ในเวลานี้ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ ทุกคนล้วนแล้วแต่จ้องมองดูหลี่ชิเย่ ดูว่าหลี่ชิเย่จะเผชิญหน้ากับการท้าสู้ของเทพแท้จริงดาบสังหารได้อย่างไร
ความจริงแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการรู้ว่าศักยภาพที่แท้จริงของหลี่ชิเย่เป็นเช่นใด บางทีภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ของเทพแท้จริงดาบสังหารอาจมีความเป็นไปได้สามารถสืบเสาะถึงกำลังความสามารถที่แท้จริงของหลี่ชิเย่ได้
นับตั้งแต่การปรากฏตัวของหลี่ชิเย่ ศักยภาพของเขาเป็นปริศนาตลอดมากระทั่งบัดนี้ และเป็นปริศนาแม้กระทั่งเขาใช้เคล็ดวิชาของสำนักใด
ความจริงแล้วตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าหลี่ชิเย่จะได้ลงมือหลายครั้งด้วยกัน แต่ทุกคนต่างไม่รู้ว่าเขาฝึกเคล็ดวิชาของสำนักใด แม้จะกล่าวว่าทุกคนล้วนแล้วแต่รู้ว่าเขาคือผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงเวลานี้ ทั้งยังเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะ แต่ทว่า โดยพื้นฐานแล้วตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ค่อยจะได้สำแดงเคล็ดวิชาของสองระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิใหญ่นั่น
ซึ่งสร้างความแปลกใจให้กับทุกคน เคล็ดวิชาแท้จริงที่หลี่ชิเย่ฝึกนั้นคืออะไรกันแน่ จะอย่างไรเสียผู้บำเพ็ญตนต่างก็มีเคล็ดวิชาหลักที่ตนฝึก เนื่องจากมันจะเป็นวิถีการก้าวเดินที่เป็นของตนเอง
แต่ว่า ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวิถีของหลี่ชิเย่เลย แม้ว่าเขาเคยสำแดงเคล็ดวิชากระบี่สุดยอดที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง แต่ว่าลางสังหรณ์บอกทุกคนว่า นี่หาใช่วิถีของหลี่ชิเย่
กล่าวสำหรับการท้าสู้ของเทพแท้จริงดาบสังหารนั้น หลี่ชิเย่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีที่เอ้อระเหย เพียงมองดูเทพแท้จริงดาบสังหารแวบหนึ่งด้วยท่าทีสบายๆ
“เจ้าลงมือก่อนเถอะ ในเมื่อพวกเจ้าอุตส่าห์งัดเอาคนยักษ์เช่นนี้ออกมาอย่างยากเย็น และสิ้นเปลืองกำลังกายใจไปไม่น้อย ให้พวกเจ้าได้สำแดงฝีมือของตนออกมาบ้าง จะได้ไม่หาว่าข้าไม่เปิดโอกาสให้กับพวกเจ้า ถ้าหากข้าลงมือก่อน เกรงว่าสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่าเป็นวิธีการที่สะเทือนฟ้านั้นจะไม่มีโอกาสได้สำแดงออกมาแล้วล่ะ” หลี่ชิเย่ทำท่ายิ้มๆ
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ ลักษณะของเทพแท้จริงดาบสังหารในเวลานี้นับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว แข็งแกร่งกว่าเทพกระบี่กูตู๋อย่างแน่นอน ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ เกรงว่าเทพแท้จริงดาบสังหารสามารถพาตัวเองเบียดเข้าไปอยู่ในระดับขั้นของอมตะแล้ว
อย่างไรก็ตาม ต่อให้แข็งแกร่งถึงขั้นนี้แล้ว หลี่ชิเย่ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา กระทั่งกล่าววาจาไร้ยางอายออกมาว่าขอเพียงเขาลงมือ เทพแท้จริงดาบสังหารก็จะไม่มีโอกาสได้ลงมือ
สีหน้าของเทพแท้จริงดาบสังหารดูไม่จืดถึงขีดสุด ไม่ง่ายนักกว่าที่เขาจะมาถึงขั้นพาลอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ได้ ส่งผลให้เขามีความมั่นใจอย่างยิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลี่ชิเย่ ถึงกลับไม่เห็นอยู่ในสายตา แล้วจะไม่ให้เขาต้องโกรธจนคลั่งได้อย่างไรกันเล่า
“เจ้าเดรัจฉานน้อย วันนี้จะต้องสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้นให้ได้” เทพแท้จริงดาบสังหารโกรธอย่างบ้าคลั่ง ร้องคำรามเสียงดังออกมาถึงขั้นทำให้ดวงดาวแตกละเอียด
ตูม…เสียงดังสนั่น ในพริบตาเดียวนั่นเองเทพแท้จริงดาบสังหารเอื้อมมือขนาดใหญ่ซ้ายขวาคว้าออกไปทีหนึ่ง ถึงกับคว้าเอาดวงดาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดสองดวงลงมาจากท้องฟ้า ดวงดาวขนาดยักษ์สุดเปรียบเปรยพุ่งโจมตีลงมา
โอ้แม่เจ้า…ผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เมื่อเห็นดวงดาวขนาดยักษ์สองดวงที่ถูกสอยลงมา ทั่วท้องฟ้าถึงกับมืดลงเหมือนดั่งวันสิ้นโลกอย่างนั้น
เสียงตูมดังสนั่น หลังจากที่ดวงดาวทั้งสองถูกคว้าลงมาแล้ว มันได้เข้าโจมตีขนาบซ้ายขวาอย่างแรงต่อหลี่ชิเย่ที่ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าสูงนั่น
ภาพที่น่ากลัวเช่นนี้ได้สร้างความตื่นตระหนกกับผู้คนจนขวัญหนีดีฝ่อไม่รู้จำนวนเท่าไร เมื่อดวงดาวทั้งสองกระแทกเข้ามา มันคือการทำลายฟ้าดินกันชัดๆ ทำเอาผู้คนไม่รู้จำนวนเท่าไรที่หันหลังหนีไปทันที
เสียงตูมดังสนั่น ประดุจดั่งโลกทั้งโลกระเบิดขึ้นมา เมื่อดวงดาวสองดวงเข้าโจมตีซ้ายขวากระแทกใส่หลี่ชิเย่อย่างแรง หลี่ชิเย่ยืนอยู่ระหว่างกลางจากการพุ่งชนเข้าหากันของดวงดาวทั้งสอง
ปังเสียงคล้ายฟ้าดินถูกระเบิดทำลาย เหมือนว่าโลกทั้งโลกถูกระเบิดจนแตกออก มองเห็นฝุ่นที่พวยพุ่ง แสงไฟที่น่ากลัวพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง และปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า เสมือนหนึ่งโลกทั้งโลกถูกทำลายไปแล้วอย่างนั้น
จากการพุ่งชนที่น่ากลัวเช่นนี้ ดวงดาวทั้งสองล้วนแล้วแต่กลายเป็นจุณไป ทั่วท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝุ่นผง พลังพุ่งชนที่น่ากลัวพุ่งขึ้นท้องฟ้าอย่างรุนแรง ไม่รู้ว่ามีดวงดาวจำนวนเท่าไรที่ถูกทำลายในพริบตาเดียว ด้วยพลังที่น่ากลัวเช่นนี้สามารถสังหารระดับเทพแท้จริงนับพันนับหมื่นได้ในพริบตาเดียว
“จบสิ้นแล้วรึ?” ทุกคนต่างมองดูภาพที่น่ากลัวเช่นนี้ด้วยความหวาดผวาจนขนลุกซู่ นำเอาดวงดาวสองดวงมากระแทกใส่กัน ด้วยการกระแทกใส่ตัวของหลี่ชิเย่ อานุภาพเช่นนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน อย่าว่าแต่ยอดฝีมือทั่วไปเลย เกรงว่าต่อให้เป็นเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ก็ต้องกลายเป็นเนื้อบดโดยพลันเมื่อถูกพลังเช่นนี้กระแทกใส่
เวลานี้ ทุกคนต่างมองดูท้องฟ้าที่มืดครื้ม ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการเห็นจุดจบของหลี่ชิเย่เป็นเช่นใด ถูกกระแทกจนกลายเป็นเนื้อบดหรือไม่อย่างไร
สุดท้าย ฝุ่นผงบนท้องฟ้าก็ได้จางหายไปในที่สุด ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าของทุกคน
“อยู่ตรงนั้น…” ในเวลานี้มีผู้ที่ตาแหลมพลันมองเห็นหลี่ชิเย่ได้ในทันที รีบชี้ไปบนท้องฟ้าและร้องกล่าวเสียงดังขึ้นมา
ทุกคนมองไป เห็นหลี่ชิเย่ยังคงยืนอยู่บนท้องฟ้าสูง เขาไม่ได้ขยับตัวเลย ไม่มีการเคลื่อนย้ายตัวแม้แต่ครึ่งก้าว เขายืนอยู่ตรงนั้นแหละ ยังคงเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิด่ขึ้น
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ยังคงยืนเรียบเฉยอยู่ตรงนั้น อย่าว่าแต่ถูกกระแทกจนกลายเป็นเนื้อบดเลย เกรงว่าจะไม่ได้บาดเจ็บแม้แต่เส้นขนสักเส้น หากไม่เป็นเพราะบนตัวเขามีฝุ่นจับอยู่บ้าง เกรงว่ายังทำให้ผู้คนเข้าใจว่าไม่ได้กระแทกถูกตัวของหลี่ชิเย่
“อ่อนเหลือเกิน” เวลานี้หลี่ชิเย่ได้ปัดเอาฝุ่นที่อยู่บนตัวออกเบาๆ ท่าทีเอ้อระเหย ส่ายหน้าและกล่าวว่า “อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่ใช่อมตะที่แท้จริง เป็นเพียงของปลอมเท่านั้น เลือดปฐมบรรพบุรุษพวกเจ้าผนึกเก็บไว้นานมากเกินไปจนจิตเทพอ่อนเกินไป อีกอย่าง สิ่งนี้ก็เป็นเพียงเลือดระดับแดนลัทธิพรรษของผู้เฒ่าไคเทียนเท่านั้นเอง”
“ฝืนลิขิตสวรรค์เหลือเกิน…” แม้แต่ระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิยังต้องหัวเราะเจื่อนๆ กล่าวด้วยท่าทีจนด้วยเกล้าออกมา เวลานี้ต่อให้เป็นเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ก็ต้องบังเกิดความรู้สึกปราศจากเรี่ยวแรงในใจอย่างหนึ่ง
ภายใต้สภาพที่แข็งแกร่งเพียงนี้ยังทำอันตรายหลี่ชิเย่ไม่ได้แม้แต่น้อย เจ้าหมอนี้ช่างฝืนลิขิตสวรรค์มากเหลือเกิน ฝืนลิขิตจนยุ่งวุ่นวายไปหมด ทำให้ทุกคนได้เข้าใจแล้วว่า มีเพียงระดับขั้นอมตะที่แท้จริงจึงมีสิทธิ์ชี้ขาดกับหลี่ชิเย่แล้ว
“เจ้าหมอนี่ยังจะเป็นคนอีกรึ?” มีอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่กับกับงงงัน และกล่าวว่า “กลุ่มคนรุ่นใหม่มีคนเช่นเขา ต่อไปกลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่ต้องอยู่กันแล้ว นี่คือโลกของเขา นี่คือใต้หล้าของเข้า”
ลองนึกดู องค์ชายดาบมาร คุณชายพานหลง เจี้ยนจุนพวกเขาประสบความสำเร็จที่น่าตกใจเพียงใดในกลุ่มคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่แล้ว กลับไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึง
สิ่งนี้พลันทำให้อัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมากรู้สึกสิ้นหวัง อัจฉริยะบุคคลอย่างพวกเขาเมื่อเทียบกับหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าแล้วไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึงเลย เวลานี้เขาก็สามารถท้าสู้กับขั้นอมตะแล้ว ต่อให้ในบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่มีผู้สำเร็จเป็นราชันแท้จริงแล้วก็ไม่เห็นจะแข็งแกร่งมากไปกว่าเขาได้แล้ว
“ต่อให้เป็นเลือดของแดนลัทธิพรรษ ก็เพียงพอเอาชีวิตเจ้าได้!” เทพแท้จริงดาบสังหารที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารคำรามออกมาด้วยความโกรธ และคำรามออกมาด้วยความไม่ยอมแพ้
ทุกคนต่างจ้องมองไปที่เทพแท้จริงดาบสังหาร และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงเข้าใจได้ว่า เป็นความจริงว่าด้วยสภาพเช่นนี้ของเทพแท้จริงดาบสังหารเช่นนี้ ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่จินตนาการจริงๆ
ระดับบรรพบุรุษจำนวนมากก็เข้าใจได้ว่า คำพูดของหลี่ชิเย่มีเหตุผล เลือดหยดนี้ของเทพแท้จริงดาบสังหารเก็บเอาไว้นานเกินไปแล้วจริงๆ แม้ว่ามีการผนึกเป็นชั้นๆ เอาไว้ แต่ทว่าจิตเทพยังคงได้รับความเสียหาย ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เลือดบรรพบุรุษหยดนี้หาใช่ผู้เฒ่าไคเทียนทิ้งเอาไว้ให้ขณะอยู่ในฐานะชั้นแดนลัทธิราชัน แต่ทิ้งเอาไว้ขณะอยู่ในฐานะชั้นแดนลัทธิพรรษ เป็นความจริงที่ศักยภาพย่อมถูกลดทอนลง
“คนเพ้อฝันเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่หัวเราะและพูดขึ้นมาช้าๆ ว่า “ได้เวลาที่ข้าจะเก็บเกี่ยวแล้ว” ขาดคำดวงตาทั้งสองดูไม่เป็นมิตร
ตูม…เสียงดังสนั่น ในพริบตาเดียวนั่นเองตัวของหลี่ชิเย่เหมือนเกิดระเบิดขึ้นอย่างนั้น ทันใดนั้น ฟ้าดินมืดลง โลกทั้งโลกคล้ายดั่งตกอยู่ในความมืดที่ไม่สิ้นสุดอย่างนั้น ทั่วโลกไม่ได้อยู่ภายใต้แสงตะวันอีกต่อไป ผู้คนบนโลกจะไม่ได้เห็นแสงสว่างอีกต่อไป ทุกคนต่างตกอยู่ท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่มีสิ้นสุด
เกิดอะไรขึ้น…พริบตาเดียวนั่นเองทั่วโลกเหมือนตกอยู่ท่ามกลางความมืด พลันทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกหวาดผวา
เนื่องจากสิ่งนี้หาใช่ภาพลวงตา ในพริบตาเดียวทุกคนต่างเสมือนหนึ่งถูกข้าศึกเข้ายึดครองแล้วอย่างนั้น จะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันท่ามกลางความมืดนี้ตลอดไป ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกสิ้นหวังอย่างหนึ่ง
ตูม…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในพริบตาเดียวนั่นเองเสมือนดั่งความตายมาเยือน กลิ่นอายแห่งความตายค่อยๆ ลอยขึ้นมา เหมือนโลกแห่งความตายได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าทุกคนอย่างนั้น
ในเวลานี้ ร่างเงาสายหนึ่งได้ปรากฏต่อหน้าผู้คนทุกคน เห็นเขายืนอยู่ตรงตำแหน่งที่หลี่ชิเย่ยืนอยู่เมื่อครู่
เขาก็คือหลี่ชิเย่ แต่ว่า ในเวลานี้หลี่ชิเย่ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตัวของเขาเหมือนหนึ่งกลายมาจากความตายอย่างนั้น ไม่ใช่กายเนื้อที่มีชีวิตตัวเป็นๆ อีกต่อไป
ก่อนหน้านั้น แม้ว่าคำพูดของหลี่ชิเย่จะฟังดูน่ากลัวอย่างยิ่ง แต่ว่า จะอย่างไรเสียเขาก็เป็นคนเป็นๆ คนหนึ่ง
หลี่ชิเย่ในเวลานี้ไม่ใช่คนเป็นๆ อีกต่อไป เหมือนว่าเขาก็คือเทพแห่งความตายผู้หนึ่ง ร่างของเขาแปลงมาจากความตาย พริบตาเดียวนั่นเอง ตัวเขาเสมือนหนึ่งคือต้นกำเนิดแห่งความตาย ขอเพียงตัวเขาคงอยู่ ความตายทั้งหมดล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้การปกครองของเขา เขาก็คือจุดเริ่มต้นแห่งความตายทั้งหมด
“นั่น นั่นเขายังเป็นคนอีกหรือนี่?” แม้จะกล่าวว่า ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างเคยพบเห็นกับความตายมาแล้ว แต่ว่า ทุกคนล้วนแล้วแต่สั่นเทิ้มขึ้นมาเมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ในเวลานี้ โดยเฉพาะสายตาแห่งความตายคู่นั้นของหลี่ชิเย่ ไม่มีใครกล้าไปจ้องมัน เนื่องจากทุกคนรู้สึกว่าเมื่อมองเห็นดวงตาคู่นี้แล้วก็จะรู้ถึงที่พักพิงสุดท้ายของตน รับรู้ถึงความตายของตน
“เขา เขา เขาก็คือจอมมาร จอมมารที่ทุกคนต้องกำจัด…” ระดับจอมเทพผู้หนึ่งร้องเสียงดังขึ้นมาเมื่อได้เห็นหลี่ชิเย่ในสภาพของความตาย ตวาดเสียงดังว่า “มารร้ายเช่นนี้ ทุกคนต้องกำจัดมัน!”
เมื่อหลี่ชิเย่ได้ยินคำตวาดของเทพแท้จริงผู้นี้จึงหันมามอง ขณะที่เขามองมานั้น ความตายพลันปกคลุมเทพแท้จริงผู้นี้เอาไว้
เสียงจี๊ด จี๊ด จี๊ดดังขึ้น นาทีนี้เองมองเห็นระดับเทพแท้จริงผู้นี้แห้งกรังไปทั้งตัว ดุจดั่งถูกดึงเอาชีวิตไปทันที ถูกนำเอาความมีชีวิตชีวาไปจนสิ้น
“ไม่…” เทพแท้จริงผู้นี้รับรู้ถึงความมีชีวิตทุกอย่างที่ไหลผ่านไปดุจสายน้ำ เขาร้องเสียงแหลมขึ้นมา แต่ไม่สามารถทำอะไรได้
พริบตาเดียวนั่นเอง ระดับเทพแท้จริงผู้นี้ได้กลายเป็นศพแห้ง หลังจากนั้นร่างกายของเขาได้แตกละเอียดกลายเป็นผุยผงล่องลอยปลิวกระจายไปตามลม เสมือนว่าไม่เคยปรากฏตัวบนโลกมนุษย์อย่างนั้น
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองดูจนอ้าปากตาค้าง เมื่อมองเห็นระดับเทพแท้จริงผู้นี้ได้สูญเสียชีวิต สูญเสียความมีชีวิตชีวา กลายเป็นเถ้าธุลีไปในชั่วพริบตาเดียว