ความตาย เวลานี้ขณะที่ทุกคนจ้องมองหลี่ชิเย่นั้น ในใจของทุกคนมีเพียงคำศัพท์คำนี้เท่านั้น นอกจากคำศัพท์คำนี้แล้ว ยังคิดคำศัพท์ที่สองมาเปรียบเปรยภาพเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ได้อีก
บางที นาทีนี้ ‘ความตาย’ ก็คือสรรพนามของหลี่ชิเย่ เขาก็คือผู้จำแลงแปลงกายมาจากความตาย
“เป็นความหมายที่ลึกซึ้งสูงสุดจริงหรือ?” เวลานี้มีระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิถึงกับสั่นเทิ้ม รู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกซู่ในใจ ไม่รู้ว่ามีระดับผู้อาวุโสจำนวนเท่าไรที่มีชีวิตอยู่มาชั่วชีวิต พวกเขาได้เคยเห็นเคล็ดวิชาราชันแท้จริงที่ปราดเปรื่อง และเคยเห็นเคล็ดวิชาปฐมบรรพบุรุษที่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า แต่ว่า เฉกเช่นสิ่งที่หลี่ชิเย่เป็นพวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ไม่จำเป็นต้องอาศัยกระบวนท่าใดๆ ไม่ต้องอาศัยเคล็ดวิชาใดๆ กระทั่งไม่ต้องอาศัยพลังใดๆ ความตายก็ครอบคลุมศัตรูเอาไว้ และลิดรอนเอาชีวิตของศัตรูไปโดยตรง ทำการเก็บเกี่ยวพลังชีวิตของศัตรูโดยตรง
“บางที นี่ก็คือความหมายสูงสุด เหมือนดั่งสวรรค์คือผู้สร้างชีวิตอย่างนั้น” มีระดับบรรพบุรุษร่างสั่นเทิ้มและพึมพำขึ้นมา
บางทีสิ่งที่หลี่ชิเย่พูดมาเป็นความจริงทั้งหมด เฉกเช่นสวรรค์สร้างชีวิตแล้วมีใครบ้างที่เห็นกับตาตนเองเล่า? บางทีตัวของสวรรค์เองก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยเคล็ดวิชาใดๆ กระบวนท่าใดๆ มันก็ได้สร้างชีวิตขึ้นมาโดยตรงแล้ว และสิ่งนี้ก็เหมือนหลี่ชิเย่ที่เก็บเกี่ยวชีวิตโดยตรงอย่างนั้น
“คาดหวังจะมีคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อสักคนจริงๆ” หลี่ชิเย่กล่าว และส่ายหน้าเบาๆ
หลี่ชิเย่ในเวลานี้ไม่ได้มีกลิ่นอายของความตาย เวลานี้ดูไปแล้วเขาก็คือคนเป็นๆ คนหนึ่ง ไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อครู่ ในเวลานี้ ต่อให้เวลานี้ดูไปแล้วหลี่ชิเย่ก็คือคนเป็นๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตัวเขาดูไปแล้วธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่เป็นที่สะดุดตาแม้แต่น้อย แต่ว่า เมื่อมองเห็นเขาแล้ว ทำให้ไม่ว่าใครก็ต้องสั่นเทิ้ม ไม่ว่าใครก็ต้องหวาดกลัวจนขนลุกซู่
หลี่ชิเย่ทำการปัดคอเสื้อเบาๆ ทีหนึ่ง จากนั้นมองดูหวู่ปิงหนิงที่ได้รักษาอาการบาดเจ็บจนหายแล้ว ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “ไปเถอะ อย่าเสียเวลาของข้า” กล่าวพลางหันหลังเดินไปทันที
หวู่ปิงหนิง และหลินซิม่อเมื่อได้สติกลับมา จึงติดตามไปทันที
หวู่ปิงหนิงยังดีนิดหนึ่ง ภายในใจของนางได้มีการเตรียมการไว้แล้ว หลี่ชิเย่จะมีพฤติกรรมที่น่าสะเทือนฟ้าอะไรก็ตาม นางก็จะไม่สะเทือนหวั่นไหว ขณะที่หลินซิม่อแม้มีการเตรียมใจไว้แล้ว ยังคงถูกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้หวั่นไหว นี่เป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะปราศจากผู้ต่อกรมากที่สุดที่นางเคยได้เห็นมาชั่วชีวิต การเข่นฆ่าเช่นนี้ก็เป็นภาพที่สยองขวัญมากที่สุดที่นางได้เห็นมาชั่วชีวิตเช่นกัน
เวลานี้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้มองส่งการจากไปของหลี่ชิเย่ กระทั่งกล่าวได้ว่าไม่มีใครสักคนที่อยู่ในเหตุการณ์กล้าส่งเสียงออกมา อยากจะให้หลี่ชิเย่รีบๆ ไปจากที่นี่ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
ก่อนที่หลี่ชิเย่จากจากไป ไม่มีใครกล้ากระทำการบุ่มบ่ามใดๆ ทุกคนต่างเกรงกลัวว่าหากมีการกระทำใดที่ไม่เหมาะสมทำให้หลี่ชิเย่โกรธล่ะก็ ถึงตอนนั้นความตายก็จะลงมาเยือนบนหัวของพวกเขาแล้ว
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดยืนดูจนกว่าพวกหลี่ชิเย่สามคนหายลับไปในที่ที่ห่างไกลแล้วจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมา ไม่รู้มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่เสมือนหนึ่งได้เอาของออกจากบ่า
ขณะที่หลี่ชิเย่ยังอยู่ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกว่ามีเงาทมิฬที่น่าสยองขวัญครอบคลุมอยู่ภายในจิตใจของพวกเขา เสมือนหนึ่งขอเกี่ยวข้าวของเทพแห่งความตายลอยอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาตลอดเวลาอย่างนั้น ตกใจจนไม่กล้าจะขยับตัว เกรงว่าหากไม่ทันระวังแล้วขอเกี่ยวของเทพแห่งความตายพลันตกลงมา
“โอ้แม่เจ้า ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน” หลังจากที่พวกของหลี่ชิเย่จากไปแล้ว ในที่สุดมีผู้ที่ร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง เข่าอ่อนทั้งสองข้า ทรุดตัวลงนั่งก้นจ้ำเบ้าอย่างคนใจไม่สู้
เวลานี้ไม่มีใครหัวเราะเยาะเขาว่าใจเสาะ ความจริงแล้ว มีกี่คนที่อยู่ในเหตุการณ์มิใช่ถูกความน่ากลัวของหลี่ชิเย่ทำให้ต้องเข่าอ่อนกันเล่า?
เมื่อหลี่ชิเย่เดินจากไปไกลแล้ว ไม่มีใครกล้าเดินตามไปอีก แม้ว่าทุกคนต่างรู้ดีว่าภายในเทือกเขาเทือกนี้ต้องมีของดีมากมายอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นกระดูกเต๋า หรือว่าไข่ปี้โซ่ว ที่ตรงนี้จะต้องมีคุณภาพดีกว่าที่อื่นๆ อยู่มากทีเดียว
แต่เวลานี้หลี่ชิเย่ได้เข้าไปแล้ว คนอื่นๆ จึงไม่เกล้าเข้าไปอีก ทุกคนล้วนแล้วแต่เกรงกลัวว่าจะไปหาเรื่องหลี่ชิเย่เข้า ที่ที่มีเทพแห่งความตายอยู่ ใครเล่ายังจะกล้าเข้าไปอีกล่ะ?
“เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว สามระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจะต้องคลั่งอย่างแน่นอน” เจ้าสำนักของสำนักเจ้าลัทธิแห่งหนึ่งหัวเราะเจื่อนๆ และเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่ายหน้า
ทุกคนต่างไม่รู้สึกตกใจอีกแล้ว ระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งสามถูกสังหารไปเป็นจำนวนมากถึงเพียงนี้ พวกเขาจะไม่คลั่งได้รึ? พวกเขาต้องไม่ยอมเลิกราอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นล่ะก็ เกรงว่าทั้งสามระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใหญ่อย่างพวกเขาคงยากจะมีที่ยืนในแดนลัทธิพรรษอีกแล้ว
“เกรงว่าคงต้องอาศัยระดับอมตะลงมือจริงๆ เสียแล้ว” ระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแห่งหนึ่งเอ่ยขึ้นมาช้าๆ “หากไม่ใช่ระดับอมตะ ก็จะไม่มีสิทธิ์ต่อสู้ชี้ขาดกับหลี่ชิเย่แล้ว ต่อให้เป็นราชันแท้จริงระดับล่างก็ไม่มีสิทธิ์ไปต่อสู้ชี้ขาดกับหลี่ชิเย่ ตามความเห็นของข้า อย่างน้อยก็ต้องมีราชันแท้จริงสี่ลัคนาขึ้นไป หาไม่แล้ว ไม่ว่าใครไปก็เท่ากับยื่นคอไปให้เขาตัด”
คำพูดของระดับบรรพบุรุษผู้นี้ทำให้ทุกคนต้องใจหายใจคว่ำ เทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นเก้าก็ใช้การไม่ได้เสียแล้ว ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าในระดับเทพแท้จริงนี้จะต้องอยู่ในขั้นอมตะเท่านั้นที่จะสู้กับหลี่ชิเย่ได้ ถ้าหากเป็นอาณาจักรในส่วนของราชันแท้จริง ก็ต้องเป็นราชันแท้จริงที่มีสี่ลัคนาขึ้นไปจึงสามารถไปสู้กับหลี่ชิเย่ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น เขานับว่าน่ากลัวอย่างแท้จริงเลยทีเดียว
“เกรงว่าระหว่างเขากับเทพสงครามมังกรคชาธารจะต้องได้ต่อสู้กันแน่ เป็นที่เฝ้ารอนะเนี่ย” มีระดับเทพแท้จริงที่กลืนน้ำลายแล้วพึมพำขึ้นมา
แดนลัทธิพรรษในยุคปัจจุบันไม่มีระดับราชันแท้จริงแล้ว ในรุ่นของกลุ่มคนรุ่นใหม่ยังไม่มีใครได้รับการแต่งตั้งเป็นราชัน ขณะที่ราชันแท้จริงยุคที่แล้วได้ไปจากแดนลัทธิพรรษนานแล้ว
เวลานี้อาณาจักรของเทพแท้จริงผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดสมควรเป็นเทพสงครามมังกรคชาธารแล้วล่ะ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนลัทธิพรรษ
ในใจของผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องสะดุ้งทีหนึ่งและรู้สึกดีใจอยู่บ้างเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ มียอดฝีมืออดที่จะพูดขึ้นว่า “การต่อสู้กับเทพสงครามมังกรคชาธารนั้นเป็นที่เฝ้ารอคอยของผู้คนมากเหลือเกิน นี่เขาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแดนลัทธิพรรษเชียวนะ ถึงเวลานั้นก็จะได้รู้แล้วล่ะว่าใครคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแดนลัทธิพรรษที่แท้จริง”
ในเวลานี้มียอดฝีมือจำนวนมากต่างเฝ้ารอศึกในครั้งนี้ จะอย่างไรเสียเทพสงครามมังกรคชาธารคือกำลังระดับสูงสุดของแดนลัทธิพรรษในยุคปัจจุบัน ถ้าหากหลี่ชิเย่จะท้าสู้กับเทพสงครามมังกรคชาธารจริง คงมีอะไรดีๆ ให้ดูแล้วล่ะ ศึกครั้งนี้รับรองไม่แพ้ศึกระหว่างระดับราชันแท้จริงด้วยกันอย่างแน่นอน
“เป็นความจริงที่เทพสงครามมังกรคชาธารนั้นปราศจากผู้ต่อกร การได้รับยกย่องให้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแดนลัทธิพรรษนับว่าไม่เกินเลยไป” ระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแห่งหนึ่งกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “แต่ว่า อย่าลืมไปสิ ข้างกายของนายน้อยมู่ก็มีระดับอมตะอยู่คนหนึ่ง เขามาจากตระกูลมู่ มาจากแดนลัทธิราชันเพื่อเป็นผู้คุ้มครองให้กับนายน้อยมู่โดยเฉพาะ”
“ข้างกายของนายน้อยมู่ยังมีระดับอมตะอยู่ด้วย!” หลายคนเพิ่งได้ข่าวนี้ ถึงกับสะดุ้งในใจกล่าวด้วยความหวาดผวาว่า “อมตะที่มาจากแดนลัทธิราชัน!”
“ถูกต้อง อมตะผู้นี้ลึกลับยิ่งนัก ไม่ทราบรายละเอียดด้านกำลังความสามารถ ฟังว่าผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่หวาดกลัวเขา” ระดับบรรพบุรุษผู้นี้กล่าวด้วยท่าทีหนักแน่นจริงจังว่า “ไม่แน่นักอาจสามารถเทียบเคียงกับเทพสงครามมังกรคชาธารได้!”
“เทียบเคียงกับเทพสงครามมังกรคชาธาร!” ผู้คนจำนวนเท่าไรต้องหวาดผวาเมื่อได้ยินข่าวนี้แล้ว เทพสงครามมังกรคชาธารคือผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแดนลัทธิพรรษ
“เพราะอะไรระดับอมตะของแดนลัทธิราชันจึงมาที่แดนลัทธิพรรษได้ นี่มันเรื่องบั่นทอนอายุขัยนะเนี่ย” มีผู้ที่ไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิง แม้แต่ผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกของสำนักเจ้าลัทธิ์ก็คิดไม่ตก
เฉกเช่นเทพสงครามมังกรคชาธารที่ดำรงอยู่ในระดับเช่นนี้ พวกเขามีสิทธิ์ได้ขึ้นไปยังแดนลัทธิราชันโดยแท้จริง ไม่แน่นักยังอาจมีความเป็นไปได้ที่ศักยภาพสามารถขึ้นไปถึงแดนลัทธิเซียนได้ ไอรีนโนเวล
แต่ว่า เทพสงครามมังกรคชาธารมีชาติกำเนิดจากจูเซียงหวู่ถิง เขาหลงรักฟ้าดินแห่งนี้ เขาต้องการเฝ้าปกป้องจูเซียงหวู่ถิง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไปจากแดนลัทธิพรรษ รองรับการกัดกร่อนของกาลเวลา
อย่างไรก็ตาม ระดับอมตะที่กำเนิดจากแดนลัทธิราชันแล้วไม่ยอมขึ้นไปยังแดนลัทธิเซียนก็แล้วไปเถอะ กลับจากลงจากแดนลัทธิราชันมายังแดนลัทธิพรรษ มันเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนไม่อาจเข้าใจได้
หากจะกล่าวว่านายน้อยมู่มายังแดนลัทธิพรรษจะมากหรือน้อยยังพอจะเข้าใจกันได้ จะอย่างไรเสียเขาอายุยังน้อยจึงเปี่ยมไปด้วยความเป็นไปได้ต่างๆ นานา
แต่ว่า ในฐานะที่เป็นระดับอมตะที่สูงอายุแล้ว จากแดนลัทธิราชันลงมาแดนลัทธิพรรษย่อมไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน เนื่องจากอายุขัยของแดนลัทธิราชันยืนยาวกว่าแดนลัทธิพรรษ โดยเฉพาะคนของแดนลัทธิราชันที่มีอายุอยู่มานานเช่นนี้ การลงมาที่แดนลัทธิพรรษกะทันหันย่อมบ่งบอกว่าจะต้องอายุสั้นลง
ส่วนอายุขัยจะลดลงไปเท่าไรนั้นแตกต่างกันไปแต่ละบุคคล แต่ทว่า กล่าวสำหรับระดับอมตะแล้วอายุขัยเป็นเป็นสิ่งประเมินค่าไม่ได้ น้อยไปวันหนึ่งก็คือวันหนึ่ง
แม้ว่าจะต้องรับกับความเสียหายด้านลดทอนอายุขัย แต่ อมตะที่มาจากแดนลัทธิราชันยังคงมาอยู่ที่แดนลัทธิพรรษ เป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้โดยสิ้นเชิงสำหรับผู้คน ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่ทราบถึงความหมายที่อยู่ภายในว่าคืออะไรกันแน่
“หากจะกล่าวว่า การมายังแดนลัทธิพรรษของนายน้อยมู่เป็นการขัดเกลาอย่างหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว การที่อมตะมายังแดนลัทธิพรรษมันคือการยอมทำตัวตกต่ำโดยแท้นะเนี่ย” ระดับผู้อาวุโสของตระกูลขุนนางโบราณพึมพำว่า “ใครบ้างยอมรับกับอันตรายที่ต้องลดทอนอายุขัยกันเล่า?”
“นี่คือการอธิบายถึงความสูงส่งของนายน้อยมู่จากมุมอีกด้านหนึ่ง” ระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิผู้นี้เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ลองนึกภาพดู นายน้อยมู่ลงมาที่แดนลัทธิพรรษแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หากบอกว่ามีระดับเทพแท้จริงลงมาเป็นเพื่อนนั่นสามารถเข้าใจได้ จะอย่างไรเสียเขาคือนายน้อยแห่งตระกูลมู่ แต่ว่า อมตะคนหนึ่งถึงกับยอมรับกับความเสียหายที่ต้องถูกบั่นทอนเรื่องอายุขัยด้วยการลงมาเป็นเพื่อนที่แดนลัทธิพรรษ เจ้าคิดว่าบุคคลทั่วไปมีสิทธิ์เช่นนี้รึ?”
คำพูดนี้ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกหวั่นไหว กล่าวสำหรับผู้สืบทอดคนหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแล้ว ไม่นับเป็นเรื่องราวสำคัญอะไรหนักหนา
เนื่องจากผู้สืบทอดคนหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแม้จะมีความล้ำค่ายิ่ง แต่ความล้ำค่านั้นห่างชั้นกว่ากันมากเมื่อเทียบกับระดับบรรพบุรุษคนหนึ่ง และมีตำแหน่งและอำนาจหางชั้นกับระดับบรรพบุรุษคนหนึ่งยิ่ง
ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ เมื่อผู้สืบทอดตายไป ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิยังคงมีบุคลากรคนอื่นๆ ที่เตรียมสำรองเอาไว้ ยังคงมีผู้อื่นที่เข้ามาสืบทอดตำแหน่งนี้
ขณะที่ระดับบรรพบุรุษคนหนึ่ง โดยเฉพาะผู้ที่ดำรงอยู่ในขั้นของอมตะ ถ้าหากเขาตายไป เรียกได้ว่าตายแล้วจริงๆ เพราะเป็นการบ่งบอกว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแห่งหนึ่งได้สูญเสียอมตะไปคนหนึ่ง การสูญเสียลักษณะเช่นนี้ไม่สามารถทดแทนกันได้ และไม่มีคนอื่นๆ ที่จะไปรับตำแหน่งแทนได้ จะอย่างไรเสียต่อให้เป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง คิดจ่ะบ่มฟักอมตะให้ได้สักคน ต้องใช้เวลาเป็นยุคสมัย กระทั่งหลายๆ ยุคสมัย
แต่ทว่า เวลานี้อมตะคนหนึ่งกลับยอมติดตามนายน้อยมู่มายังแดนลัทธิพรรษ เป็นการอธิบายว่าฐานะของนายน้อยมู่นั้นสูงส่งจนเหลือเชื่อ
“มิน่าเล่าถึงได้มีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากยอมประจบเขา” มีผู้ที่คิดและเข้าใจแล้วในที่สุดร้องเสียงหลงขึ้นมา แต่เขาต้องรีบปิดปากเอาไว้ทันที
เนื่องจากยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็เคยประจบนายน้อยมู่มาก่อน
“บางที อาจมีเพียงหลี่ชิเย่ที่เป็นคนโหดอันดับหนึ่งเท่านั้นที่สามารถจัดการกับนายน้อยมู่กระมัง” มีระดับบรรพบุรุษผู้หนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่สายตาของเขาดูลึกล้ำ มองไปที่ที่ห่างไกล เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “นายน้อยคนหนึ่งของแดนลัทธิราชัน มารั้งอยู่ในแดนลัทธิพรรษพวกเราตลอดไป หาใช่เป็นเรื่องดีอะไร”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ทำให้ในใจของทุกคนหวั่นไหว หากจะกล่าวว่าการรั้งอยู่ในแดนลัทธิพรรษของนายน้อยมู่ไม่ได้มีแผนการใดๆ ล่ะก็ ผู้คนไม่อาจเชื่อได้จริงๆ
……………………………………