน”
“ศิษย์ลำดับที่หนึ่งของนักพรตฉางเซิน ในที่สุดหุบเขาอมตะได้แสดงท่าทีออกมาแล้ว” ระดับบรรพบุรุษถึงกับพึมพำขึ้นมา
แม้จะกล่าวว่า ด้านของชื่อเสียงแล้ว ศิษย์ลำดับที่หนึ่งผู้นี้เทียบไม่ได้กับคุณชายหุยชุน กระทั่งเทียบไม่ได้กับฟ่านเมี่ยวเจิน แต่ท่าทีของศิษย์ลำดับที่หนึ่งที่เพิ่งปรากฏออกมาในขณะนี้กลับดูไม่ธรรมดา จะอย่างไรเสีย ชื่อของศิษย์ลำดับที่หนึ่งของนักพรตฉางเซินหาใช่เรื่องล้อเล่น การที่เขาพูดเช่นนี้ออกมา ย่อมเป็นการบ่งบอกถึงการเป็นตัวแทนที่แสดงถึงท่าทีของหุบเขาอมตะ
ก่อนหน้านั้นบรรดาสำนักที่หันไปพึ่งพาแคว้นว่านโซ่วที่ร้องเอะอะไม่หยุด และพูดคำขวัญทำนอง ‘นักพรตฉางเซินเสียชีวิตแล้ว สมควรตั้งแคว้นว่านโซ่วขึ้นแทน’ แต่ทว่า เมื่อหลี่ชิเย่ได้พูดคำพูดที่พาลเช่นนี้ออกมาแล้ว บรรดาสำนักต่างๆ เหล่านี้ก็หุบปากลงทันที
ต่อให้หุบเขาอมตะตกต่ำเสื่อมลงจริงๆ แต่มันก็คือสายตรงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ เป็นสำนักที่สืบทอดมาจากเซียนโอสถโดยตรง ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หุบเขาอมตะได้ปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะมาเป็นระยะเวลานานนับไม่ถ้วน ฐานะของหุบเขาอมตะได้หยั่งรากลงไปลึกมาก ฐานะเช่นนี้ไม่สามารถสั่นคลอนภายในเวลาอันสั้นได้อยู่แล้ว
“ผู้ทรยศ สมควรตาย!” จังหวะที่บรรดาผู้ร้องเอะอะนิ่งเงียบลงนั้น เสียงที่แก่หง่อมเสียงหนึ่งได้ดังก้องทั่วเรือนโอสถ โดยพูดขึ้นมาช้าๆ ว่า “ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ มีเพียงหุบเขาอมตะเท่านั้นที่เป็นผู้นำ ผู้ก้าวล่วง ทุกคนมีสิทธิ์สังหารได้!”
เสียงที่แก่หง่อมนี้ก็ดังก้องไปทั่วเรือนโอสถ ทั้งยังหนักแน่นมีพลังอย่างยิ่ง
“ตันหวัง ท่านผู้อาวุโสฟงนั่นเอง…” ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ภายในเรือนโอสถรู้สึกสะดุ้งในใจ เมื่อได้ยินเสียงที่แก่หง่อมเสียงนี้
“สำนักไป่ตันยืนหยัดสนับสนุนหุบเขาอมตะ” นาทีนี้ทุกคนต่างได้สติและพึมพำขึ้นมา
“ตันหวังสนับสนุนหุบเขาอมตะจริงๆ นะเนี่ย” ก่อนหน้านั้นบางคนต่างได้ยินมาบ้างแล้ว ได้ยินมาว่าตันหวังฟงเซี่ยวเฉินนำพาสำนักไป่ตันแสดงความจงรักภักดีต่อศิษย์ลำดับที่หนึ่ง เวลานี้ตันหวังฟงเซี่ยวเฉินแสดงท่าทีต่อหน้าทุกคน สิ่งนี้เชื่อถือได้อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
“จะอย่างไรเสียหุบเขาอมตะก็คือผู้กุมอำนาจระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะของพวกเรา จะอย่างไรเสียก็คือสายตรง” เมื่อระดับบรรพบุรุษของสำนักเจ้าลัทธิเห็นตันหวังเป็นตัวแทนของสำนักไป่ตันให้การสนับสนุนหุบเขาอมตะแล้วก็ไม่รู้สึกเหนือความคาดคิด
ขณะเดียวกัน ในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับสะดุ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายในใจของบรรดาสำนักต่างๆ ที่หันไปพึ่งพิงแคว้นว่านโซ่วเหล่านั้นรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
ถ้าหากไม่ไปคำนึงถึงหุบเขาอมตะล่ะก็ อาศัยด้านกำลังทหารแล้ว แคว้นว่านโซ่วถือเป็นอันดับที่หนึ่ง เช่นนั้นแล้วสำนักไป่ตันก็มีสิทธิ์เป็นอันดับที่สอง
เวลานี้ เมื่อสำนักไป่ตันสนับสนุนหุบเขาอมตะอย่างแข็งขัน ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว กำลังของค่ายหุบเขาอมตะย่อมไม่อาจดูแคลนได้อีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้นตันหวังคบหาผู้คนทั่วหล้า ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษของพรรคหยางหมิง หรือว่าระดับอมตะของจูเซียงหวู่ถิงต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากกับตันหวัง หากตันหวังก้าวออกมาย่อมไม่สามารถดูแคลนพลังคำเรียกร้องของเขาได้ ซึ่งมีผลกระทบที่ทรงพลังมาก
การที่ตันหวังสนับสนุนหุบเขาอมตะเต็มที่ พลันทำให้บรรดาสำนักต่างๆ ที่ยืนหยัดยืนอยู่ข้างฝ่ายของหุบเขาอมตะเหมือนมีความมั่นใจมากขึ้น
“พี่ฟง โลกเปลี่ยนไป เหตุการณ์สุดจะคาดเดาได้ ระวังคำพูดนะ” จังหวะที่ตันหวังฟงเซี่ยวเฉินแสดงตนให้การสนับสนุนเต็มที่นั้น ในเรือนโอสถปรากฏเสียงหนึ่งดังยึ้น เจ้าของเสียงเป็นผู้เฒ่าที่องอาจห้าวหาญและชาญฉลาด สวมชุดนักรบ ท่าทีที่หมางเมินต่อเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินสะเทือนจิตของผู้คน ท่วงท่าที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวทำให้ผู้คนต้องเคารพยำเกรง
“เฮ่าจ้านเหล่าจู่ บรรพบุรุษของตระกูลไช่” ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกตกใจ เมื่อได้เห็นหน้าผู้เฒ่าผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นมา
“บรรพบุรุษเฮ่าจ้านก็มาด้วยแล้ว ไม่ธรรมดานะเนี่ย” แม้แต่ในใจของยอดฝีมือรุ่นอาวุโส บรรพบุรุษตระกูลขุนนางโบราณก็ต้องเย็นวาบ เมื่อมองเห็นผู้เฒ่าผู้นี้
ผู้เฒ่าผู้นี้มีชื่อว่าไช่ต้าเหว่ย เป็นบรรพบุรุษของตระกูลไช่ มีชื่อที่ผู้คนเรียกขานกันว่าเฮ่าจ้านเหล่าจู่ เขาและตันหวังได้รับการยกย่องว่าเป็นสองยอดบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ
ตันหวังนั้นอาศัยวิชาปรุงกลั่นยาเลื่องลือในหล้า ขณะที่เฮ่าจ้านเหล่าจู่มีชื่อเสียงด้านทักษะยุทธ เฮ่าจ้านเหล่าจู่คือระดับเทพแท้จริง ขั้นสวรรค์ชั้นเก้า เล่าลือกันว่าจะได้เป็นถึงขั้นอมตะ
แม้จะกล่าวว่า แคว้นและหรือตระกูลขุนนางโบราณบางแห่งก็มีธาตุแท้ภายในที่เยี่ยมมาก พวกเขาก็มีเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ และเป็นไปได้ว่าอาจเป็นเทพแท้จริงสวรรค์ชั้นเก้า หรือกระทั่งขั้นอมตะด้วยซ้ำ
แต่ว่า บรรดาบรรพบุรุษของแคว้นและหรือตระกูลขุนนางโบราณเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ หรือดำรงอยู่ในฐานะอมตะของยุคสมัยนี้ พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ในยุคหนึ่งยุคใดในอดีต กระทั่งหากพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่ มักจะไม่ได้อยู่ในแดนลัทธิพรรษ โดยขึ้นไปอยู่ในแดนลัทธิราชันนานแล้ว
ขณะที่เฮ่าจ้านเหล่าจู่นั้นมีความแตกต่าง เขาคือเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ของยุคสมัยนี้ ทั้งยังเป็นเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ ขั้นสวรรค์ชั้นเก้า เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาอมตะที่ไม่ใช่เทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ของยุคสมัยนี้แล้ว เฮ่าจ้านเหล่าจู่มีพลังลมปราณที่คึกคักมีชีวิตชีวาและน่าเกรงขามมากกว่า และมีอายุขัยที่ยืนยาวยิ่งกว่า
ดังนั้น ต่อให้เทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ ชั้นเก้าของตระกูลขุนนางโบราณอื่นๆ ปรากฏตัว แต่หากไม่ได้อยู่ในยุคสมัยนี้ล่ะก็ เมื่อต้องต่อสู้ชี้ขาดกับเฮ่าจ้านเหล่าจู่แล้วคงยากที่จะมีความได้เปรียบ หรือกระทั่งไม่อาจต่อกรกับเขาได้
เฮ่าจ้านเหล่าจู่คือเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ ขั้นสวรรค์ชั้นเก้าที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะในยุคนี้ และด้วยเหตุนี้เองจึงถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสองยอดบรรพบุรุษ มีชื่อชั้นเสมอด้วยตันหวัง
เวลานี้เฮ่าจ้านเหล่าจู่พลันส่งเสียงขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรต้องกลั้นหายใจกับสิ่งนี้ อีกทั้งยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนรุ่นอาวุโสเมื่อได้ฟังคำพูดของเฮ่าจ้านเหล่าจู่แล้ว ทุกคนต่างเข้าใจได้ทันที ไม่ต้องกังขาเลยว่าเฮ่าจ้านเหล่าจู่นั้นเลือกอยู่ข้างฝ่ายของแคว้นว่านโซ่ว สนับสนุนแคว้นว่านโซ่วอย่างเต็มที่
“คางคกขึ้นวอ เนรคุณ แม้ตายก็ไม่น่าเสียดาย” สำหรับคำพูดของเฮ่าจ้านเหล่าจู่นั้น ท่าทีของตันหวังฟงเซี่ยวเฉินดูมั่นคงยิ่งนัก คำพูดที่พูดนั้นมีพลังยิ่งนัก
เวลานี้ ทุกคนต่างเข้าใจแล้วว่าพายุฝนฟ้าคะนองที่น่ากลังกำลังจะโหมกระหน่ำไปทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะแล้ว
หลังจากฟงเซี่ยวเฉินได้แสดงท่าทีอีกครั้ง เฮ่าจ้านเหล่าจู่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรให้มากความอีก ทั่วทั้งเรือนโอสถดูจะนิ่งเงียบขึ้นมา
“ศิษย์ทรยศที่ยังคงหลงเหลืออยู่ สมคบคิดฝ่ายมาร ถึงกับกล้ากล่าววาจาไม่รู้จักละอาย” ในที่สุดนาทีนี้เองแคว้นว่านโซ่วได้แสดงท่าทีแล้ว โดยคำพูดของกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วดังก้องไปทั่วเรือนโอสถ กล่าวน่าเกรงขามว่า “ข้านี่แหละจะกวาดล้างสิ้นพวกทรยศให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ฟื้นฟูระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ…”
“พิธีเซ่นไหว้พรุ่งนี้ พวกเจ้าคุกเข่าให้ข้าตัดหัวก็แล้วกัน มิฉะนั้นล่ะก็ จะทำลายแคว้นว่านโซ่วของพวกเจ้าเสีย” ขณะที่กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วพูดไม่ทันจบ คำพูดของหลี่ชิเย่ก็ได้ถูกถ่ายทอดไปยังท้องฟ้าเบื้องบนของเรือนโอสถ อันธพาลปราศจากผู้ใดเทียม กล่าวตัดบทของกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วโดยตรง
หลายคนต่างมองหน้ากันและกันเมื่อได้ยินคำพูดที่อันธพาลปราศจากผู้เทียบเทียมเช่นนี้ ดูท่าศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะก็ใช่จะเป็นคนที่รับมือได้ง่ายแน่นอน แม้ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพที่เข้มแข็งดั่งแคว้นว่านโซ่วก็ยังคงอันธพาลปราศจากผู้ใดเทียม ดูท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยม
“พิธีเซ่นไหว้พรุ่งนี้จะประหารพวกเจ้าที่เป็นผู้ทรยศ” เสียงกษัตรย์แคว้นว่านโซ่วที่โกรธแค้นก็ก้องกังวานบนท้องฟ้าของเรือนโอสถ
หลังจากสิ้นเสียงของกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วแล้ว ทั่วทั้งเรือนโอสถก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกกังวลอยู่ในใจ และมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่เฝ้ารอคอยการมาถึงของวันพรุ่งนี้ให้เร็วกว่านี้
ทุกคนต่างก็รู้ว่า พิธีเซ่นไหว้ในวันพรุ่งนี้จะเป็นวันชี้ชะตาของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ และเป็นการชี้ชะตาของหุบเขาอมตะ และแคว้นว่านโซ่ว
“ใครนะจะเป็นฝ่ายกำชัยเล่า?” ในเวลานี้ การคาดการณ์ต่างๆ ผุดขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวาย ผู้คนจำนวนมากต่างต้องการทราบผลที่จะเกิดขึ้น
โดยเฉพาะบรรดาสำนักต่างๆ ที่ยังไม่ได้เลือกข้างก็จะมีความกังวลต่างๆ นานา
“หรือบางทีคราวนี้แคว้นว่านโซ่วจะปราศจากผู้ต่อกรจริงๆ แล้ว มันสามารถได้รับการสนับสนุนจากสำนักต่างๆ มากมายเช่นนี้ กำลังไม่ใช่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น มาคราวนี้แคว้นว่านโซ่วได้ถึงเอาผู้แทนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ เข้ามาด้วย เกรงว่าแคว้นว่านโซ่วคงมีความมั่นใจเต็มร้อยแล้ว จึงได้ทำการยึดอำนาจในครั้งนี้” เจ้าสำนักของสำนักหนึ่งมั่นในแคว้นว่านโซ่วมากกว่า
แต่ก็มีระดับบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณเลือกฝั่งของหุบเขาอมตะ และกล่าวว่า “จะอย่างไรเสียหุบเขาอมตะได้ปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะมานานนับไม่ถ้วน แม้ว่าจะทำตัวค่อมต่ำจนแทบจะละเลยการดำรงอยู่ของมันไปได้เลย แต่จากการสั่งสมมาหมื่นชาติใช่เป็นสิ่งที่แคว้นว่านโซ่วจะเทียบเคียงได้”
“ตกลงศิษย์ลำดับที่หนึ่งผู้นี้ใช้ได้หรือไม่กันแน่? การมีศิษย์ลำดับที่หนึ่งโผล่ออกดำเนินการจัดการกับสถานการณ์มากะทันหัน นี่เป็นเพราะหุบเขาอมตะไม่มีใครอีกแล้วรึ?” มีผู้คนจำนวนมากที่พกพาท่าทีของความสงสัย สำหรับศิษย์ลำดับที่หนึ่งเช่นหลี่ชิเย่คนนี้
จะอย่างไรเสียจู่ๆ ก็มีศิษย์ลำดับที่หนึ่งโผล่ขึ้นมากะทันหัน แล้วจะสยบผู้คนได้อย่างไร มีความสามารถแค่ไหนในการจัดการพิธีเซ่นไหว้เช่นนี้ได้ และเอาอำนาจบารมีอะไรมาเป็นผู้นำของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะได้! ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยในศักยภาพของหลี่ชิเย่
จะอย่างไรเสียศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหลี่ชิเย่ก็เพิ่งจะโผล่ขึ้นมา ไม่มีอำนาจบารมีใดๆ อยู่แล้ว ไม่สามารถเทียบได้กับกษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่วได้อยู่แล้ว
……………………………………………………….
ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท