หนึ่งกระบี่สำแดงออกไป ฟ้าดินเสมือนหนึ่งเงียบสงัด วันเวลาคล้ายหยุดนิ่ง หมื่นยุคดุจดั่งจับแข็ง
พริบตาเดียวนี้เอง ไม่รู้ว่ามีศัตรูจำนวนเท่าไรที่ยังคงรักษาท่าทางในเสี้ยววินาทีนั้น บางคนกำลังบุกเข้ามา บางคนกระโดดขึ้น และบางคนสะบัดกระบี่เพื่อกัน…
จังหวะหนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันออกมานั้น ผู้ซึ่งดำรงอยู่ในระดับเทพแท้จริงรับรู้ถึงอันตรายและรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา สัญชาตญาณทำให้เขารู้ว่ามีอันตราย แต่ว่า ทุกอย่างยังคงช้าเกินไป ต่อให้สัญชาตญาณทำให้เขารู้ว่ามีอันตราย แต่ว่า ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว เนื่องจากหนึ่งกระบี่ของหลี่ชิเย่ได้ฟาดฟันออกมาแล้ว
หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันออกมา ทุกสิ่งถูกกำหนดไว้แล้ว นี่เป็นกระบี่ที่รวดเร็วที่สุดในหล้า แซงล้ำหน้าทุกสิ่งทุกอย่าง ภายใต้หนึ่งกระบี่นี้กาลเวลาก็ดูเคลื่อนที่เชื่องช้าเหมือนหอยทากอย่างนั้น
ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ…แต่ละเสียงที่ดังขึ้น เห็นเพียงหัวแต่ละหัวที่กลิ้งตกลงพื้น หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันออกไปพลันฟันศีรษะของศัตรู อีกทั้งกระบี่กระบวนท่านี้รวดเร็วเหลือเกิน ผู้ที่ถูกตัดคอไปแล้วยังคงไม่มีความรู้สึก ร่างกายของเขายังคงพุ่งไปข้างหน้าเหมือนเดิม หรือกระโดดขึ้นไป และหรือวาดกระบี่ออกมาเพื่อป้องกัน
ยามที่ศีรษะของพวกเขากลิ้งตกลงบนพื้นนั้น ในเวลานี้พวกเขายังสามารถมองเห็นร่างของตนที่พุ่งไปข้างหน้า หรือกำลังกระโดดเหินฟ้าขึ้นไป และหรือกำลังมองเห็นข้อเท้าของตนพอดี…
หนึ่งกระบี่รวดเร็วจนไม่สามารถเปรียบเปรยได้ ตัดคอศัตรูนับพันจนขาดในพริบตาเดียว พวกเขากระทั่งยังไม่รู้เลยว่ามันเรื่องอะไรกันแน่
“ไม่…” ในเวลานี้เอง ศีรษะที่ตกลงพื้นคิดจะต้องเสียงแหลมดังออกมา แต่พวกเขาได้แต่อ้าปากกว้างกลับไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้แม้แต่นิดเดียว
ปัง ปัง ปัง…เสียงแต่ละเสียงที่ดังขึ้น ในที่สุดมองเห็นศพที่ไร้หัวแต่ละศพที่ร่วงลงกับพื้นทั้งหมด เลือดสดๆ ไหลนองจนพื้นดินแดงฉาน และไหลรวมกันจนเป็นเหมือนลำธาร
ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป กระทั่งกล่าวได้ว่าไม่มีใครมองเห็นได้ชัดเจนว่าหลี่ชิเย่ลงมือแบบไหน แต่ว่าด้วยกระบี่ไม้ไผ่ในมือของเขาที่ตวัดออกไป ก็สังหารศัตรูนับพันคน บรรดาผู้ที่ถูกสังหารไปนั้นมียอดฝีมือจากสุสานกระบี่ ยอดฝีมือจากแค้วนหวู่เซิ่น และยังมีระดับผู้อาวุโสสำนักเจ้าลัทธิที่ติดตามมากับโจวจื้อคุน…
ไม่ว่าพวกเขาจะมีศักยภาพระดับกษัตราแท้จริง หรือกระทั่งมีศักยภาพระดับเทพแท้จริงล้วนแล้วแต่ตายภายใต้หนึ่งกระบี่ของหลี่ชิเย่
ที่น่าสยองขวัญมากไปกว่านั้นก็คือ อาวุธที่อยู่ในมือของหลี่ชิเย่หาใช่สุดยอดอาวุธในหล้าแต่อย่างใด และไม่ใช่อาวุธบรรพบุรุษใดๆ มันเป็นเพียงกระบี่ไม้ไผ่เล่มหนึ่งเท่านั้น ด้วยกระบี่ไม้ไผ่ลักษณะเช่นนี้ ก็สามารถสังหารศัตรูรวดเดียวได้เป็นจำนวนมากเช่นนี้
ครั้นผู้คนจำนวนไม่น้อยได้สติคืนกลับมา ถึงกับหนาวสะท้านไปทั่วตัวและร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง กระทั่งมีผู้ที่หลังจากได้สติกลับมาแล้วถึงกับอาเจียนออกมา และถูกกลิ่นคาวเลือดที่โชยมาแตะจมูกทำให้วิญญาณออกจากร่าง แม้แต่น้ำดียังสำรอกออกมา
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น พริบตาเดียวนี้เอง มองเห็นคุณชายผิงเฉิงที่หลังจากได้สังหารยอดฝีมือจำนวนมากของแคว้นหวู่เซิ่นแล้ว พลันเข้าโจมตีจนฮ่องแต้ของแคว้นหวู่เซิ่นไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย
ตึง…กระบี่คำรามไม่หยุด ทันใดนั้นมองเห็นกระบี่ไม้ใผ่ที่อยู่ในมือของคุณชายผิงเฉิงส่งประกายกระบี่ที่ส่ว่างไสว และกลับกลายเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เล่มหนึ่งที่ส่งประกายศักดิ์สิทธิ์วูบวาบออกมา เรียบง่ายและโบราณ มีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุดด้วยอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือสวรรค์
ฮ่องแต้แคว้นหวู่เซิ่นคำรามเสียงดังออกมาเมื่อต้องเผชิญกับกระบวนท่ากระบี่สังหารเด็ดขาด ลงมือเสกก่อเป็นกำแพงศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาด้านหนึ่งเพื่อขวางกระบี่กระบวนท่านี้ของคุณชายผิงเฉิงเอาไว้ แต่มันไร้ซึ่งประโยชน์
ได้ยินเสียงปังดังสนั่นขึ้นมาเสียงหนึ่ง หนึ่งกระบี่ของคุณชายผิงเฉิงพลันแทงทะลุกำแพงขนาดยักษ์ด้านนี้ หนึ่งกระบี่แทงทะลุลำคอของฮ่องแต้แคว้นหวู่เซิ่น
ดวงตาคู่นั้นของฮ่องแต้แคว้นหวู่เซิ่นเบิกโพลง เมื่อคุณชายผิงเฉิงชักกระบี่กลับไปนั้น ปุเลือดสดๆ พุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอ ร่างของเขาหงายหลังล้มตึงลงกับพื้น
“ไม่ไหว ข้ายังคงฆ่าได้น้อยกว่า” เมื่อคุณชายผิงเฉิง หันหลังกลับไปดู เขาถึงกับต้องส่งเสียงจี๊ดจ๊ะออกมาเมื่อเห็นหลี่ชิเย่สังหารศัตรูได้มากมายถึงเพียงนี้ในหนึ่งกระบี่ เขาเสกเอารกระบี่ไม้ไผ่ออกมารวดเดียวเป็นจำนวนมาก แต่จำนวนคนที่ฆ่ายังไม่มากเท่ากับหลี่ชิเย่
“ข้ามาแล้ว…” คุณชายผิงเฉิงคำรามเสียงยาวขึ้นมา เหินฟ้าเข้าโจมตีองค์หญิงเซี่ยที่ยืนอยู่ห่างไกลออกไป แม้ว่าองค์หญิงเซี่ยจะสั่งการให้ยอดฝีมือของสุสานกระบี่ล้อมสังหารพวกของหลี่ชิเย่ แต่ตัวนางเองกลับเป็นผู้ที่ยืนอยู่ห่างจากสมรภูมิสู้รบไกลที่สุด
“ถอย…” ยอดฝีมือที่ทำหน้าที่คุ้มครองอยู่ข้ากายองค์หญิงเซี่ยร้องเสียงดังขึ้นมา เมื่อเห็นคุณชายผิงเฉิงที่เข้ามาโจมตี ทยอยกันลงมือหวังสกัดคุณชายผิงเฉิงเอาไว้
แต่ว่า คุณชายผิงเฉิงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา มืออีกข้างหนึ่งที่กำกระบี่ไม้ไผ่เล่มหนึ่งและกวาดออกไป เสมือนหนึ่งกระบี่สวรรค์ที่ตกลงมา ทุกๆ กระบี่ล้วนแล้วแต่มีอำนาจที่อยู่เหนือสวรรค์
อ๊ากก อ๊ากก อ๊ากก…เสียงร้องที่น่าเวทนาแต่ละเสียงดังขึ้น ยอดฝีมือเหล่านี้ไม่สามารถต้านคุณชายผิงเฉิงได้อยู่แล้ว แค่หนึ่งกระบี่ก็แทงทะลุลำคอของพวกเขาแล้ว
องค์หญิงเซี่ยตกใจจนมีสีหน้าที่ขาวซีด รีบถอยหลังพร้อมกับร้องเสียงแหลมดังขึ้นมา “ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย…”
ตึง…เสียงกระบี่คำรามดังขึ้น นาทีนี้เองเจี้ยนจุนที่ยืนอยู่ในที่ๆ ห่างไกลได้ลงมือแล้ว กระบี่ยาวของเขายังไม่ทันออกจากฝัก พลังกระบี่ยิ่งใหญ่กลับกลายเป็นกระบี่สวรรค์เล่มหนึ่ง ฉับพลันก้าวข้ามหมื่นลี้ฟันใส่คุณชายผิงเฉิง
“เจี้ยนจุน ข้าขอรับการชี้แนะสักหน่อย” คุณชายผิงเฉิงมีรอยยิ้มที่สดใสเมื่อเผชิญกับการลงมือของเจี้ยนจุน ใช้มือตบเข้าที่กระสอบป่าน ได้ยินเสียงกระบี่คำรามแต่ละเสียงตึง ตึง ตึงดังขึ้นมา พลันปรากฏกระบี่ไม้ไป่หลายร้อยเล่มที่พุ่งออกไป
“กระบี่กระเพื่อมครอบคลุมไร้ขอบเขต…” คุณชายผิงเฉิงคำรามเสียงยาวเสียงหนึ่ง เห็นกระบี่ไม้ไผ่แต่ละเล่มพลันกลายเป็นวงแหวนกระบี่ขนาดยักษ์ขึ้น และหมุนตัวเคลื่อนไปปิดกั้นทุกเขตขาม ต้านพลังกระบี่ของเจี้ยนจุนที่ฟาดฟันเข้ามา ได้ยินเสียงดังปังเสียงหนึ่ง พลังกระบี่กระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง
จี๊ด…เสียงหนึ่งดังขึ้น เลือดสดๆ พุ่งออกมา หนึ่งกระบี่ของคุณชายผิงเฉิงได้ทะลุผ่านหน้าอกขององค์หญิงเซี่ย นัยน์ตาคู่นั้นของนางเบิกกว้าง และไม่อยากเชื่อเลยว่ากระทั่งเจี้ยนจุนศิษย์พี่ของนางลงมือก็ไม่สามารถช่วยชีวิตนางเอาไว้ได้
อย่ามองว่าปรกติแล้วคุณชายผิงเฉิงนั้นมีแต่รอยยิ้มที่สดใส การพูดการจาดูมีความสนิทสนมเป็นกันเองและอ่อนโยนเข้ากับคนอื่นได้ง่าย แต่เมื่อไรที่ลงมือล่ะก็ฆ่าล้างผลาญเด็ดขาดอย่างแน่นอนปราศจากความปราณีแม้แต่น้อย สังหารศัตรูของตนในทันที
“ผิงเฉิง เจ้าทำเกินไปแล้ว…” เวลานี้เจี้ยนจุนร้องเสียงดังขึ้นมาด้วยความโกรธอย่างยิ่ง ยามที่เจี้ยนจุนโกรธขึ้นมานั้น เห็นเพียงเปลงเพลิงกระบี่ที่รุนแรงกวาดเมฆหมอกบนท้องฟ้าจนสิ้น เสมือนดั่งเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ขนาดยักษ์ปราศจากผู้เทียบเทียมพุ่งขึ้นท้องฟ้า ตัดขาดเก้าอาณาจักร
ปณิธานกระบี่ที่บ้าคลั่งพลันอาละวาดไปทั่วฟ้าดินภายใต้ความโกรธของเจี้ยนจุน ทำให้ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากทีเดียว ต่างทยอยกันก้าวถอยหลังด้วยท่าทีที่หวาดผวา
เกินไปแล้วอย่างไร…รอยยิ้มของคุณชายผิงเฉิงดูสดใสยิ่งนัก กระบี่ไม้ไผ่ชี้ไปข้างหน้า เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “หากเจี้ยนจุนต้องการสู้ ผิงเฉิงพร้อมรับใช้เต็มที่ อยากดูว่าชื่อของเจี้ยนจุนจะเป็นชื่อเสียงจอมปลอมหรือไม่”
คำพูดของคุณชายผิงเฉิงพลันทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องใจหายใจคว่ำ นับว่าคุณชายผิงเฉิงก็เป็นผู้ที่มีความพาลอย่างยิ่ง และแน่นอนมันก็เป็นสิ่งที่ผู้คนรอคอย
คุณชายผิงเฉิงมีชื่อจัดอยู่ในสามคุณชาย ขณะที่เจี้ยนจุนคือหนึ่งในสุดยอดคู่ดาบกระบี่ในหล้า ทุกคนจึงอยากจะรู้ว่าระหว่างสุดยอดคู่ดาบกระบี่ในหล้ากับสามคุณชายใครจะแกร่งกว่ากัน
“ตกลง สงเคราะห์เจ้า…” เจี้ยนจุนคำรามเสียงยาว และเสียงตึงดังขึ้น ทันใดนั้นเองกระบี่ยาวออกจากฝัก พลันที่กระบี่ยาวออกจากฝักได้ส่งประกายสว่างไสวไปทั่วสิบสามทวีป ประกายกระบี่ที่เงาวับยิ่งกว่าหิมะส่องเข้าตาของผู้คนจนลืมตาไม่ขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นก็มาสู้กันสักครั้ง” คุณชายผิงเฉิงหัวเราะเสียงดัง ยังคงมีรอยยิ้มที่สดใส กระบี่ไม่ไผ่ทยอยกันย่อยสลายไปและกลับกลายเป็นลวดลายเต๋า พริบตาเดียวนั่นเอง กระบี่ไม้ไผ่ที่อยู่ในมือของคุณชายผิงเฉิงไม่ใช่กระบี่ไม้ไผ่อีกแล้ว แต่เป็นกระบี่สัจธรรมเล่มหนึ่ง
ปัง…พริบตาเดียวนั่นเอง คุณชายผิงเฉิงกับเจี้ยนจุนทั้งสองคนพลันเหินฟ้าขึ้นไปและปะมือกันหนึ่งกระบวนท่า กระบี่ทั้งสองเล่มปะทะกันซึ่งหน้า สะเก็ดไฟแตกกระจายคล้ายดั่งดาวเคราะห์ระเบิดแตกออกอย่างนั้น
สำหรับการต่อสู้ระหว่างคุณชายผิงเฉิงกับเจี้ยนจุนนั้น หลี่ชิเย่ไม่ให้ความสนใจแม้แต่น้อย เขาเพียงเป่าลมเบาๆ ให้หยดเลือดหยดนั้นที่ติดอยู่บนกระบี่ไม้ไผ่ให้ร่วงหล่นลงพื้นดิน
หลี่ชิเย่ในเวลานี้ได้หัวเราะ และเดินเข้าไปหาโจวจื้อคุน หนี่งกระบี่ของเขาที่ฟาดฟันลงมานั้นไม่ได้เอาชีวิตของโจวจื้อคุน
มาคราวนี้โจวจื้อคุนที่มองเห็นหลี่ชิเย่อาศัยหนึ่งกระบี่สังหารศัตรูนับพันคนถึงกับยืนเซ่อไปเลย เนื่องจากเขาไม่เคยเห็นฉากที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน ทำเอาตกใจจนแทบจะปัสสาวะรดกางเกง
เมื่อโจวจื้อคุนได้สติกลับมาถึงกับมีสีหน้าที่ซีดเผือด เขาถูกทำให้ตกใจขวัญหนีดีฝ่อ ก้าวถอยหลังไปพลาง ส่งเสียงร้องแหลมดังขึ้นมา “เจ้า เจ้า เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร…”
เวลานี้ ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองมาที่ตรงนี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่กลั้นลมหายใจเอาไว้ กล่าวสำหรับยอดฝีมือและผู้เยี่ยมยุทธจำนวนมากแล้ว ด้วยทักษะยุทธที่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึงของโจวจื้อคุนไม่สามารถนับเป็นอะไรได้อยู่แล้ว ที่ทำให้พวกเขาต้องหวั่นเกรงคือผู้อยู่เบื้องหลังของเขาต่างหาก
ขณะที่เวลานี้ผู้อยู่เบื้องหลังของเขาก็อยู่ไม่ห่างไกลนี้เอง และหรือก็คือคนรับใช้เก่าแก่ของนายน้อยมู่ฝานกุ้ยซินนั่นเอง!
“ไม่ทำอะไร” หลี่ชิเย่เดินเข้าหาโจวจื้อคุนด้วยท่าทีที่ไม่รีบและไม่ช้าเกินไป ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “ข้ากำลังคิดว่าควรจะภลกเอาหนังของเจ้าออกมาดีหรือไม่ ให้เจ้าได้รับรู้ถึงวิธีการที่โหดร้ายทารุณของข้า”
“เจ้า เจ้า เจ้า เจ้า เจ้าอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ…” โจวจื้อคุนร้องเสียงหลงขึ้นมา และกล่าวว่า “ผู้เฒ่าฝานของข้า ข้า ข้า ข้าอยู่ที่นี่นะ”
โจวจื้อคุนในเวลานี้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ถอยไปพลางร้องเสียงหลงออกมาพลาง
“แล้วมันเป็นอย่างไรเล่า?” หลี่ชิเย่ยิ้มบางๆ และกล่าวว่า “เกรงว่าใครจะอยู่ที่นี้ก็ไม่มีประโยชน์ หากข้าจะถลกหนังของเจ้าเสีย”
โจวจื้อคุนถูกทำให้ตกใจจนสติแตกแล้วจริงๆ หันหลังวิ่งหนีไปยังฝานกุ้ยซินทันที เรียกได้ว่าได้ใช้กำลังอย่างเต็มที่ วิ่งไปพลาง ร้องเสียงหลงไปพลาง “ผู้เฒ่าฝาน เร็ว ช่วยเร็ว ช่วยข้าเร็วๆ ฆ่าเจ้ามารร้ายนี่เสีย…”
ความจริงแล้วตัวฝานกุ้ยซินจ้องมองมาทางด้านนี้โดยตลอด เมื่อเห็นโจวจื้อคุนวิ่งมาทางนี้ ดวงตาทั้งสองที่เย็นชาของเขา จ้องมองดูหลี่ชิเย่อย่างน่าเกรงขาม
ในเวลานี้ทุกคนต่างมองไปที่ฝานกุ้ยซิน เนื่องจากเขาเป็นผู้รับใช้เก่าแก่ของนายน้อยมู่ เทียบกับอัครทูตอย่างโจวจื้อคุนแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนายน้อยมู่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เขาเป็นผู้ที่ติดตามนายน้อยมู่ลงมาจากเบื้องบน เขาเป็นบ่าวไพร่ของตระกูลมู่ และเป็นระดับเทพแท้จริงคนหนึ่ง
กล่าวได้ว่า ฐานะของฝานกุ้ยซินไม่รู้ว่าสูงกว่าโจวจื้อคุนเท่าไร คำพูดของเขาสามารถแทนนายน้อยมู่ได้ระดับหนึ่งในบางโอกาส
ในใจของผู้อื่นอาจจะดูแคลนต่อผู้เยาว์อย่างโจวจื้อคุนที่เป็นเพียงสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ แต่กับฝานกุ้ยซินแล้วไม่มีใครกล้าเมินเฉยอย่างแท้จริง ถึงกับให้ความเคารพอยู่ในใจ
สิ่งนี้ไม่เพียงแต่เขาเป็นระดับเทพแท้จริง และไม่เพียงเพราะเขาเป็นผู้รับใช้เก่าแก่ของนายน้อยมู่ เหนือสิ่งอื่นใดเป็นเพราะเขาคือคนของตระกูลมู่ เป็นผู้ที่ลงมาจากเบื้องบน และเป็นผู้ที่รั้งอยู่กับตระกูลมู่มาชั่วชีวิต
ฐานะเช่นนี้หาใช่คนรับใช้ หรืออัครทูตที่นายน้อยมู่เรียกหามาจากแดนลัทธิพรรษ สามารถเทียบเคียงได้
…………………….