“เจ้าต้องได้เห็นแน่นอน แต่ว่า ไม่ใช่ตอนนี้” มู่เส้าเฉินหัวเราะเสียงดังและก้าวถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว ท่าทางของเขาในเวลานี้ดูไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าไร ไม่เหมือนเมื่อครู่ที่หมางเมินทั่วหล้า มองใต้หล้าอย่างเย้ยหยัน
พลันที่หลี่ชิเย่ลงมือก็ได้ทำลายการคาดการณ์ของเขา แม้ว่าเข้าได้คาดการณ์เอาไว้แล้วแต่แรกว่าหลี่ชิเย่มีความแข็งแกร่งยิ่ง กระทั่งได้คาดการณ์ความแข็งแกร่งของหลี่ชิเย่เอาไว้ในระดับสูงสุด
แต่ทว่า พลันที่หลี่ชิเย่ลงมือในเวลานี้ เขาจึงได้เข้าใจว่าตนเองนั้นยังคงประเมินหลี่ชิเย่ต่ำเกินไป
ก่อนหน้านั้น เขาเคยประเมินศักยภาพของหลี่ชิเย่มาก่อน ภายใต้การประเมินของเขานั้น ต่อให้หลี่ชิเย่แข็งแกร่งมากกว่านี้ก็ตาม เขายังคงกำไพ่เหนือกว่า การที่จะสังหารหลี่ชิเย่นั้นใช่เป็นเรื่องยากเย็นอะไร กระทั่งกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่มั่นใจมาก
เวลานี้การลงมือของหลี่ชิเย่ ทำให้มู่เส้าเฉินมีมุมมองต่อกำลังความสามารถของหลี่ชิเย่ถึงแก่นยิ่งกว่า ในขณะนี้ มู่เส้าเฉินคิดจะปรับวิธีการที่จะรับมือกับหลี่ชิเย่ของตน แต่ทว่า ศักยภาพของหลี่ชิเย่นั้นอยู่เหนือกว่าที่เขาประเมินเอาไว้มากทีเดียว ทำให้วิธีการที่จะนำมารับมือกับหลี่ชิเย่นั้นไม่สามารถนำมาใช้ได้อีกแล้วในเวลานี้
“เกรงว่าหากเจ้าไม่มีอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุค จะต้องตายสถานเดียว ต่อให้มีอาวุธปฐมบรรพบุรุษก็ช่วยอะไรไม่ได้” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเฉยเมย
ในเวลานี้ ทุกคนต่างกลั้นหายใจมองดูเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ความจริงแล้ว ทุกคนต่างก็หวาดกลัวและเป็นกังวลอย่างยิ่ง ทุกคนไม่ได้เพียงแค่สนใจในเรื่องที่ว่าระหว่างหลี่ชิเย่กับมู่เส้าเฉินใครจะเป็นฝ่ายชนะในการต่อสู้ชี้ขาดเท่านั้น ขณะเดียวกันผู้คนจำนวนไม่น้อยให้ความสนใจก็คือ มู่เส้าเฉินมีอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคจริงหรือไม่
ทุกคนคาดเดาได้ว่า มู่เส้าเฉินต้องนำเอาอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคมาด้วยแน่นอน จะอย่างไรเสียปฐมบรรพบุรุษตระกูลมู่คือปฐมบรรพบุรุษที่น่ากลัวมากคนหนึ่ง ได้ทิ้งอาวุธปฐมบรรพบุรุษเอาไว้เป็นจำนวนไม่น้อย สำหรับอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคนั้นคงพูดยาก
แต่ทว่ายังคงมีคำเล่าลือว่ามู่เส้าเฉินได้นำเอาอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคตระกูลมู่ติดตัวมาด้วย และด้วยเหตุนี้เอง ทุกคนต่างรอคอยที่จะได้เห็นอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคของมู่เส้าเฉิน หากลงมือด้วยอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคจริงๆ ล่ะก็ มันคือสิ่งที่ยากจะจินตนาการถึงอานุภาพที่น่ากลัวของมันได้
“หลี่ชิเย่ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเจ้ามีความแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่ทว่า เจ้ายังไม่ได้แข็งแกร่งมากถึงขั้นสามารถต้านอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคเอาไว้ได้” มู่เส้าเฉินสูดลมหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง ดูสงบนิ่งขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว เขานับเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองโดยแท้จริง และเป็นผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์ยิ่งใหญ่มาแล้ว แม้แต่ราชันแท้จริงก็เคยพอเจอมาแล้ว ดังนั้น ต่อให้เมื่อครู่เกิดความหวาดกลัวและสับสน แต่เขาสามารถสะกดอารมณ์เอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว
หลี่ชิเย่มองดูมู่เส้าเฉินแวบหนึ่งยิ้มเฉยเมย และกล่าวว่า “อย่างนั้นรึ? นอกเหนือจากอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคแล้ว เจ้ายังมีท่าไม้ตายอะไรอีก? อาศัยกำลังความสามารถของเจ้า เกรงว่าคงสุดที่จะรับมือข้าได้ แม้ว่าเป็นความจริงที่พรสวรรค์เจ้าไม่เลวนัก เสียดาย เจ้าไม่สามารถใช้มันกับการบำเพ็ญเพียร มิฉะนั้นล่ะก็เจ้าคงไม่ได้มีทักษะเพียงเท่านี้ ไม่แน่นักอาจสามารถดิ้นรนได้บ้างภายใต้ฝีมือของข้า แน่นอน หากเจ้าตั้งใจใช้พรสวรรค์นี้ไปกับการบำเพ็ญเพียร เจ้าคงไม่ต้องระเห็จลงมาที่แดนลัทธิพรรษแล้วล่ะ”
“เจ้า…” สีหน้าของมู่เส้าเฉินแดงก่ำขึ้นทันทีกับคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ถึงกับจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ
คำพูดคำนี้ของหลี่ชิเย่เท่ากับไปแกะแผลที่อยู่ในใจของมู่เส้าเฉิน เป็นความจริงที่พรสวรรค์ของเขานั้นสูงมากยากที่จะจินตนาการ มิฉะนั้นแล้วหลี่ชิเย่คงไม่พูดว่าพรสวรรค์ของเขาไม่เลวนัก คำพูดที่ออกจากปากหลี่ชิเย่ว่าไม่เลยโดยแท้ ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าพรสวรรค์ของเขาสะเทือนเลื่อนลั่นจริงๆ แล้ว
พรสวรรค์ของมู่เส้าเฉินนั้นอย่าว่าแต่ที่แดนลัทธิพรรษเลย แม้แต่ในแดนลัทธิราชันก็ยากจะหาผู้ใดเทียม
แต่ว่า มู่เส้าเฉินมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลมู่ ทั้งยังมีพรสวรรค์ที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง กล่าวสำหรับเขาแล้วทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกล้วนแล้วแต่ง่ายดายยิ่ง สามารถไขว่คว้าทุกสิ่งทุกอย่างมาได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เขาเกิดความหยิ่งผยองไม่ตั้งใจกับการฝึกฝน น้อยครั้งมากที่เขาจะไปฝึกฝนอะไร
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ตัวเขาที่แม้ว่าจะมีพรสวรรค์ที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง แต่ด้านทักษะยุทธบอกได้แต่เพียงแค่โดดเด่นกว่าอัจฉริยะบุคคลอื่นๆ เท่านั้นเอง ไม่ถึงขั้นปราดเปรื่องน่าทึ่ง ถ้าหากเขาจะมีความพยายามอีกสักนิด มาวันนี้เขาอาจอยู่ในระดับราชันแท้จริงมานานแล้วก็เป็นได้
กล่าวสำหรับมู่เส้าเฉินแล้ว เขาไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องทักษะยุทธว่าแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยเป็นพิเศษ ในมุมมองของเขามองว่า ต่อให้เป็นศัตรูที่กล้าแข็งมากไปกว่านี้ เขาก็มีวิธีร้อยแปดพันเก้าที่จะเอาชนะได้
แต่ทว่า เมื่อต้องเผชิญกับพลังที่แข็งแกร่งที่เด็ดขาด วิธีการทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงแค่เมฆที่ล่องลอยเท่านั้นเอง ถึงมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมมากไปกว่านี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เอง ด้วยเหตุผลบางประการทำให้มู่เส้าเฉินต้องระเห็จจากแดนลัทธิราชันร่วงลงสู่แดนลัทธิพรรษ มิฉะนั้นล่ะก็ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ใครบ้างล่ะที่ยินดีระหกระเหินจากแดนลัทธิราชันลงมายังแดนลัทธิพรรษกันเล่า? จะอย่างไรเสียที่แดนลัทธิราชันมีทรัพยากรที่สมบูรณ์ยิ่งกว่า
การที่มู่เส้าเฉินต้องตกระกำลำบากมายังแดนลัทธิพรรษย่อมมีความลำบากใจของเขา ต่อให้เขามีพรสวรรค์ที่สูงมากกว่านี้ และตระกูลมู่ของเขาแข็งแกร่งมากกว่านี้ ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
กล่าวได้ว่าสิ่งนี้คือแผลที่อยู่ในใจของมู่เส้าเฉิน เวลานี้หลี่ชิเย่พลันไปแกะแผลที่อยู่ในใจของเขา แล้วจะไม่ให้เขาต้องโกรธได้อย่างไรกันเล่า
“ทำไม ยอมรับไม่ได้อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และกล่าวว่า “แต่ว่า ไม่มีปัญหา ยังมีเรื่องที่เจ้าจะต้องกล้ำกลืนยิ่งกว่า การเป็นศัตรูกับข้าเกรงว่าเจ้าที่เป็นอัจฉริยะบุคคลตลอดกาล หากอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เจ้าทำได้เพียงกล้ำกลืนและใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เท่านั้น! ถึงตอนนั้น เจ้าที่ภูมิใจในพรสวรรค์ของตน ตระกูลมู่ที่เจ้าเข้าใจไปเองว่าปราศจากผู้ต่อกร เมื่ออยู่ต่อหน้าของข้ามันก็แค่พวกชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้นเอง”
“เจ้า…” มู่เส้าเฉินถูกยั่วโมโหจนตัวสั่นเทาอีกครั้ง เขาเคยต้องถูกรังแกเช่นนี้เมื่อไหร่กันตั้งแต่มาถึงแดนลัทธิพรรษ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่แห่งใดในแดนลัทธิพรรษก็ตาม ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ ก็ตาม เขาก็มีฐานะสูงส่งดั่งดาวล้อมเดือน แม้แต่ระดับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิยังต้องให้ความเคารพอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าของเขา คำพูดของหลี่ชิเย่ในเวลานี้นับว่าสุดที่จะกล้ำกลืนความอัปยศนี้เอาไว้ได้ ทำให้เขาถึงกับต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน!
หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และก้าวเข้าไปหามู่เส้าเฉินช้าๆ
ตึง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้เอง อินทรียักษ์พลันกางปีกออกมา ขวางทางหลี่ชิเย่เอาไว้
ปีกของอินทรียักษ์ดั่งเหล็ก โดยเฉพาะขนทุกเส้นของมันเสมือนดั่งตีขึ้นมาจากเหล็กนิลอย่างนั้น ทุกๆ เส้นขนของมันก็คล้ายเป็นกระบี่แต่ละเล่มที่คมกริบ
เมื่อปีกของอินทรียักษ์กางออกก็คล้ายดั่งเป็นกระบี่เหล็กนิลเป็นพันเป็นหมื่นเล่มที่กางออก เหมือนหนึ่งเป็นพัดขนาดยักษ์ที่ขวางทางหลี่ชิเย่เอาไว้
สมควรทราบว่า เจ้าอินทรียักษ์ตัวนี้คือพาหนะของเทพอินทรีหวินตู้ โดยตัวของมันเองสามารถสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มานานแล้ว มีความแข็งแกร่งยิ่งนักปราศจากผู้เทียบเทียม ขณะอยู่ใต้บังคับบัญชาของเทพอินทรีหวินตู้ได้เคยสังหารระดับเทพแท้จริงมาเป็นจำนวนมาก กำลังความสามารถนั้นเรียกได้ว่าแกร่งจนบอกไม่ถูก
เมื่อปีกของอินทรียักษ์กางออก เสมือนหนึ่งกระบี่เหล็กนิลแต่ละเล่มที่สะบั้นแปดทิศ ตัดขาดหมื่นอาณาจักร ทำการปิดกั้นทางไปของหลี่ชิเย่เด็ดขาด ดูเหมือนหลี่ชิเย่ยากที่จะก้าวไปข้างหน้าได้แม้เพียงครึ่งก้าว
“หยุด…” เวลานี้อินทรียักษ์ถึงกับปริปากพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์ แม้ว่าคำพูดดูติดขัดไม่คล่อง แต่อย่างน้อยที่สุดเป็นการบ่งบอกว่าอินทรียักษ์ตัวนี้ติดตามเทพอินทรีหวินตู้มานานถึงเพียงนี้ มันสามารถสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเบิกปัญญาแล้วจริงๆ
“ต่อให้เป็นนายของเจ้าลงมือด้วยตนเองก็ขวางข้าไม่ได้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้า” เมื่อหลี่ชิเย่ถูกขวางโดยอินทรียักษ์ก็ไม่ได้มีท่าทีร้อนรนอะไร แค่ยิ้มๆ
“หลี่ชิเย่ เจ้าเกินไปแล้วนะ ลำพังแค่เจ้าสังหารผู้คนไปมากมายเช่นนี้ ทุกคนก็สามารถสังหารเจ้าได้” ในเวลานี้เองปรากฎเสียงที่แก่หง่อมลงมาจากบนท้องฟ้า เป็นเสียงของเทพอินทรีหวินตู้นั่นเอง แม้ว่าเทพอินทรีหวินตู้จะไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ แต่ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับอยู่ที่นี่
“แล้วมันเป็นอย่างไร” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบเฉยว่า “การที่ข้าจะเป็นศัตรูกับทั่วหล้าก็ไม่เห็นจะมีอะไร ใครขวางทางข้าฆ่าไม่มีละเว้น หากจะสังหารสิ้นผู้คนใต้หล้าแล้วจะเป็นอะไรไป”
พลันที่พูดคำพูดคำนี้ออกมา ทำให้ผู้คนทั้งหมดต้องอ้าปากตาค้าง ในยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากมองว่า ขอเพียงเป็นคนที่มีสติปัญญานิดหนึ่งก็จะไม่พูดคำพูดที่อวดดีเช่นนี้ออกมา แต่หลี่ชิเย่กลับพูดคำพูดเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนทั่วหล้า มันคือการไม่เห็นผู้คนทั่วหล้าไม่อยู่ในสายตาชัดๆ
แต่ว่า ต่อให้รู้อยู่แล้วว่าหลี่ชิเย่ไม่เห็นผู้คนใต้หล้าอยู่ในสายตา ทุกคนทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆ เท่านั้น ไม่รู้จะทำอะไรได้ คนโหดผู้นี้พูดได้ทำได้ ใครอยากจะไปหาเรื่องตายเล่า?
“เจ้าคนไม่รู้จักคำว่าตาย โง่เขลาอวดดี!” เทพอินทรีหวินตู้ร้องเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา
“เอาล่ะ อย่ามัวแต่พูดเรื่องที่หาความจริงไม่ได้” หลี่ชิเย่โบกเมือเบาๆ และกล่าวว่า “เจ้าเองก็อย่าซ่อนตัวอยู่บนท้องฟ้าเลย ลงมาเสีย ข้าจะได้จัดการกับเจ้าพร้อมกันไปเลยทีเดียว หลังจากที่จัดการพวกเจ้าเรียบร้อยแล้ว ค่อยไปจัดการกับยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนลัทธิพรรษอะไรนั่นพร้อมกันไปทีเดียวเลย!”
ทุกคนต่างเสียวสันหลังวาบเมื่อคำๆ นี้ถูกพูดออกมา เจ้าคนโหดผู้นี้นับว่ามุทะลุดุนดันและโหดร้ายจนสุดเปรียบเปรย ไม่เพียงต้องการสังหารเทพอินทรีหวินตู้เท่านั้น ยังหาญกล้ากล่าววาจาสามหาวว่าต้องการสังหารเทพสงครามมังกรคชาธาร ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนลัทธิพรรษอีกด้วย
ในเวลานี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่อ้าปากตาค้างจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยท่าทางที่งุนงง ระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิถึงกับพูดเสียงแผ่วเบาว่า “นี่ออกจะกำแหงเกินไปแล้วกระมัง ไม่ทันใดก็บอกว่าจะสังหารขั้นอมตะ หรือเขาคิดว่าขั้นอมตะปั้นจากดินอย่างนั้นรึ? เกรงว่ายังไม่ทันได้สังหารอมตะ ตัวเองต้องตายไร้ที่ฝังเสียก่อนแล้ว”
ฮึ…บนท้องฟ้าปรากฎเสียงฮึที่น่าเกรงขามขึ้นมา ย่อมไม่ต้องสงสัยเสียงฮึน่าเกรงขามนี้ดังก้องถึงจักรวาล แม้แต่ดวงดาวยังสั่นเทาจนได้ยินเสียงดังขึ้นมา ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ได้ทำให้เทพอินทรีหวินตู้โกรธเสียแล้ว
เขาเป็นถึงขั้นอมตะนะเนี่ย ทอดสายตามองออกไปทั่วทั้งแดนลัทธิพรรษ เขาคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะสูงเด่น แค่กระทืบเท้าก็ทำให้สั่นเทาไปทั่วทั้งแดนลัทธิพรรษ เวลานี้กลับถูกหลี่ชิเย่พูดเสียไร้ค่าไปเลย เขาไม่โกรธจะไหวหรือ?
ตึง…เสียงหนึ่งดังขึ้น จังหวะที่เทพอินทรีหวินตู้กำลังโกรธอยู่นั้น ปีกของอินทรียักษ์ชี้ออกไป เสมือนดั่งกระบี่เหล็กนิลนับหมื่นเล่มที่ชี้ไปยังหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธอย่างนั้น
“เข้ามารับความตายเสีย…” เวลานี้อินทรียักษ์พูดเป็นเสียงมนุษย์น่าเกรงขามขึ้นมา
“แค่เดรัจฉานขนเรียบตัวหนึ่ง ถึงกับโอ้อวดกำลังต่อหน้าข้า ตาย!” หลี่ชิเย่มองดูอินทรียักษ์ทีหนึ่ง กล่าวเรียบเฉยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้าเดรัจฉานน้อย ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น!” อินทรียักษ์โกรธจัด ไม่ง่ายนักกว่าจะสื่อสารสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเบิกปัญญาได้ เกลียดที่สุดก็คือผู้อื่นหาว่ามันคือ ‘เดรัจฉานขนเรียบ’ ตัวหนึ่ง ดังนั้นจึงโกรธจนคลั่ง
เสียงตึง…ตึง…ตึง…ดังขึ้น อินทรียักษ์กางปีกโผบิน และโจมตีลงมาจากบนฟ้า พริบตาเดียวนั่นเองขนของมันเสมือนดั่งหมื่นกระบี่ที่สำแดงออกมาพร้อมกัน ตรงเข้าฟาดฟันหลี่ชิเย่
พริบตาเดียวนั่นเอง พลังกระบี่ที่ผาดโผน จากการที่ขนนกดั่งกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่ฟาดฟันลงมา ได้ยินเสียงดังฉึก ฉึก ฉึกขึ้น พลังกระบี่พลันโจมตีเข้าใส่จนพื้นดินกลายรูๆ และโจมตีจนภูเขาแต่ละลูกเป็นเหมือนกระชอนในทันที กระทั่งมีผู้ที่ทักษะอ่อนหนีไม่ทัน ถูกพลังกระบี่ที่น่ากลัวยิงจนกลายเป็นหมอกเลือดไป
“ระวัง…” ผู้คนจำนวนไม่น้อยล้วนแล้วแต่หวาดผวาทยอยกันหลบซ่อน เมื่อมองเห็นความน่ากลัวจากการโจมตีของอินทรียักษ์ด้วยความโกรธ
ตึง…เสียงหนึ่งดังขึ้น จังหวะที่พลังกระบี่ผาดโผนชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง หมื่นกระบี่ที่สำแดงพร้อมกันพุ่งเป้าไปที่ตัวของหลี่ชิเย่ ต้องการโจมตีหลี่ชิเย่จนกลายเป็นกระชอนในชั่วพริบตาเดียว
…………………………………………..