พลังสูงสุด คือเคล็ดวิชาที่หลี่ชิเย่สำแดงออกมาเมื่อครู่นี้ หรือจะกล่าวให้ถูกต้องกว่านี้ก็คือ มันคือหนึ่งในตำราสวรรค์นพเก้านั่นเอง
ในอดีต มันควรจะชื่อว่า ‘ตำราระลึก’ เพียงแต่ หลังจากหลี่ชิเย่ได้คิดค้นระบบการฝึกที่ใหม่ทั้งหมดขึ้นมา และเปิดหน้าใหม่ของตำราสวรรค์ขึ้นมา ‘ตำราระลึก’ จึงถูกพลิกเปิดหน้าใหม่ขึ้นมา กลายเป็นเคล็ดวิชาใหม่ทั้งหมด
‘พลังสูงสุด’ ขอเพียงสำแดงเคล็ดวิชานี้ขึ้นมา สามารถอาศัยความนึกคิดของตน และอาศัยความนึกคิดของศัตรูได้
ในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง หลี่ชิเย่ เพียงอาศัยความนึกคิดที่อยู่ในใจของยายเฒ่าเทวะล่าวายุแล้วสำแดง ‘พลังสูงสุด’ เท่านั้นเอง ภายในใจของยายเฒ่าเทวะล่าวายุนั้น ผู้ที่อยู่สูงสุดก็คือหวู่จู่นั่นเอง
พริบตาเดียวนั้น ความนึกคิดที่อยู่ในใจของยายเฒ่าเทวะล่าวายุได้ก่อเกิดหวู่จู่ขึ้นในบัดดล ก่อเกิด ‘คชสารหอมข้ามแม่น้ำ’ นาทีนี้ หวู่จู่ที่ก่อเกิดขึ้นมานั้นได้อาศัยท่วงท่าและกำลังที่สูงสุดโจมตีด้วยกระบวนท่า ‘คชสารหอมข้ามแม่น้ำ’ ทำลาย ‘คชสารหอมข้ามแม่น้ำ’ ของยายเฒ่าเทวะล่าวายุในทันที
ถ้าหากไม่เป็นเพราะการร้องขอยั้งมือ เกรงว่า ภายใต้ความนึกคิดนี้ยายเฒ่าเทวะล่าวายุคงถูกบดขยี้จนกลายเป็นเนื้อบดไปแล้ว
แน่นอน หลี่ชิเย่ก็สามารถอาศัยความนึกคิดของตนมาทำการก่อเกิด ‘พลังสูงสุด’ ขึ้นมา พลังสูงสุดที่อยู่ในใจของหลี่ชิเย่นั้นยิ่งมีความน่ากลัวมากกว่าเสียอีก น่ากลัวจนสุดที่จะเปรียบเปรยได้ กล่าวได้ว่ากรณีนี้ไม่คุ้มกับที่หลี่ชิเย่ต้องอาศัยความนึกคิดของตนมาทำให้ก่อเกิดเป็น ‘พลังสูงสุด’ ขึ้นมา!
แน่นอน คิดจะก่อเกิด ‘พลังสูงสุด’ ขึ้นมา นั่นจำเป็นต้องให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนสามารถรองรับได้ ถ้าหากว่าหวู่จู่ที่ก่อเกิดจากความนึกคิดที่อยู่ในใจของยายเฒ่าเทวะล่าวายุ แล้วจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของหลี่ชิเย่ไม่สามารถรองรับไว้ได้ล่ะก็ ยังไม่ทันได้ทำการโจมตียายเฒ่าเทวะล่าวายุ ตัวเขาเองก็ต้องถูกทำลายโดยพลังสูงสุดที่มีอานุภาพสูงสุดของหวู่จู่ไปก่อน
เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงนั้นของหลี่ชิเย่แกร่งกว่าทุกๆ สิ่ง การที่จะให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเขามารองรับผู้ดำรงอยู่ในฐานะปฐมบรรพบุรุษมันหาใช่เป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่สามารถรองรับได้อย่างชนิดที่เรียกว่าเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
‘พลังสูงสุด’! ‘ตำราระลึก’ ได้กลายเป็นรูปแบบในอดีตไปแล้ว ในมือของหลี่ชิเย่ได้กลับกลายเป็นตำราสวรรค์ที่ใหม่ทั้งหมดเล่มหนึ่ง มีชื่อว่าพลังสูงสุดนั่นเอง!
เพียงแค่บังเกิดความนึกคิดถึงหวู่ซั่งก็สามารถโจมตียายเฒ่าเทวะล่าวายุจนแตกพ่าย โดยที่หลี่ชิเย่ไม่ได้ขยับกระทั่งนิ้วมือด้วยซ้ำ
ในขณะนี้ ฟ้าดินดูเงียบสงัดยิ่งนัก ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร แรกทีเดียวมีผู้คนจำนวนเท่าไรที่คิดว่าเป็นภาพลวงตา เวลานี้ได้พิสูจน์แล้วว่านี่มันไม่ใช่ภาพลวงตา แต่ว่าทุกคนก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร และสิ่งนี้ก็ไม่น่าเป็นไปได้ว่าเป็นเคล็ดวิชา
ในโลกไหนเลยมีเคล็ดวิชาที่สามารถเรียกเอาหวู่จู่ออกมาได้ และเรียกหา ‘คชสารหอมข้ามแม่น้ำ’ ออกมาได้ นี่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
นาทีนี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ถูกทำให้ตกใจสุดขีด กระทั่งมีผู้ที่ทรุดทิ้งตัวนั่งลงกับพื้น ตกใจจนปัสสาวะรดกางเกง มันช่างน่ากลัวเหลือเกินสำหรับพลังอำนาจสูงสุด ชั่วชีวิตของพวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานกับมันได้อยู่แล้ว
“นี่มันมนต์ดำรึ?” มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจได้แม้กระทั่งระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิ กล่าวสำหรับพวกเขาแล้วเรื่องเช่นนี้มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว โลกนี้ยังจะมีใครสามารถเรียกหาหวู่จู่ได้? ยิ่งไปกว่านั้นหลี่ชิเย่ยังเป็นเพียงคนนอกคนหนึ่ง ไม่ใช่ศิษย์ของจูเซียงหวู่ถิง
หากว่าหลี่ชิเย่คือศิษย์ของจูเซียงหวู่ถิง และได้ฝึกเคล็ดวิชาของจูเซียงหวู่ถิงจนบรรลุถึงขั้นเชื่อมสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ บางทีอาจมีความเป็นไปได้ว่าสามารถเรียกหาจิตที่ยึดติดของหวู่จู่ได้ แต่หลี่ชิเย่ไม่ใช่ จึงเป็นไปไม่ได้ว่าสามารถเรียกหาจิตที่ยึดติดของหวู่จู่ได้
แต่ว่า ทุกคนต่างไมรู้เลยว่า ภาพเช่นนี้หาได้เกิดจากจิตที่ยึดติดของหวู่จู่ แต่มาจากความนึกคิดของยายเฒ่าเทวะล่าวายุ!
หวู่ปิงหนิงรู้สึกโล่งอก เมื่อเห็นว่ายายเฒ่าเทวะล่าวายุที่ถูกสยบเอาไว้นั้นยังคงมีชีวิตอยู่
ในขณะนี้ ยายเฒ่าเทวะล่าวายุที่ถูกสยบเอาไว้ก็ไม่สามารถเรียกสติกลับมาในทันที นางเองก็รู้สึกเซ่อไปโดยสิ้นเชิง ในเวลานี้ความคิดของนางกับเหล่าบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิอื่นๆ เป็นทางเดียวกัน นางเองก็เข้าใจว่าตนเองพ่ายแพ้จากการโจมตีโดยจิตที่ยึดติดของหวู่จู่ เป็นหลี่ชิเย่ที่เรียกเอาจิตที่ยึดติดของหวู่จู่พวกเขาออกมา
เมื่อเป็นดังนี้ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว หลี่ชิเย่อาศัยอะไรในการเรียกหาจิตที่ยึดติดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในโลกนี้ของหวู่จู่ออกมากันแน่?
เวลานี้ หลี่ชิเย่ถอนเอาต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งขึ้นมาตามใจ และจัดการรูดเอากิ่งก้านต่างๆ ออกไปทั้งหมด มองดูยายเฒ่าเทวะล่าวายุทีหนึ่ง และกล่าวเฉยเมยขึ้นว่า “ถ้าหากคราวหน้าให้ข้าได้พบเจ้าอีกล่ะก็ ไม่ว่าใครร้องขอก็ไร้ประโยชน์ ข้าจะตัดหัวของเจ้าออกมา” กล่าวพลางต้นไม้ใหญ่ในมือกวาดออกไปอย่างแรง
เสียงปัง…ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ลำต้นพลันฟาดถูกยายเฒ่าเทวะล่าวายุ ร่างของยายเฒ่าเทวะล่าวายุพลันปลิวออกไปเสมือนดาวตกที่หายไปยังเส้นขอบฟ้า
“ยังไม่รีบไปตามหา เกิดนางถูกสิงสาราสัตว์กินไปแล้วล่ะก็ มันเป็นเรื่องของพวกเจ้าแล้ว” หลี่ชิเย่โยนต้นไม้ที่อยู่ในมือทิ้งไป ยิ้มแต้พูดกับบรรดายอดฝีมือของจูเซียงหวู่ถิงที่ติดตามยายเฒ่าเทวะล่าวายุมา และยังคงยืนงงงันอยู่ตรงนั้น
บรรดายอดฝีมือของจูเซียงหวู่ถิงเหล่านี้เมื่อได้สติกลับมา ร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่งหันหลังจากไปทันที วิ่งไปยังทิศทางที่ยายเฒ่าเทวะล่าวายุหายตัวไปทันที พวกเขาเองก็ตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน และไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับยายเฒ่าเทวะล่าวายุ หากเป็นไปตามที่หลี่ชิเย่พูดออกมา และถูกสิงสาราสัตว์กินไปจริงๆ พวกเขากลับไปก็จะไม่สามารถอธิบายได้แล้ว
หลังจากที่ศิษย์จูเซียงหวู่ถิงได้ไปจากแล้วทั้งหมด หวู่ปิงหนิงจึงรู้สึกโล่งอกไปที และภายในใจก็รู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้าง จะอย่างไรเสียนับจากนี้นางได้หักหน้าอย่างเปิดเผยกับระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิของตนอย่างสิ้นเชิง เหมือนเช่นที่ยายเฒ่าเทวะล่าวายุได้พูดเอาไว้อย่างนั้น เท่ากับนางได้ทรยศต่อจูเซียงหวู่ถิงแล้ว
แม้จะกล่าวว่า ภายในใจของหวู่ปิงหนิงได้ตัดสินอย่างมั่นคงแล้ว แต่ จะอย่างไรเสียจูเซียงหวู่ถิงก็คือสถานที่ที่นางถือกำเนิดและชุบเลี้ยงนางขึ้นมา เป็นสถานที่ที่นางได้เติบโตขึ้นมา เวลานี้พลันต้องไปจากอย่างกะทันหัน ภายในใจของนางอดที่จะมีความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากเหมือนสูญเสียอะไรบางอย่างไป
“เจ้า เจ้าเคยฝึกเคล็ดวิชาของจูเซียงหวู่ถิงพวกเรา?” ไม่ง่ายนักกว่าหวู่ปิงหนิงจะได้สติกลับมา และจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความรู้สึกหวั่นไหวในใจยิ่ง
ในเวลานี้เอง ความคิดของหวู่ปิงหนิงก็เหมือนกับความคิดของบรรดาระดับบรรพบุรุษเหล่านั้น การที่หลี่ชิเย่สามารถเรียกหาจิตที่ยึดติดของหวู่จู่ออกมาได้ นั่นย่อมบ่งบอกว่าเขาได้ฝึกสุดยอดเคล็ดวิชาของจูเซียงหวู่ถิงพวกเขามา
อีกทั้งแนวความคิดลักษณะเช่นนี้ของหวู่ปิงหนิงดูจะมั่นคงยิ่งกว่าคนอื่นๆ เนื่องจากนางเข้าใจว่าหลี่ชิเย่มี ‘สิบสองกระบวนท่าหวู่จู่’ ในครอบครอง และหรือได้ฝึกวิชานี้มา เวลานี้เมื่อนึกให้ละเอียดอีกที ถ้าหากหลี่ชิเย่ได้ฝึก ‘สิบสองกระบวนท่าหวู่จู่’ มาแล้วจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น การที่จะเรียกหาจิตที่ยึดติดของปฐมบรรพบุรุษของพวกเขา ก็ใช่ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“คิดมากไปแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และเอ่ยขึ้น
เวลานี้หวู่ปิงหนิงทั้งตระหนกละคนกับความสงสัย แต่นางเชื่อว่าหลี่ชิเย่ไม่มีความจำเป็นต้องหลอกนาง และเขาก็จะไม่หลอกลวงนางด้วย ในเมื่อเขาไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาของจูเซียงหวู่ถิง ถ้าเช่นนั้นเพราะอะไรเขาจึงสามารถเรียกหาปฐมบรรพบุรุษของพวกเขาได้ เพราะอะไรจึงมี ‘สิบสองกระบวนท่าหวู่จู่’ ของพวกเขาอยู่ในครอบครองเล่า? ทั้งหมดเป็นสิ่งที่นางไม่อาจเข้าใจได้
ในเวลานี้เอง ทุกคนต่างจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยท่าทางที่งุนงง ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกว่ามันแปลกประหลาดยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่รับรู้ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับหลี่ชิเย่มา ยิ่งรู้สึกว่ามันเหลือเชื่อจริงๆ
“เขา เขา เขาเป็นคนวิปริตหรือ? เป็นทั้งผู้กุมอำนาจสูงสุดของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง เป็นทั้งศิษย์ลำดับที่หนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ เวลานี้ยังสามารถเรียกหาปฐมบรรพบุรุษของจูเซียงหวู่ถิง หรือว่า เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิใต้หล้าทั้งหมดอย่างนั้นรึ?” ระดับผู้อาวุโสของสำนักเจ้าลัทธิถึงกับเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย
เคยได้ยินมานานแล้วว่า หลี่ชิเย่ในฐานะผู้กุมอำนาจปกครองสูงสุดของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง สามารถควบคุมต้นกำเนิดสัจธรรมของลานกำแหง ต่อมาขณะอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ก็สามารถควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ช่วยให้พวกของนักพรตฉางเซินถล่มทำลายล้างแคว้นว่านโซ่วลงได้
เวลานี้ก็สามารถเรียกหาหวู่จู่แห่งจูเซียงหวู่ถิงได้ มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ ซึ่งทำให้ผู้คนนึกเลยไปถึงว่า มันเป็นการบ่งบอกว่าอย่างน้อยที่สุดหลี่ชิเย่ต้องได้เคยฝึกเคล็ดวิชาของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ และจูเซียงหวู่ถิงมาก่อน
หากจะกล่าวว่า บุคคลผู้หนึ่งมีเคล็ดวิชาของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิสามแห่งในตัวของคนๆ หนึ่ง นั่นแสดงว่ามันช่างวิปริตเหลือเกิน และน่ากลัวมากเหลือเกิน เกรงว่าโลกนี้คงมีไม่กี่คนที่สามารถทำได้
“ได้ยินมาว่าเมื่อครู่ที่นี่คึกครื้นมาก? เวลานี้เลิกกันไปแล้วรึ?” ในขณะนี้เอง รอยยิ้มที่สดใสได้ปรากฎขึ้น พร้อมกับเสียงที่เปิดเผยอย่างยิ่ง
นอกเหนือจากคุณชายผิงเฉิงแล้วยังจะมีใครที่สามารถมีใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มที่สดใสได้ทั้งวันเล่า เหมือนว่ารู้สึกเบิกบานใจเพราะได้กำไรมาเป็นล้านทุกเวลาอย่างนั้น
“เฮ่อข้ามาสายเสียแล้ว รู้อย่างนี้ข้าจะมาให้เร็วกว่านี้” เมื่อคุณชายผิงเฉิงเห็นว่าไม่มีความคึกครื้นใดๆ ถึงกับเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกเสียใจ
“จะมีความคึกครื้นเร็วๆ นี้แล้วล่ะ” พลันที่คุณชายผิงเฉิงพูดขาดคำ เสียงที่เย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น เวลานี้ปรากฏเงาสายหนึ่งไปอยู่ที่ยอดเขาอีกลูกหนึ่ง
เจี้ยนจุน…ทุกคนสามารถจดจำได้โดยพลัน เมื่อได้มองเห็นคนผู้นี้
ไม่นานก่อนหน้า คุณชายผิงเฉิงเพิ่งต่อสู้กันอย่างดุเดือดมารอบหนึ่ง สุดท้ายเจี้ยนจุนได้หลบหนีไป เวลานี้เจี้ยนจุนได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งอยู่เหนือความคาดคิดของผู้คน
มีผู้ที่พึมพำขึ้นมาว่า “ความคึกครื้นกำลังจะแสดงแล้ว” เมื่อเห็นว่าทั้งคุณชายผิงเฉิง และเจี้ยนจุนต่างมากันแล้ว
“เจี้ยนจุนต้องการสู้กับข้าอีกสักยกหนึ่งรึ?” คุณชายผิงเฉิงไม่รู้สึกเหนือความคาดคิดแม้แต่น้อย พูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“พี่ผิงเฉิง อยากต่อสู้อีกสักยกก็คงไม่ต้องรีบร้อนขนาดนี้กระมัง” เวลานี้เสียงที่เปี่ยมด้วยพลังเสียงหนึ่งดังขึ้น ปรากฏคนอีกผู้หนึ่งไปอยู่บนยอดเขาอีกลูกหนึ่ง เหมือนว่าเขาก็เจี้ยนจุนอยู่ในลักษณะของคนหนึ่งอยู่หน้า คนหนึ่งอยู่หลัง
เขาเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ผมของเขาปลิวไสวไปตามลม หน้าตาหล่อเหลาดูเท่ บนตัวของเขาได้แผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมาสายหนึ่ง ที่สะดุดตาผู้คนมากที่สุดก็คือ เขาถึงกับมีแขนถึงแปดแขน แขนทั้งแปดของเขาส่งประกายเจิดจรัส เหมือนว่าหล่อขึ้นมาจากทองคำอย่างนั้น
“คุณชายพานหลง…” มีผู้ร้องเสียงดังขึ้นทันทีเมื่อได้เห็นชายหนุ่มผู้นี้
“สามคุณชายมาแล้วสอง” มีผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกของตระกูลขุนนางโบราณกล่าวด้วยท่าทีที่เหนือความคาดคิด
ในขณะนี้ ทุกคนต่างจ้องมองไปที่ชายหนุ่มผู้มีแขนแปดแขนผู้นี้ ทุกคนพลันได้รอคอยกันแล้วล่ะ ความคึกครื้นกำลังจะได้แสดงกันแล้ว
คุณชายพานหลง ผู้สืบทอดของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิพานหลง หนึ่งในสามคุณชาย ลือกันว่าเขาอยู่ในฐานะว่าที่ราชันแท้จริงแล้ว เท็จจริงอย่างไรไม่มีใครทราบ
คุณชายพานหลงไม่เพียงเป็นผู้สืบทอดของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิพานหลงเท่านั้น ขณะเดียวกันยังเป็นอัจฉริยะบุคคลที่ยอดเยี่ยมของเผ่าแปดแขน แขนทั้งแปดของเขาเกิดจากการฝึกจนกลายเป็นส่งประกายสีทองระยิบระยับ และมีอานุภาพไม่มีสิ้นสุด
“คุณชายพานหลงต้องการต่อสู้อย่างนั้นรึ?” เมื่อคุณชายผิงเฉิงเห็นคุณชายพานหลงแล้วก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ และไม่รู้สึกเหนือความคาดคิด ยังคงมีใบหน้าที่มีรอยยิ้มสดใส
คุณชายพานหลง และคุณชายผิงเฉิง ทั้งสองไม่เพียงเป็นหนึ่งในสามคุณชาย ขณะเดียวกันพวกเขาทั้งสองต่างมีชาติกำเนิดมาจากระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิพานหลง
เคยมีผู้กล่าวเอาไว้ว่า หากว่ากันด้วยเรื่องของศักยภาพ เกรงว่าคุณชายหุยชุนคงไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะเทียบเคียงกับคุณชายพานหลงและคุณชายผิงเฉิง เพียงแต่วิชาปรุงกลั่นยาเม็ดของเขายอดเยี่ยมมากเหลือเกิน ดังนั้น จึงถูกผู้คนจัดให้เข้าไปอยู่ในสามคุณชายอย่างฝืนๆ
เวลานี้ทั้งคุณชายพานหลงและคุณชายผิงเฉิงต่างมากันแล้ว อีกทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น คุณชายผิงเฉิงกับราชวงศ์แปดแขนมีความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นมิตร เกรงว่าการพบกันในครั้งนี้ของพวกเขา คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องต่อสู้กันยกใหญ่แล้วล่ะ
…………………………………………………