“ดี ตาเฒ่าอย่างข้าจะขอรับกระบี่นี้ของเจ้า…” เวลานี้ ฝานกุ้ยซินกล่าวด้วยเสียงอันดังขึ้นมา ในมือของเขาถือโล่ยักษ์ บนตัวสวมใส่เสื้อราชัน เขาไม่เชื่อว่าตนเองจะไม่สามารถรับได้กระทั่งกระบี่เดียว
“เกรงว่านี่คงไม่มีอะไรต้องกังวลกระมัง” มีผู้พึมพำออกมาเมื่อเห็นฝานกุ้ยซินสวมชุดราชัน และถือโล่ยักษ์ในมือ
“อาศัยเพียงกระบี่ไม้ไผ่เล่มหนึ่งเกรงว่าจะทำลายเสื้อราชันไม่ได้” แม้แต่ระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่หลี่ชิเย่จะทำลายเสื้อราชันได้ จะอย่างไรเสียมันเป็นเพียงกระบี่ไม้ไผ่เล่มหนึ่งเท่านั้นเอง
“นี่เป็นการประมาทเกินไปแล้ว” ระดับผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เกรงว่าเจ้าหลี่ชิเย่คนนี้คงนึกไม่ถึงว่าผู้เฒ่าฝานมีเสื้อราชันในครอบครองกระมัง แค่กระบี่ไม้ไผ่เล่มหนึ่งคิดทำลายเสื้อราชัน โดยพื้นฐานแล้วเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
ทุกคนที่มองเห็นอานุภาพราชันที่เปล่งออกมาจากเสื้อราชันบนตัวฝานกุ้ยซินแล้ว ต่างรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่หลี่ชิเย่จะสังหารฝานกุ้ยซินได้ภายในหนึ่งกระบี่ กระทั่งทำลายเสื้อราชันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ดีมาก เช่นนั้นก็เริ่มเลย” กระบี่ไม้ไผ่ในมือของหลี่ชิเย่ถูกยกขึ้นช้าๆ ท่าทางตามอารมณ์ยิ่ง ไม่ปรากฎพลังกระบี่ใดๆ แม้แต่น้อย
ความจริงแล้ว สถานะของหลี่ชิเย่ ในขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่วิชากระบี่ เนื่องจากสิ่งที่เขาสำแดงออกมาในเวลานี้หาใช่วิชากระบี่อีกต่อไป กลับจะเป็น… เพียงแต่ว่าเวลานี้ไม่ใช่อดีตอีกต่อไปแล้ว หลี่ชิเย่ได้มีการเปิดหน้าใหม่ขึ้นมา ดังนั้น ต่อไปจะไม่เรียกเช่นนี้อีก
เสียงตูม…ดังสนั่นขึ้นมา พริบตาเดียวนั้นเอง โล่ยักษ์ของฝานกุ้ยซินได้พวยพุ่งประกายออกมา และเขาได้คำรามเสียงดังว่า “โล่ป้องกันเหล่ามาร”
ทันใดนั้นเอง โล่ยักษ์ของเขาพลันกลับกลายเป็นขนาดที่สูงใหญ่มาก สูงนับหมื่นลี้ กั้นขวางเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินอย่างสิ้นเชิง ตัวของเขาถูกห่อหุ้มอยู่ด้านหลังของโล่ยักษ์เอาไว้อย่างแน่นหนา
ในขณะเดียวกัน ได้ยินเสียงร้องของนกหงส์ที่ร้องเสียงยาวอิ๊วววขึ้นมา มองเห็นทั่วร่างของฝานกุ้ยซินพวยพุ่งประกายเพลิงที่ร้อนแผดเผาขึ้นมา โดยนกหงส์สีเขียวครามตัวนั้นได้หุบปีกของมันเข้ามา ทำการปิดกั้นหมื่นแดนให้ตัดขาดจากกัน และเฝ้าปกป้องช่องว่างเอาไว้ ทำให้ตัวของฝานกุ้ยซินอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของมัน
ตูม ตูม ตุมเสียงดังตูมตามที่ดังขึ้นมาเป็นระลอกไม่ขาดสาย มองเห็นอานุภาพราชันเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง และประกายพวยพุ่งทะลักออกมา พริบตาเดียวนั่นเอง ประกายที่มีขนาดใหญ่มากก้อนหนึ่งเหมือนจะระเบิดขึ้นอย่างนั้น
“คุ้มกัน…” ภายใต้เสียงร้องคำราม เสมือนหนึ่งมองเห็นร่างเงาที่สูงใหญ่ยื่นตระหง่านคุ้มครองฝานกุ้ยซินเอาไว้ ในเวลาเดียวกันมือขนาดยักษ์ข้างหนึ่งของร่างเงาที่สูงใหญ่ได้สยบลงมา เหมือนต้องการทำลายฟ้าดินหมื่นอาณาจักรอย่ายนั้น
ตูม…เสียงดังสนั่นดังก้องกังวาน จังหวะที่มือยักษ์นี้ยังไม่ทันได้สยบลงมาถึง พื้นดินก็ได้ปรากฏรอยแยกขึ้นมา ดูเหมือนไม่เป็นเพียงป้องกันเท่านั้น แต่เป็นทั้งรุกและรับครบครัน
เสียงปุ…ดังขึ้นเสียงหนึ่ง พริบตาเดียวนั้นเองหลี่ชิเย่ได้ลงมือแล้ว หนึ่งกระบี่ที่สำแดงออกไป ก้าวข้ามนิรันดร์ เวลาเหมือนไหลย้อนกลับอย่างนั้น ทุกคนต่างรู้สึกว่าตนเองกำลังถอยหลัง กระทั่งถอยหลังจากสูงวัยกลับสู่วัยหนุ่ม ทันใดนั้นเองเหมือนบังเกิดภาพลวงตาอย่างหนึ่งที่บอกไม่ถูก
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ทันใดนั้นเองเกิดปะทะกันขึ้นหนึ่งกระบวนท่า แต่ทว่า หนึ่งกระบี่ของหลี่ชิเย่ช่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน ไม่มีใครมองเห็นหนึ่งกระบี่นี้ของหลี่ชิเย่ได้อย่างชัดเจน
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ทุกคนได้สติคืนกลับมา มองเห็นโล่ขนาดยักษ์ยังคงตั้งตระหง่านไม่ล้ม เสื้อขนนกยังคงแผ่ประกายออกมาเป็นสาย ร่างเงาที่สูงใหญ่ยังคงยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น
ตัวฝานกุ้ยซินยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคง เหมือนว่าไม่ได้ถูกทำร้ายใดๆ ทั้งสิ้น
“จบแล้วรึ?” ทุกคนต่างมองไม่ออกว่าใครแพ้ใครชนะ เมื่อมองเห็นภาพในเวลานี้
คร๊ากกในขณะนี้กระบี่ไม้ไผ่ที่อยู่ในมือของหลี่ชิเย่ปรากฎรอยร้าวขึ้นเป็นริ้วๆ ตามติดด้วยการแตกละเอียดของกระบี่ไม้ไผ่ทั้งเล่ม เศษกระบี่ตกเกลื่อนพื้นเต็มไปหมด
แพ้แล้วล่ะ…ทุกคนต่างรู้ผลแพ้ชนะแล้วเมื่อเห็นกระบี่ไม้ไผ่ในมือที่แตกละเอียดตกลงพื้น หนึ่งกระบี่ของหลี่ชิเย่ไม่สามารถโจมตีทะลุแนวป้องกันเสื้อราชันไปได้
“จะอย่างไรเสียเสื้อราชันย่อมเป็นเสื้อราชัน นี่มันมาจากฝีมือของราชันแท้จริงเองได้นะ มีพลังที่ปราศจากผู้ต่อกร ด้วยพลังเช่นนี้ไหนเลยระดับเทพแท้จริงขั้นก้าวขึ้นสู่สวรรค์ทั่วไปจะเทียบเคียงได้” ระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิก็รู้ถึงความแข็งแกร่งของราชันแท้จริง และพึมพำออกมา
“จะอย่างไรเสียหลี่ชิเย่ประมาทมาเกินไปแล้ว ลำพังอาศัยแค่กระบี่ไม้ไผ่เล่มหนึ่งจะทำลายเสื้อราชันได้อย่างไรกันเล่า มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ช่างอวดดีว่าปราศจากผู้ต่อกรเหลือเกิน คราวนี้เท่ากับเป็นการตบหน้าตัวเองแล้วกระมัง” มีผู้บำเพ็ญตนจากบางสำนักพูดขึ้นมาท่าทางดีใจที่เห็นผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น นาทีนี้เอง ขณะที่ผู้คนจำนวนมากยังไม่ทันได้สติคืนกลับมา มองเห็นโล่ยักษ์ที่มีความสูงขนาดร้อยล้านจ้างพลันแตกละเอียดในทันที ร่างที่สูงใหญ่อย่างยิ่งร่างนั้นแตกละเอียดเป็นผุยผง นกหงส์สีเขียวครามตัวนั้นก็ร้องด้วยเสียงโศกเศร้าออกมา และแตกละเอียดไปโดยพลัน
ตูมเสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อสายลมสายหนึ่งที่พัดมาเบาๆ มองเห็นเสื้อราชันบนตัวของฝานกุ้ยซินได้กลับกลายเป็นผง หลังจากลมที่พัดโชยมาเบาๆ ผ่านไป ก็ปลิวกระจายไปทั่วฟ้าดินตามลมนั่น
ในเวลานี้ทุกคนมองเห็นดวงตาคู่นั้นของฝานกุ้ยซินเบิกกว้าง และอ้าปากกว้างด้วย เหมือนว่าเขาพยายามจะเปล่งเสียงพูดอะไรออกมาสักคำ แต่คำพูดนั้นกลับคล้ายติดอยู่ที่ลำคอไม่สามารถพูดออกมาได้
ในเวลานี้เอง ทุกคนจึงได้มองเห็นบริเวณลำคอของฝานกุ้ยซินมีเลือดค่อยๆ ซึมออกมาช้าๆ ปรากฎบาดแผลอยู่แห่งหนึ่ง และบาดแผลดังกล่าวค่อยๆ ปริออก สุดท้ายปรากฏเป็นรูเลือดขึ้นมา
เสียงปัง…ดังขึ้น สุดท้ายร่างของฝานกุ้ยซินคุกเข่าลงแล้วโน้มตัวล้มลงไปข้างหน้าอย่างแรง ถึงกับทำให้ฝุ่นฟุ้งขึ้นมา
ในเวลานี้ แม้แต่ตัวฝานกุ้ยซินเองก็ไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าตนเองสวมใส่เสื้อราชัน ถือโล่ราชันอยู่ในมือ ถึงกับไม่สามารถต้านหนึ่งกระบี่ของหลี่ชิเย่เอาไว้ได้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เขาไม่เชื่อว่าโลกนี้ถึงกับสามารถอาศัยกระบี่ไม้ไผ่เล่มหนึ่งทำลายเสื้อราชันได้
ความจริงแล้ว ใช่เพียงฝานกุ้ยซินที่ไม่อาจเชื่อได้ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดก็ไม่อยากเชื่อ มองดูภาพนี้ด้วยความงงงัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่คิดว่าหลี่ชิเย่พ่ายแพ้แล้วก่อนหน้านี้ ถึงกับรู้สึกได้ถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าว เหมือนถูกหลี่ชิเย่ตบหน้าเข้าให้อย่างแรงอย่างนั้น
ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่สามารถเชื่อได้ว่า หนึ่งกระบี่เช่นนี้ก็ทำลายเสื้อราชันได้แล้ว มันเหมือนเป็นเทพนิยายชัดๆ เหลือเชื่อจริงๆ เรื่องแบบนี้พูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ
“เสน่ห์และความสง่างามของหนึ่งกระบี่ แค่อาศัยความเร็วเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่พูดเอ้อระเหยขึ้นมาว่า “ก้าวข้ามทุกสิ่ง ล้วนกลับคืนสู่ต้นกำเนิดดั้งเดิม”
กระบี่นี้ของหลี่ชิเย่รวดเร็วเหลือเกิน มันก้าวล้ำขอบเขตวิชากระบี่ไปแล้ว ภายใต้หนึ่งกระบี่ ก้าวข้ามกาลเวลา กลับคืนสู่ต้นกำเนิดดั้งเดิม ภายใต้หนึ่งกระบี่เช่นนี้มีรึที่เสื้อราชันจะต้านเอาไว้ได้ เว้นแต่สามารถทำให้กระบี่นี้ของหลี่ชิเย่ช้าลง
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เวลาจึงค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม เมื่อครู่เหมือนว่าเวลาได้หยุดลงอย่างนั้น ในเวลานี้เวลาได้กลับมาเริ่มต้นไหลเคลื่อนไปอีกครั้ง
ปัง ปัง ปังในเวลานี้เอง บนท้องฟ้าปรากฏเสียงปะทะกันดังขึ้นเป็นระลอก และฉุดให้ผู้คนกลับจากการสะเทือนหวั่นไหว ผู้คนจำนวนมากแหงนหน้าขึ้นมอง เห็นคุณชายผิงเฉิงกำลังต่อสู่อย่างดุเดือดอยู่กับเจี้ยนจุน
เจี้ยนจุนที่หนึ่งกระบี่ในมือ ผาดโผนทั้งรุกและรับ มีท่าทีที่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า ขณะที่คุณชายผิงเฉิงกลับอาศัยกระบี่ไม้ไผ่แต่ละเล่มที่พุ่งโจมตีลงมา เหมือนว่าเขามีกระบี่ไม้ไผ่ที่ไม่มีสิ้นสุดอย่างนั้น แม้ว่ากระบี่ไม้ไผ่แต่ละเล่มของเขาจะถูกเจี้ยนจุนบดขยี้จนแหลกละเอียดไป ยังคงมีกระบี่ไม้ไผ่ที่ยุบยับมากมายพุ่งเข้าโจมตีต่อเจี้ยนจุน ไม่มีใครรู้ว่าบนตัวของเขามีกระบี่ไม้ไผ่จำนวนเท่าไรกันแน่
ในขณะนี้เอง หลี่ชิเย่แหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าทีหนึ่ง กล่าวเฉยเมยขึ้นว่า “ช้าเหลือเกิน ต้องการให้ข้าช่วยหนึ่งกระบี่หรือไม่”
“บ้าเอ๊ย ไม่ล่ะมั้ง จะมาแย่งคู่ต่อสู้ของข้าอีกแล้ว” คุณชายผิงเฉิงรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่
ตึง…เสียงหนึ่งดังขึ้น จังหวะที่คุณชายผิงเฉิงเสียสมาธิอยู่นั้น ประกายกระบี่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง พริบตาเดียวนั้นเอง กระบี่และเจี้ยนจุนนั้นผสานเป็นร่างเดียวกัน ได้กลับกลายเป็นเหมือนดั่งดาวหางหายวับไปบนเส้นขอบฟ้า หลบหนีได้รวดเร็วและตัดสินใจได้เด็ดขาดมาก
ย่อมไม่ต้องสงสัย นาทีนี้เจี้ยนจุนก็เกรงการร่วมมือกันระหว่างหลี่ชิเย่กับคุณชายผิงเฉิง หากพวกเขาทั้งสองลงมือพร้อมกันล่ะก็ ต่อให้เจี้ยนจุนอย่างเขาแข็งแกร่งสักเพียงใดก็ต้านไม่อยู่ ดังนั้นจึงหนีไปก่อนดีที่สุด รักษาชีวิตเอาไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง
“เฮ่อหนีเร็วขนาดนี้ทำไม” คุณชายผิงเฉิงร้องเสียงดังไปยังทิศทางที่เจี้ยนจุนหลบหนีไปขึ้นมาว่า “เจี้ยนจุน วันหน้ามีโอกาสค่อยมาศึกษากันอีกครั้ง”
แต่ทว่า เจี้ยนจุนหายไปในเส้นขอบฟ้านานแล้ว ส่วนจะได้ยินคำพูดของคุณชายผิงเฉิงหรือไม่นั้น ไม่อาจทราบได้
“เฮ่อ ท่านทำให้คู่ต่อสู้ของข้าตกใจจนเตลิดไปแล้ว ไม่ง่ายนักกว่าข้าจะได้พบกับคู่ต่อสู้ที่พอฟัดพอเหวี่ยงเช่นนี้ ถูกคำพูดคำเดียวของเจ้าทำเอาหนีเตลิดไป แล้วข้าจะเล่นอย่างไรต่อเนี่ย?” คุณชายผิงเฉิงถึงกับบ่นโทษว่า “พี่ใหญ่ หรือไม่ท่านก็ช่วยซื้อกระบี่ไม้ไผ่สักสามถึงห้าร้อยเล่ม เพื่อชดเชยความเจ็บปวดภายในจิตใจของข้า?”
“ไม่มีอารมณ์” หลี่ชิเย่ขึ้คร้านจะไปสนใจเขากล่าวกับหวู่ปิงหนิง และหลินซิม่อว่า “พวกเราไปกันเถอะ”
“พี่ใหญ่ ท่านอย่าไปนะ อย่าไปเลย ซื้ออีกสักเล่มเถอะ ข้าลดให้ท่านยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ไม่ สามสิบเปอร์เซ็นต์ ไม่ลดแหลกล้างสต๊อกลดให้ท่านห้าสิบเปอร์เซ็นต์” คุณชายผิงเฉิงไม่ยอมแพ้ พยายามโฆษณาขายกระบี่ไม้ไผ่ของตนอย่างเต็มที่
แต่ว่าหลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปสนใจเขา พาหวู่ปิงหนิง และหลินซิม่อหายไปบนเส้นขอบฟ้า
“ผู้อาวุโส กระบี่ไม้ไผ่สักเล่มดีไหม?” หลังจากที่หลี่ชิเย่จากไปแล้ว คุณชายผิงเฉิงไม่ยอมแพ้ได้ทำการโฆษณาให้กับระดับผู้อาวุโสของสำนักเจ้าลัทธิคนหนึ่งทันที “ดูกระบี่ไม้ไผ่นี้ของข้าสิ มันคือกระบี่ที่ปราศจากผู้ต่อกรนะเนี่ย พวกท่านไม่เห็นรึ? เมื่อครู่นี้เอง คุณชายหลี่อาศัยเพียงหนึ่งกระบี่ทำลายเสื้อราชันได้ มีกระบี่ไม้ไผ่ของข้าในมือ ให้ท่านเดินกร่างไปทั่วหล้า ซื้อสักเล่มเถอะ”
“ตกลง เอามาเล่มหนึ่ง” รุ่นอาวุโสได้แต่ซื้อเล่มหนึ่งจากคุณชายผิงเฉิงด้วยท่าทียิ้มๆ
“กระบี่ไม้ไผ่ที่สามารถทำลายเสื้อราชันได้ มีที่นี่ที่เดียว รุ่นที่เป็นที่ต้องการและขายดี ผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่าพลาดโอกาสเด็ดขาด หากพลาดไปแล้วก็ไม่มีร้านเช่นนี้อีกแล้ว รีบๆ เร่เข้ามาซื้อเร็วไว สมนาคุณเป็นพิเศษ ลดสิบเปอร์เซ็นต์” เวลานี้ คุณชายผิงเฉิงถึงกับยกเอาชื่อเสียงของหลี่ชิเย่มาโฆษณาให้กับกระบี่ไม้ไผ่ของตนเอง
โดยเฉพาะบอกว่ากระบี่ไม้ไผ่ของเขาสามารถทำลายเสื้อราชันได้ เขายิ่งดูเหมือนมีเหตุผลและพูดได้เต็มปากเต็มคำ และตบอกดังปังปังเพื่อเป็นการรับรองว่ากระบี่ไม้ไผ่ของเขาสามารถทำลายเสื้อราชันได้เด็ด่ขาด
ทุกคนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีสำหรับวิธีการของคุณชายผิงเฉิง ได้แต่ส่ายหน้า และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ซื้อกระบี่ไม้ไผ่กับเขา โดยไม่ได้สนใจว่ากระบี่ไม้ไผ่ดังกล่าวจะใช้ได้หรือไม่ อย่างน้อยคงมิตรภาพเอาไว้
ทุกคนต่างมองออกว่า ศึกครั้งนี้คุณชายผิงเฉิงไม่เห็นจะด้อยไปกว่าเจี้ยนจุน
ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้ดีว่า สองสุดยอดดาบกระบี่ในหล้าเข้าสู่ยุทธภพก่อนสามคุณชาย ผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่เข้าใจว่าสองสุดยอดดาบกระบี่ในหล้าจะต้องแกร่งกว่าสามคุณชาย แต่มาวันนี้ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างคุณชายผิงเฉิงกับเจี้ยนจุนแล้ว ทำให้ในใจบังเกิดแนวความคิดที่ใหม่ทั้งหมด สองสุดยอดดาบกระบี่ในหล้าไม่แน่ว่าจะแข็งแกร่งมากกว่าสามคุณชาย จะอย่างไรเสียคุณชายผิงเฉิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเจี้ยนจุน
…..