ในเวลานี้เอง ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ถูกดึงดูดความสนใจมาอยู่ที่ผนังหินที่อยู่ตรงหน้า และไม่รู้ว่ามีระดับบรรพบุรุษที่ดวงตาคู่นั้นของพวกเขาที่เบิกกว้างสุดๆ หวังจะมองเห็นความนัยอะไรบางอย่างจากผนังหินด้านนี้
“มีกระดูกเต๋าขนาดใหญ่เช่นนี้จริงหรือ? นี่ นี่ นี่มันไม่น่าเป็นไปได้กระมัง” ภายในใจของบางคนไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก แม้จะกล่าวว่ามีกระดูกเต๋าในเมืองปี้โซ่วเฉิงจริงๆก็ตาม แต่กระดูกเต๋าที่ทุกคนรู้มานั้น มันก็แค่ขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้นเอง
“ผนังหินที่อยู่ตรงหน้ามีขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารเพียงใด ในโลกนี้ไหนเลยจะมีกระดูกเต๋าที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้กันเล่า? มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วมิใช่รึ?”
แม้ว่าภายในใจของบางคนรู้สึกว่ายากจะเชื่อ แต่เทพกระบี่กูตู๋ยังยืนยันว่านี่คือกระดูกเต๋าชิ้นหนึ่ง พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปปฏิเสธ
“เกรงว่า นี่ นี่จะเป็นกระดูกเต๋าชิ้นหนึ่ง” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเทพแท้จริงดาบสังหาร หรือจะเป็นเทพหมื่นแขนล้วนแล้วแต่สามารถยืนยันได้ว่านี่คือกระดูกเต๋าชิ้นหนึ่งจริงๆ
แม้ว่าพวกเขาเองก็รู้สึกว่ายากที่จะจินตนาการได้ กระดูกเต๋าลักษณะเช่นนี้ออกจะมีขนาดใหญ่มากเกินไปแล้วกระมัง เป็นกระดูกเต๋าที่เท่าๆ กับผนังหินด้านหนึ่งเต็มๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่สุดจะจินตนาการได้
แต่ว่า พวกเขาได้ทำการพินิจพิเคราะห์มาแล้วรอบหนึ่ง พวกเขาก็สามารถยืนยันได้ว่า ผนังหินด้านนี้คือกระดูกเต๋าชิ้นหนึ่งจริงๆ ด้วยกระดูกเต๋าชิ้นลักษณะเช่นนี้ เกรงว่าคงเป็นกระดูกเต๋าชิ้นใหญ่ที่สุดในโลกแล้วล่ะ
“นี่ นี่มันมองไม่ทะลุจริงๆ” สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเทพแท้จริงดาบสังหาร หรือว่าเทพหมื่นแขน พวกเขาล้วนแล้วแต่ ต้องยอมแพ้ ในด้านนี้พวกเขาเทียบไม่ได้กับเทพกระบี่กูตู๋จริงๆ
แต่ว่า เทพกระบี่กูตู๋ก็ไม่สามารถบรรลุถึงความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของกระดูกเต๋านี้ได้ เขาครุ่นคิดพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด แม้ว่าไม่สามารถบรรลุได้ แต่ว่า เขาก็ไม่ยอมปล่อยผ่านไป
“นี่คือสุดยอดกระดูกเต๋าที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองอย่างนั้นรึ?” แม้แต้เทพแท้จริงดาบสังหารกับเทพหมื่นแขนก็แน่ใจแล้วว่ามันคือกระดูกเต๋าชิ้นหนึ่ง ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ไม่สงสัยหรือตั้งข้อสงสัยอีกต่อไปว่าผนังหินที่อยู่ตรงหน้าใช่กระดูกเต๋าหรือไม่อีกต่อไปแล้ว
ผนังหินทั้งด้านล้วนแล้วแต่เป็นกระดูกเต๋า ช่างเป็นสิ่งที่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนเหลือเกิน มีระดับบรรพบุรุษที่ถึงกับพึมพำออกมาด้วยความใจหายใจคว่ำว่า “เล่าลือกันว่า ราชันแท้จริงเต้าเจี่ยแค่ได้กระดูกเต๋าเท่าฝ่ามือมาชิ้นหนึ่ง ก็สำเร็จกลายเป็นราชันแท้จริงที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งที่สุดแล้ว หากบรรลุกระดูกเต๋าที่อยู่ตรงหน้านี้มิกลายเป็นปราศจากผู้ต่อกรไปตลอดกาลรึ?”
ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกใจเต้นตูมตาม และอยากได้ครอบครองเป็นอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ แต่ทว่า ไม่ว่าพวกเขาจะเบิ่งตากว้างสุดๆ จ้องมองไปก็ยากจะมองออกถึงความนัยได้แม้แต่นิดเดียว
ในใจของหวู่ปิงหนิงเองก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา เมื่อถูกเทพกระบี่กูตู๋เฉลยออกมา เวลานี้มองเห็นทุกคนล้วนแล้วแต่พุ่งความสนใจไปอยู่กับกระดูกเต๋าชิ้นนั้น ทำให้หวู่ปิงหนิงแอบหายใจด้วยความโล่งอก
จังหวะที่หวู่ปิงหนิงกำลังหายใจด้วยความโล่งอกนั้น ในเวลานี้คุณชายพานหลง และเจี้ยนจุนทั้งสองสบตากันทีหนึ่ง แล้วทั้งสองก็ได้ก้าวเดินเข้ามาทันที
เมื่อหวู่ปิงหนิงเห็นคุณชายพานหลง และเจี้ยนจุนเดินเข้ามาพลันรู้สึกเย็นวาบในใจ สิ่งที่นางกังวลมากที่สุดท้ายสุดแล้วยังคงเกิดขึ้น
“หลี่ชิเย่ วันนี้พวกเรามาตัดสินความเป็นความตายกัน!” เวลานี้คุณชายพานหลงได้กล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “กล้าสู้กับพวกเราสักครั้งหรือไม่!”
การที่คุณชายพานหลงก้าวออกมาท้าสู้หลี่ชิเย่กะทันหันเช่นนี้ ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองตากันและกัน ทุกคนต่างรู้ดีว่าหลี่ชิเย่ในเวลานี้กำลังเข้าฌานเพื่อบรรลุสัจธรรม ไม่สามารถรับคำท้าได้อยู่แล้ว
แต่ว่าทุกคนก็เข้าใจได้ว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่หลี่ชิเย่อ่อนแอมากที่สุด เขากำลังเข้าฌานบรรลุสัจธรรมหากถูกรบกวน อย่างเบาก็คือธาตุไฟเข้าแทรก หนักคือเสียชีวิต ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า กล่าวสำหรับพวกของคุณชายพานหลงแล้ว เวลานี้คือโอกาสที่เหมาะทีสุด
ที่พวกของคุณชายพานหลงส่งเสียงร้องท้าทายนั้นเป็นเพียงหาข้ออ้างเท่านั้นเอง พวกเขาจะถือโอกาสเช่นนี้และจัดการกำจัดหลี่ชิเย่ไปเสีย
สำหรับพวกของเทพหมื่นแขนที่เป็นระดับบรรพบุรุษได้แต่ยืนดูด้วยท่าทีเฉยเมย และไม่ห้ามปรามพวกของคุณชายพานหลง
แม้จะกล่าวว่า พวกเขาที่เป็นระดับบรรพบุรุษรุ่นอาวุโสจะไม่ต้องการทำเรื่องเช่นนี้ แต่เมื่อมีคนหนุ่มไปทำเรื่องสกปรกเช่นนี้ ไหนเลยพวกเขาจะไม่ยินดี
“ถ้าหากคุณชายพานหลงต้องการท้าสู้กับคุณชายพวกเรา ให้นัดเวลาและสถานที่มา คุณชายพวกเรายินดีตอบสนอง” หวู่ปิงหนิงกล่าวน้ำเสียงเย็นชา
“เลือกวันมิสู้วันชง” เจี้ยนจุนหัวเราะและกล่าวว่า “ตอนนี้ก็แล้วกัน ทำไมจะต้องมานัดเวลาและสถานที่อีก ตามความเห็นของข้า ที่ตรงนี้ก็เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การต่อสู้ชี้ขาดมากเช่นกัน ตัดสินชี้ขาด ณ ที่ตรงนี้เวลานี้ก็แล้วกัน”
“หากเป็นเช่นนี้ นับข้าอีกคนก็แล้วกัน” องค์ชายดาบมารยิ้มกล่าวเยือกเย็นขึ้นมา
ผู้คนจำนวนไม่น้อยแอบรู้สึกใจหายใจคว่ำเมื่อเห็นพวกขององค์ชายดาบมารสามคนจะฉวยโอกาสร่วมมือกันกำจัดหลี่ชิเย่ หลายคนสบตากันและกัน แม้จะกล่าวว่าในใจของคนบางคนรังเกียจในพฤติกรรมของพวกองค์ชายดาบมาร แต่ว่า คำโบราณคำหนึ่งว่าไว้ก็ไม่ผิด ถือโอกาสที่เขากำลังป่วย เอาชีวิตเขาเสีย
เวลานี้เป็นเวลาที่หลี่ชิเย่อ่อนแอที่สุด หากไม่เอาชีวิตเขาเวลานี้จะรอไปถึงเมื่อไรกัน
“แค่โจรที่ขี้ขลาดเท่านั้นเอง” หวู่ปิงหนิงไหนเลยจะไม่เข้าใจในความคิดของพวกองค์ชายดาบมารสามคน นางจ้องมองพวกเขาเย็นชา มองหน้าพวกเขาอย่างเย้ยหยัน และกล่าวเยาะเย้ยว่า “ขณะอยู่นอกเมืองปี้โซ่วเฉิง พลันที่กระบี่คุณชายของเราออกจากฝัก พวกเจ้าก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ หนีหัวซุกหัวซุน มาวันนี้เกิดใจกล้าขึ้นมากะทันหัน มันก็แค่ฉวยโอกาสที่คนอื่นเขากำลังอยู่ระหว่างอันตรายเท่านั้น”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหวู่ปิงหนิงเป็นการแกะแผลของพวกองค์ชายดาบมารของอย่างแรง ครั้งนั้นขณะอยู่นอกเมืองปี้โซ่วเฉิง กระบี่ไวของหลี่ชิเย่พลันสำแดงออกมา ทำเอาพวกองค์ชายดาบมารสามคนล่าถอยไปใกลทันที เรียกได้ว่าเป็นความอัปยศของพวกเขาเลยทีเดียว
เวลานี้พลันถูกหวู่ปิงหนิงพูดออกมา นั่นเท่ากับแกะแผลพวกเขาอย่างแรง ทำให้พวกเขามีสีหน้าที่แดงก่ำ ดูไม่จืดถึงขีดสุด ทั้งโกรธทั้งอับอาย กระทั่งเรียกได้ว่าพาลโมโหขึ้นมา
“เทพธิดาสงคราม เจ้าร่วมกับจอมมารไม่ใช่คนของฝ่ายธรรมะอีกต่อไป เกรงว่าเจ้าเองก็ยากจะหนีความตายไปได้พ้น” ใบหน้าของเจี้ยนจุนแดงก่ำ ชักสีหน้าและกล่าวน่าเกรงขามขึ้นมา
“สุดแล้วแต่พวกเจ้าจะพูด” หวู่ปิงหนิงมองไปรอบๆ อย่างเยือกเย็นและทระนง ต่อให้ถูกผู้คนทำลายชื่อเสียงนางก็ไม่ใส่ใจ หัวเราะเยือกเย็นและกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้าคิดจะท้าสู้กับคุณชายพวกเรา เช่นนั้นข้าจะสู้กับพวกเจ้า ผ่านด่านข้าไปก่อน”
พลันที่หวู่ปิงหนิงพูดออกมาคำหนึ่งว่าต้องการท้าสู้กับพวกองค์ชายดาบมารสามคนกะทันหัน ทำให้ผุ้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างสบตากันและกัน เวลานี้ทุกคนต่างจ้องมองไปที่พวกเขา
“เทพธิดาสงครามย่อมเป็นเทพธิดาสงคราม ไม่เสียทีที่เป็นผู้สืบทอดของจูเซียงหวู่ถิง” มีผู้ที่พูดทอดถอนใจออกมา
คุณชายพานหลงถึงกับโกรธเคืองยิ่งนัก กล่าวน่าเกรงขามว่า “เทพธิดาสงคราม เจ้าออกจะสำคัญตนเองมากไปแล้วกระมัง เจ้าคิดว่าอาศัยกำลังของเจ้าคนเดียวจะเป็นคู่ต่อสู้พวกเราได้รึ?”
จะไปโทษคุณชายพานหลงที่โกรธแค้นยิ่งในใจก็ไม่ถูก ก่อนหน้านี้ไม่นาน พวกเขาทั้งสามร่วมมือไม่สามารถสังหารคุณชายผิงเฉิงได้ ทำให้ชื่อเสียงขอคุณชายผิงเฉิงอยู่เหนือพวกเขา ภายหลังยังถูกหนึ่งกระบี่ของหลี่ชิเย่จนหนีเตลิดไป เรียกได้ว่าช่วงนี้พวกเขาลงมือทุกครั้งก็ไม่ราบรื่นเสียเลย เวลานี้มาถูกหวู่ปิงหนิงท้าทายเช่นนี้ เป็นการทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาตกต่ำจนถึงขีดสุดไปแล้ว
ควรรู้ว่า พวกเขาสามคุณชาย และสองสุดยอดดาบกระบี่ โดยหลักการแล้วสมควรเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ของแดนลัทธิพรรษในยุคนี้ที่ดำรงอยู่ในฐานะยอดเยี่ยมที่สุด พวกเขาถูกท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาได้รับความเสียหาย แล้วจะไม่ให้คุณชายพานหลงโกรธจัดในใจได้อย่างไร
วันนี้หากพวกเขาเอาชนะหวู่ปิงหนิงไม่ได้ล่ะก็ พวกเขาทั้งสามคงไม่มีที่ยืนในแดนลัทธิพรรษอีกต่อไปแล้ว
“พวกเจ้าลองดูก็จะรุ้เอง” ต่อให้หวู่ปิงหนิงต้องอาศัยหนึ่งสู้กับสามคน นางก็ยังคงทีท่าทีเย็นชา กวาดตามองพวกเขาอย่างเย้ยหยัน
“ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ขอคำชี้แนะจากสุดยอดวิชาของเทพธิดาสงครามสักครั้ง” องค์ชายดาบมารหัวเราะเสียงดัง เทียบกับคุณชายพานหลงและเจี้ยนจุนที่ค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตนแล้ว องค์ชายดาบมารกลับปล่อยวางได้มากกว่า
ในเมื่อมีโอกาสหนึ่งต่อสาม องค์ชายดาบมารย่อมไม่ปล่อยโอกาสเช่นนี้ผ่านไปอยู่แล้ว
“ตกลง เช่นนั้นแล้วพวกเราก็ขอรับการสั่งสอนจากสุดยอดวิชาในหล้าของจูเซียงหวู่ถิง” เจี้ยนจุนก็ถือโอกาสไม่สนเรื่องชื่อเสียงอีกต่อไปให้มันรู้แล้วรู้รอดไป และหัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา
ตึง…เวลานี้เจี้ยนจุนได้ชักกระบี่ยาวออกจากฝักช้าๆ ประกายเยือกเย็นสาดส่องเข้าไปในตาทั้งสองของทุกคน ความน่ากลัวของประกายกระบี่ทำให้ผู้คนไม่กล้าจ้องมอง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมจะไม่ได้?” คุณชายพานหลงหัวเราะเย็นชา กล่าวเสียงเยือกเย็นว่า “ในเมื่อเทพธิดาสงครามต้องการฝังไปพร้อมกับจอมมาร พวกเราสงเคราะห์ให้ก็แล้วกัน” กล่าวขาดคำปรากฎเสียงตูมดังสนั่นขึ้นมา แขนทั้งแปดของเขาค่อยๆ ชูเอาของวิเศษยอดเยี่ยมแปดชิ้นขึ้นมา พวยพุ่งพลังที่แข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรออกมา สยบทั่วทุกแดน
กล่าวสำหรับคุณชายพานหลงแล้ว ในใจของเขารู้สึกอึดอัดมาก เริ่มจากคุณชายผิงเฉิงอาศัยคนเดียวลำพังสู้กับพวกเขาสามคน เวลานี้ก็มีหวู่ปิงหนิงที่อาศัยคนเดียวสู้กับพวกเขาสามคนอีก เหมือนว่าใครก็สามารถท้าสู้กับพวกเขาสามคนได้อย่างนั้น พวกเขาคือยอดอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคนะ!
แว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น เวลานี้องค์ชายดาบมารปรากฏดาบมารในมือ ส่งกลิ่นอายมาที่น่ากลัววูบวาบออกมา ตัวขององค์ชายดาบมารถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยกลิ่นอายมารทั้งร่าง ทำให้ผู้พบเห็นถึงกับร่างสั่นเทิ้ม
หวู่ปิงหนิงไม่กล้าประมาทศัตรู เมื่อเห็นพวกขององค์ชายดาบมารทั้งสามต่างมีอาวุธในมือ คราวนี้นางเก็บเอากระบี่ยาวของตนขึ้น ได้ยินเสียงดังแช้งค์เสียงหนึ่ง เวลานี้นางได้เปลี่ยนอาวุธเป็นง้าวเล่มหนึ่ง
ตูม…เสียงดังสนั่นขึ้น นาทีนี้ คุณชายพานหลงจัดการเสกเอาตราประทับวิเศษขึ้นมาเป็นลำดับแรก แต่ตราประทับวิเศษดังกล่าวไม่ได้ใช้โจมตีหวู่ปิงหนิง แต่มันไปลอยอยู่เหนือศีรษะ และทิ้งหลักกฎเกณฑ์สัจธรรมลงมาเป็นสายดั่งน้ำตก ทำการปกป้องตัวเขาเอาไว้อย่างมิดชิด
เสียงตึง ตึง ตึงดังขึ้น นาทีนี้เจี้ยนจุนก็ยกมือซ้ายขึ้น ปรากฏกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ขนาดยักษ์แต่ละเล่มลอยขึ้นมา กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ทุกเล่มลอยล่องอยู่รอบๆ ตัวของเขา และหมุนวนไปอย่างช้าๆ กลายเป็นกำแพงกระบี่ที่มีขนาดใหญ่โตสุดเทียบเทียม ทำการห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้
สำหรับองค์ชายดาบมารนั้นอาศัยการสำแดงวิชาล่องหนหายตัวโดยตรง หายตัวไปโดยพลัน
เมื่อครู่นี้พวกของเจี้ยนจุนต่างมองเห็นวิชาล่องหนและลอบสังหารของหวู่ปิงหนิงมาแล้ว ดังนั้นพลันที่เริ่มต้นพวกของเจี้ยนจุนก็อาศัยท่วงท่าของการป้องกัน เพื่อกันไม่ให้ถูกหวู่ปิงหนิงลอบโจมตี
“ฆ่า…” หวู่ปิงหนิงไม่พูดให้มากความ ส่งเสียงคำรามแล้วหายตัวไปทันที
พริบตาเดียวนั้นเอง พวกของเจี้ยนจุนต่างเปิดเนตรฟ้าขึ้น สาดส่องไปทั่วฟ้าดินหวังหาตัวหวู่ปิงหนิงให้พบ แต่กลับทำไม่สำเร็จ
ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น พริบตาเดียวนั่นเอ ง้าวที่ทะลุผ่านอากาศ ทำให้องค์ชายดาบมารถูกบีบให้ปรากฎตัวออกมาทันที องค์ชายดาบมารคำรามเสียงยาว เห็นเป็นเงาดาบของดาบมารที่ดังคลื่นยักษ์ในทันที
…………………………………………………