ปี้โซ่วที่คล้ายวัวขุยหนิวทุกพวกของหลี่ชิเย่เดินทางต่อไปยังส่วนที่ลึกเข้าไปอีก ขณะที่เดินผ่านผนังหินด้านหนึ่งนั้น ดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่พลันเพ่งตรงไปข้างหน้า และยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า น่าสนใจ ในเวลานี้เขาได้ลุกขึ้นยืน
พรรคพวก เจ้าไปเถอะ หลี่ชิเย่ตบหัวของปี้โซ่วที่คล้ายวัวขุยหนิว จากนั้นก็กระโดดลงมา
หวู่ปิงหนิง และหลินซิม่อต่างทยอยกันกระโดดลงมาเมื่อเห็นหลี่ชิเย่กระโดดลงมาจากบ่าของปี้โซ่วที่คล้ายวัวขุยหนิว
ปี้โซ่วที่คล้ายวัวขุยหนิวไม่สนใจหรอกนะว่าพวกหลี่ชิเย่จะนั่งต่อไปหรือไม่ มันไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นก็หายไปท่ามกลางภูเขาประหลาดเสียแล้ว
หลังจากที่ปี้โซ่วที่คล้ายวัวขุยหนิวหายตัวไปแล้ว หลี่ชิเย่ แหงนหน้าขึ้นมองดูผนังหินที่อยู่ตรงหน้า ทั้งหวู่ปิงหนิง และหลินซิม่อต่างทยอยกันเงยหน้ามองดูผนังหินด้านนี้
ผนังหินด้านนี้ปรากฏอยู่บนภูเขาลูกที่อยู่ตรงหน้านี้ มันอยู่กึ่งกลางของเขาลูกนี้ ด้านล่างผนังหินถึงกับมีหินยาวที่นูนขึ้นมาเหมือนหินใต้ชายคาบ้าน มองจากระยะห่างไกลคล้ายเป็นขอบคันหินที่ล้อมรอบผนังหินด้านนี้และหมุนไปโดยรอบอย่างนั้น
หวู่ปิงหนิง กับหลินซิม่อมองดูผนังหินด้านนี้อย่างละเอียด พวกนางไม่สามารถมองเห็นความนัยแต่อย่างใด เหมือนว่ามันเป็นเพียงผนังหินที่ธรรมดาๆ จนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรมากไปกว่านี้อีกแล้วเท่านั้นเอง
ผนังหินด้านนี้ไม่ได้ราบเรียบแต่อย่างใด มันคล้ายดั่งผนังหินจำนวนมากอย่างนั้นที่มีส่วนที่เป็นหลุมเป็นบ่อมากมาย และมีเศษหินจำนวนไม่น้อยที่ปะปนแทรกอยู่ท่ามกลางผนังหินด้านนี้ มองดูแล้วมีส่วนที่นูนออกมาอยู่ไม่น้อยทีเดียว สภาพโดยรวมของผนังหินกล่าวได้ว่าไม่เรียบเสมอกันเลย
ผนังหินด้านนี้มีสีออกเป็นสีเทาอ่อน เหมือนเป็นหินที่พบเห็นได้ทั่วไป อีกทั้งบนผนังหินยังมีหลายแห่งที่มีต้นหญ้าขึ้นมา
ลักษณะของผนังหินเช่นนี้ดูไปแล้วเรียกว่าธรรมดาเหลือเกิน ไม่เห็นมีความพิเศษตรงไหน
แต่ทว่า หลี่ชิเย่กลับถูกมันดึงดูดเอาไว้ในทันที เหมือนว่านี่คือหญิงงามอย่างนั้น ซึ่งเป็นอะไรที่หวู่ปิงหนิงและหลินซิม่อไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เวลานี้ หลี่ชิเย่กระโดดขึ้นไปและไปยืนอยู่บนหินชายคาบ้าน ยื่นมือไปลูบคลำผนังหินที่ดูหยาบกระทั่งทิ่มบาดมือนั่น หลี่ชิเย่ลูบคลำอย่างแผ่วเบาด้วยท่วงท่าที่ดูนุ่มนวลมาก เหมือนเป็นการลูบคลำผิวกายของคนรักอย่างนั้น
เวลานี้หวู่ปิงหนิง และหลินซิม่อต่างทยอยกันกระโดดขึ้นไป ติดตามหลี่ชิเย่ขึ้นไปยืนอยู่บนหินชายคา
ช่างงดงามไร้ที่ติเหลือเกิน นี่มันเรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดเลยนะเนี่ย หลี่ชิเย่ลูบคลำผนังหินด้านนี้เบาๆ ถึงกับพูดออกมาจากใจ
ทั้งหวู่ปิงหนิง และหลินซิม่อต่างงงเป็นไก่ตาแตก ในสายตาของพวกเขาผนังหินลักษณะเช่นนี้ไม่มีอะไรที่ดูธรรมดามากไปกว่านี้อีกแล้ว ในโลกภายนอกผนังหินเช่นนี้สามารถพบเห็นได้ทุกที่ มันสมบูรณ์แบบไร้ที่ติได้อย่างไรกับผนังหินลักษณะเช่นนี้
ในขณะนี้หลินซิม่อก็ได้ยื่นมือออกไปลูบคลำผนังหินด้านนี้ อย่างไรก็ตาม ผนังหินด้านนี้ก็แค่ผนังหินธรรมดาๆ ด้านหนึ่งเท่านั้น พื้นผิวของผนังหินหยาบมาก กระทั่งทิ่มมืออยู่บ้างด้วยซ้ำ ไม่ได้ตรงกับคำว่างดงามไร้ที่ติอย่างสิ้นเชิง
นี่ นี่ทำไมถึงงดงามไร้ที่ติเล่า? หวู่ปิงหนิงไม่สงสัยในตัวหลี่ชิเย่ แต่ว่านางเพียงแปลกใจเท่านั้นเอง เนื่องจากนางมองถึงความลึกซึ้งยอดเยี่ยมในนั้นไม่ออก มองไม่เห็นความลึกลับที่อยู่ข้างในโดยสิ้นเชิง
ดูให้ดีล่ะ ในเวลานี้เอง นิ้วมือของหลี่ชิเย่ดุจดังเทพจากแดนไกลอย่างนั้น มีจังหวะและท่วงทำนองอย่างหนึ่งที่บอกไม่ถูก มองเห็นเพียงนิ้วมือของเขาจี้แตะลงบนผนังหินเบาๆ
ได้ยินเสียงปุดังขึ้นเสียงหนึ่ง พริบตาเดียวนั่นเอง สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือผนังหินเสียที่ไหน มันเหมือนน้ำในบึง จังหวะที่เสียงปุดังขึ้น เสมือนดั่งคลื่นน้ำที่กระเพื่อมอย่างนั้น ทำให้เกิดเป็นระลอกคลื่นขึ้นมา
พริบตาเดียวนั่นเอง สิ่งที่พวกหวู่ปิงหนิงมองเห็นนั้นหาใช่เงาสะท้อนของตนเอง อีกทั้งสิ่งที่พวกนางทั้งสองมองเห็นนั้นล้วนแล้วแต่แตกต่างกัน พริบตาเดียวนี้หวู่ปิงหนิงคล้ายมองเห็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งโลกหนึ่ง เหมือนว่าท่ามกลางเสียงปังที่ดังขึ้น เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงของจักรวาล โลกๆ หนึ่งกำลังจะถือกำเนิดขึ้นมาอย่างนั้น
แต่ทว่า มันมาเร็วไปเร็ว ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงแวบเดียวผ่านไปเท่านั้น หวู่ปิงหนิงยังไม่ทันมองเห็นได้ชัดเจน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่หายไปแล้วในทันที
ขณะที่ทุกสิ่งที่หลินซิม่อมองเห็นนั้นยิ่งสั้นลงมากขึ้นไปอีก ในพริบตาเดียวนั้น นางเสมือนหนึ่งมองเห็นสุดยอดกระบี่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเล่มหนึ่ง พลันที่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ปรากฏ มันได้ซ่อนความลับสวรรค์ไม่มีสิ้นสุดเอาไว้ แต่ทว่า เมื่อกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ปรากฏก็พลันหายไปทันที นางอยากจะมองเห็นอีกเป็นครั้งที่สองก็ไม่มีโอกาสเสียแล้ว
ในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง ทั้งหวู่ปิงหนิงและหลินซิม่อต่างถูกทำให้หวั่นไหว เมื่อพวกนางได้สติกลับมาและมองดูให้ละเอียดอีกครั้ง ผนังหินยังคงเป็นผนังหิน ยังคงไม่มีอะไรที่พิเศษแต่อย่างใด เมื่อเอามือลูบคลำมันยังคงหยาบและทิ่มมืออยู่บ้างเหมือนเดิม
ในเวลานี้ ทำให้รู้สึกฉงนว่าเมื่อครู่นี้ตนเองเพ้อฝันหรือจินตนาการไปเองใช่หรือไม่ แต่สติบอกหวู่ปิงหนิงว่านี่หาใช่เป็นจินตนาการอะไรอย่างแน่นอน สิ่งที่นางมองเห็นเมื่อครู่เป็นความจริงแน่นอน
นี่ นี่มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่? หวู่ปิงหนิงเมื่อได้สติกลับมา อดที่จะกล่าวด้วยความหวั่นไหวไม่ได้
เพราะว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเจ้าก็คือกระดูกเต๋าชิ้นหนึ่ง หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
กระดูกเต๋า ชิ้น ชิ้นหนึ่ง ทั้งหวู่ปิงหนิงและหลินซิม่อต่างอ้าปากตาค้างเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ แลกล่าวว่า ผนังหินทั้งด้านนี้รึ?
ถูกต้อง ไม่ผิด คือผนังหินด้านนี้ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าพวกเจ้านี่แหละ หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
ในเวลานี้ทั้งหวู่ปิงหนิงและหลินซิม่อพวกนางต่างรู้สึกงงงัน โดยเฉพาะหวู่ปิงหนิง นางเองเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับกระดูกเต๋ามา โดยปรกติแล้วกระดูกเต๋าก็มีขนาดเท่าฝ่ามือ หรือหากใหญ่ขึ้นไปอีก เกรงว่าก็คงประมาณเท่าอ่างล้างหน้าเท่านั้น
แต่ว่า ผนังหินที่อยู่ตรงหน้าช่างมีขนาดใหญ่อะไรอย่างนั้น นี่มันคือกระดูกเต๋าที่ใหญ่จนสุดจะจินตนาการได้นะเนี่ย โลกนี้มีกระดูกเต๋าใหญ่ขนาดนี้จริงรึ?
นี่ นี่ออกจะใหญ่เกินไปแล้วกระมัง หวู่ปิงหนิงถึงกับพึมพำขึ้นมา
ฉะนั้น นี่จึงเป็นกระดูกเต๋าที่นำติดตัวไปได้ชิ้นหนึ่ง หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า ต้นกำเนิดของมันมีความดึกดำบรรพ์ ดึกดำบรรพ์มากๆ อีกทั้งประวัติความเป็นมาก็สะเทือนฟ้าอย่างยิ่ง กระดูกเต๋าลักษณะเช่นนี้ไม่รู้ว่ามีความล้ำค่าเท่าไรเมื่อเทียบกับคัมภีร์เซียนแรกเริ่มของเต๋าเล่มหนึ่ง
ไม่ง่ายนัก กว่าหวู่ปิงหนิง กับหลินซิม่อจึงได้สติกลับมา หวู่ปิงหนิงเลียนแบบหลี่ชิเย่ยื่นนิ้วออกไปจี้สัมผัสกับผนังหินด้านนี้ แต่ว่าไม่ได้มีสิ่งใดตามที่จินตนาการเอาไว้เกิดขึ้น ผนังหินยังคงเป็นผนังหิน เหมือนว่ามันก็แค่ผนังหินธรรมดายิ่งนักด้านหนึ่งเท่านั้น
เพราะอะไรข้าจึงไม่สามารถจี้ให้เกิดภาพเมื่อครู่ได้ล่ะ? หวู่ปิงหนิงรู้สึกฉงนในใจ มองดูผนังหินที่ไม่มีสิ่งใดๆ เกิดขึ้น
ถ้าหากใครๆ ก็สามารถชี้ไปถึงต้นกำเนิดได้ มันก็คงไม่มีความลึกซึ้งยอดเยี่ยมที่จะกล่าวถึงได้แล้ว หลี่ชิเย่ยิ้มกกล่าวว่า การที่จะย้อนกลับไปถึงต้นกำเนิดได้ เจ้าจะต้องมีศักยภาพระดับปฐมบรรพบุรุษ หรือผู้ดำรงอยู่ในระดับปฐมบรรพบุรุษ เจ้าทำไม่ได้แน่นอน เว้นแต่เจ้าจะมีจิตของเซียนดวงหนึ่งแต่กำเนิด
สิ่ง สิ่งนี้สามารถบรรลุสัจธรรมรึ? แม้ว่าหลินซิม่อจะรู้อะไรน้อยมาก แต่เรื่องที่เกี่ยวกับกระดูกเต๋าสามารถบรรลุสัจธรรมได้นั้น นางเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง
ทำได้ แต่ว่า ใช่ว่าใครก็สามารถบรรลุได้ จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา มีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคง สามารถพบเห็นจิตที่แท้จริงของตนและรู้ถึงธาตุแท้ของตน มีความฉลาดไหวพริบและมีความเข้าใจ จึงสามารถไปบรรลุได้ หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า ต่อให้เป็นกระดูกเต๋าธรรมดา คนธรรมดาก็ยากจะบรรลุมันได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระดูกเต๋าชิ้นนี้ที่อยู่ตรงหน้าเลย
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ได้นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ตรงนั้นช้า และหลับตาลง
เมื่อพวกของหวู่ปิงหนิงและหลินซิม่อเห็นเช่นนี้แล้ว พวกนางก็เลียนแบบท่าทางของหลี่ชิเย่และนั่งขัดสมาธิหลับตาลง พวกนางก็คิดจะทำความบรรลุกับกระดูกเต๋าชิ้นนี้ที่อยู่ตรงหน้าเหมือนกัน
ลำพังกระดูกเต๋าชิ้นหนึ่งก็ยากที่จะได้เห็น เฉกเช่นกระดูกเต๋าที่ขนาดใหญ่สุดจะจินตนาการที่อยู่ตรงหน้านั้น ชั่วชีวิตวคงมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ในเวลานี้ฟ้าดินเสมือนดั่งเงียบสงัดลง เว้นแต่เสียงลมและสายน้ำไหลแล้ว เหมือนจะไม่มีเสียงอื่นใดอีก แม้แต่เสียงหายใจของพวกเขาเองก็ไม่ได้ยินอีกต่อไป
หลินซิม่อที่เลียนแบบท่าทางของหลี่ชิเย่ด้วยการนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น หลับตาเข้าฌาน แต่ว่า จากการที่เวลาเคลื่อนผ่านไปทุกๆ นาที หลินซิม่อไม่ได้บรรลุอะไรเลย ไม่รับรู้ถึงสิ่งใดๆ เลย เหมือนว่ามีแต่ความว่างเปล่า อีกทั้งกระดูกเต๋าลักษณะเช่นนี้ดูจะปฏิเสธการเข้าถึงของนางอยู่แล้ว
เปรียบเทียบกับหลินซิม่อแล้ว หวู่ปิงหนิงดูจะดีกว่ากันมากทีเดียว ในพริบตาเดียวนั้น นางเสมือนดั่งคว้าอะไรได้บางอย่างแต่ก็โฉบผ่านไป ทำให้ไม่สามารถทำความบรรลุได้ หวู่ปิงหนิงทดลองไปหลายครั้งแต่ก็ทำไม่สำเร็จ เหมือนว่านางคิดอยากจะไปทำความบรรลุกระดูกเต๋าที่อยู่ตรงหน้า แต่ห่างไกลมาตรฐานตรงนั้นมาก
สุดท้าย หวู่ปิงหนิงได้ละทิ้งมัน เนื่องจากนางเองก็รู้ว่าบางสิ่งไม่สามารถฝืนได้ การบรรลุเช่นนี้นับว่าได้ก้าวไปถึงจุดสูงสุดที่ไม่เคยทำได้มาก่อนแล้ว สิ่งนี้หาใช่สิ่งที่นางจะเอื้อมไปได้ถึง อย่างน้อยที่สุดนางไม่สามารถเอื้อมถึงความสูงระดับนั้นในขณะนี้
ตรงกันข้ามกับหลี่ชิเย่ เห็นเขานั่งอยู่ตรงนั้นเสมือนหนึ่งได้หลับไปแล้ว เขาเข้าฌานอยู่ตรงนั้นโดยไม่กระดุกกระดิก คล้ายดั่งได้กลับกลายเป็นรูปแกะสลักไปแล้วไม่มีสิ่งใดสามารถทำให้เขาแตกตื่นได้อย่างนั้น
แม้ว่าหลินซิม่อกับหวู่ปิงหนิงต่างก็ได้ครุ่นคิดและพิจารณาผนังหินด้านนี้ แต่พวกนางไม่สามารถทำได้เหมือนเช่นหลี่ชิเย่ที่จี้สัมผัสเบาๆ ก็ปรากฏเป็นภาพของคลื่นน้ำได้
พิจารณาด้วยจิต สุดท้ายหวู่ปิงหนิงได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ และละทิ้งการกระทำ เข้าใจได้ว่านี่คือสิ่งที่พวกนางไม่สามารถไปบรรลุได้ และเป็นสิ่งที่พวกนางไม่สามารถเอื้อมไปถึง
สุดท้ายหวู่ปิงหนิงและหลินซิม่อได้ละทิ้งและอยู่เงียบๆ ด้านข้าง ไม่กล้าไปรบกวนหลี่ชิเย่อีก
จากเวลาที่ค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า หลี่ชิเย่ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นไม่มีการเคลื่อนไหว คล้ายดั่งกลายเป็นหินไปแล้ว
หลังจากไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ได้ยินเสียงซ่าซ่าซ่าดังขึ้นเป็นระลอก พริบตาเดียวนั้นเอง ภายในใจของหวู่ปิงหนิงบังเกิดความตื่นตัวขึ้นมา
มีคนมา…เวลานี้หวู่ปิงหนิงขยับไปเฝ้าระวังอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ทันที นางรู้ว่าขณะที่หลี่ชิเย่กำลังเข้าฌานทำความบรรลุนั้น หากถูกรบกวนไม่แน่อาจทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกได้
ในพริบตาเดียวนั่นเอง หลินซิม่อก็ไปเฝ้าอารักขาอยู่ข้างๆ แม้ว่าทักษะยุทธของนางนั้นอ่อนมาก แต่ก็จะอาศัยกำลังอันน้อยนิดเข้าช่วยเหลืออย่างเต็มที่
เป็นไปตามคาด ในเวลานี้เอง ปรากฏคนกลุ่มหนึ่งบริเวณที่ที่ไกลออกไป อีกทั้งผู้บำเพ็ญตนกลุ่มนี้ล้วนแล้วแต่มีทักษะไม่เบา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้เฒ่าทั้งหลายตลบอบอวล ไปด้วยกลิ่นอายของเทพแท้จริง
เจี้ยนจุน…เมื่อหลินซิม่อเห็นชายหนุ่มที่เป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้นางจดจำได้ทันที ถึงกับมีสีหน้าที่ขาวซีด
นางมีชาติกำเนิดมาจากสำนักสุสานกระบี่ ย่อมหวั่นเกรงต่อเจี้ยนจุนอย่างยิ่งอยู่ในใจ
เป็นเหล่าบรรพบุรุษของสุสานกระบี่ เวลานี้หลินซิม่อจดจำผู้เฒ่าที่อยู่ในกลุ่มได้ไม่น้อย สีหน้าเปลี่ยนไปมากทีเดียวถึงกับรู้สึกเสียวสันหลังวาบ กล่าวด้วยความหวาดผวา