มู่เส้าเฉิน หลบหนีได้รวดเร็วมาก เขาไม่ได้หนีไปแบบห้อตะบึงอย่างนั้น แต่เป็นการกระโดดจากพิกัดหนึ่งไปยังอีกพิกัดหนึ่ง ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่าเขาได้เตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้แล้วแต่ต้นเอาไว้แล้ว
ตั้งแต่แรกเขาก็ได้ตระเตรียมการเอาไว้แล้วหากพ่ายแพ้ก็สามารถหลบหนีอย่างเอ้อระเหยในทันทีเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามู่เส้าเฉินนับว่ามีการวางแผนมาอย่างรอบคอบ
เสียดาย เขากลับต้องมาเจอะเจอกับผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานะอย่างหลี่ชิเย่เข้าให้ แม้ว่าเขาจะวางแผนรอบคอบมากไปกว่านี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้
ร้อนสุดขั้วของกระบี่ไฟเพียงแค่จิ้มจากระยะห่างไกลเท่านั้น ก็หลอมละลายอากาศธาตุ ทะลุช่องว่าง หนึ่งกระบี่นี้ไม่ได้ก้าวข้ามอากาศเพื่อไปสังหารมู่เส้าเฉิน เป็นเพียงความร้อนแผดเผาสายหนึ่งที่ทะลุผ่านอากาศไป
คล้ายเป็นเหล็กหลอมละลายหยดหนึ่งที่หยดลงบนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยหิมะอย่างนั้น มันละลายทะลุผ่านหิมะนั้นไปทันที ต่อให้เป็นหิมะที่สะสมกันจนหนามากไปกว่านี้ก็ต้านน้ำเหล็กหยดเล็กๆ ที่หยดลงมาไม่ได้
แม้ว่ามู่เส้าเฉินได้กระโดดจากพิกัดหนึ่งไปยังอีกพิกัดหนึ่ง และก้าวข้ามช่องว่างในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น แต่ว่าแค่ความร้อนแผดเผาเพียงหยดเล็กๆ หยดนั้นพลันหลอมละลายทะลุผ่านช่องว่าง และทะลุผ่านระยะทางนับสิบล้านลี้ในชั่วพริบตาเดียว
ความร้อนที่ร้อนสุดขั้วเพียงน้อยนิดนั่นประดุจดั่งสะเก็ดไฟน้อยนิดที่กระเด็นใส่มู่เส้าเฉินอย่างนั้น ตัวมู่เส้าเฉินเองพลันรับรู้ถึงอันตรายได้ทันที ในเสี้ยววินาทีนั่นเอง เขาได้เสกลูกแก้ววิเศษลูกนั้นซัดใส่ความร้อนที่สุดขั้วอันน้อยนิดนั่น แต่ทว่า ลูกแก้ววิเศษที่เป็นอาวุธกึ่งยอดเยี่ยมแห่งยุคในมือมู่เส้าเฉินไม่สามารถสำแดงอานุภาพที่ทรงพลังปราศจากผู้ต่อกรได้อีกแล้ว
เสียงปัง…ดังสนั่นหวั่นไหว ความร้อนหยดเล็กๆ นั่นปะทะเข้ากับลูกแก้ววิเศษลูกนั้น แม้ว่าจะเป็นอาวุธกึ่งยอดเยี่ยมแห่งยุค แต่ว่าเมื่อไม่สามารถสำแดงพลังที่แกร่งที่สุดออกมาได้ อานุภาพของมันก็มีอย่างจำกัด ลูกแก้ววิเศษลูกนี้ถูกกระแทกจนปลิวออกไป ภายใต้เสียงปังที่ดังสนั่นหวั่นไหว
ความร้อนแผดเผาที่เหมือนหยดน้ำเหล็กเพียงหยดเล็กๆ หยดหนึ่งที่กระเด็นใส่ตัวของมู่เส้าเฉิน ซึ่งมู่เส้าเฉินในเวลานี้ได้เพิ่มความเร็วของตนไปถึงจุดสูงสุดแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ยังคงไม่สามารถหนีรอดไปจากหยดความร้อนเพียงหยดเล็กๆ นี้ไปได้
“อ๊ากกก…” เสียงร้องเวทนาดังก้องไปทั่วฟ้าดิน เมื่อความร้อนแผดเผากระเด็นลงบนตัวของมู่เส้าเฉินแล้วนั้น มู่เส้าเฉินร้องเสียงน่าเวทนาขึ้นมา เสียงจี๊ดเสียงหนึ่งดังขึ้น ร่างกายของมู่เส้าเฉินถูกเผาไหม้และระเหยเป็นไอภายใต้ความร้อนแผดเผาเช่นนี้ ระเหยเป็นไอกระทั่งไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกในทันที
จังหวะที่ร่างของมู่เส้าเฉินระเหยไปอย่างสิ้นเชิงในพริบตาเดียวนั่นเอง มองเห็นประกายแสงที่อ่อนมาสายหนึ่งพลันบินจากไปอย่างรวดเร็ว และหายลับตาไปท่ามกลางท้องฟ้าที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาในชั่วพริบตาเดียว
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมย เมื่อมองเห็นประกายแสงที่อ่อนมากบินลับตาไปในทันที และกล่าวว่า “น่าสนใจ” แต่ก็ไม่ได้ไล่กวดไป
ทั่วฟ้าดินเงียบสงัดโดยพลัน ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ขณะมองดูร่างของมู่เส้าเฉินที่ถูกเผาไหม้จนระเหยกลายเป็นไอทั้งร่าง
แม้ว่าสายลมยังคงพัดมาแผ่วเบา ผืนแผ่นดิน ภูเขา แม่น้ำยังคงอยู่ แต่ว่านาทีนี้บรรยากาศทั่วทั้งเงินทองตกพื้นพลันแปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ทั่วบริเวณเงินทองตกพื้นพลันกลับกลายเป็นเงียบสงัดยิ่งนัก
ทุกคนไม่กล้ากระทั่งหายใจแรง ทุกคนล้วนแล้วแต่กลั้นลมหายใจเอาไว้ ในเวลานี้ทั่วบริเวณเงินทองตกพื้นเงียบสงัดจนสามารถได้ยินเสียงกระทั่งเข็มที่ตกลงพื้น
ก่อนหน้านั้น มู่เส้าเฉินนั้นโด่งดังแค่ไหน ผู้สืบทอดของตระกูลมู่ มีของวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนในครองครอง ยิ่งไปกว่านั้นเบื้องหลังยังมีผู้ยิ่งใหญ่ให้การสนับสนุน ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ เขามีพรสวรรค์ที่สุดยอดที่มีเพียงหนึ่งเดียวในหล้า ไม่รู้ว่ามีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนเท่าไรที่ต้องการขอความช่วยเหลือจากเขา
กล่าวได้ว่า หลังจากมาถึงแดนลัทธิพรรษ มู่เส้าเฉินสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ อย่าว่าแต่ระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์เลย กระทั่งเทพแท้จริงขั้นอมตะก็ยินดีออกมาสนับสนุนตัวเขา
ไม่มีผู้ใดโดดเด่นไปกว่ามู่เส้าเฉินในเวลานั้น ยิ่งไปกว่านั้น ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเมื่อมีการเอ่ยถึงตัวเขา ใครบ้างที่หาญกล้าไม่ยกย่องเขาว่า ‘นายน้อยมู่’
แต่ว่า ไม่ว่าจะเป็นตระกูลมู่ หรือมู่เส้าเฉินอะไร หรือผู้มีอิทธิพลเมื่อเสนอความเห็นแดนลัทธิพรรษก็จะคล้อยตาม หรือสุดยอดอัจฉริยะบุคคลอะไร และหรือมีวิธีการมากมายอะไรนั่น มาวันนี้เมื่อคนโหดอย่างหลี่ชิเย่พลันลงมือ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ดั่งเมฆและควันที่จางหายไป!
เมื่อต้องพบกับคนโหดอย่างหลี่ชิเย่แล้ว ทุกอย่างก็กลายเป็นเถ้าธุลี ทุกอย่างล้วนไม่คู่ควรจะกล่าวถึง
แม้แต่ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะเทพอินทรีหวินตู้ ซึ่งเป็นเทพแท้จริงขั้นอมตะคนหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วยังคงกลายเป็นเถ้าธุลีเท่านั้น กระทั่งไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกสักนิด ถูกทำให้ระเหยไปทันที เหมือนว่าไม่เคยปรากฎตัวอยู่บนโลกใบนี้มาก่อน
นี่คือขั้นอมตะคนหนึ่งนะเนี่ย เคยเกรียงไกรไปทั่วทั้งแดนลัทธิพรรษ เคยปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า แม้ว่าไม่สามารถเทียบได้กับยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนลัทธิพรรษอย่างเทพสงครามมังกรคชาธารได้ แต่ทว่า ทอดสายตามองไปทั่วแดนลัทธิพรรษ จะมีสักกี่คนที่ต่อกรกับเขาได้เล่า?
แต่ว่า เมื่อคนโหดอย่างหลี่ชิเย่ลงมือนั้น ทุกอย่างเป็นเพียงเมฆที่ลอยล่องเท่านั้น ทุกอย่างล้วนกลายเป็นเถ้าธุลีภายในระยะเวลาอันสั้น ทุกอย่างล้วนไม่คงอยู่อีกเลย!
ในเวลานี้ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างมองหน้ากันและกัน โดยเฉพาะบรรดายอดฝีมือ ระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่ยืนอยู่ข้างฝ่ายมู่เส้าเฉินแต่เดิมเหล่านั้น พวกเขาพลันมีสีหน้าที่ขาวซีดกระทั่งเข่าอ่อนทั้งสองข้าง ถึงกลับทรุดตัวนั่งลงกับพื้น เหงื่อเย็นไหลโทรมกาย ไร้สิ้นความกล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกมา
“ในที่สุดมู่เส้าเฉินก็ถูกจัดการไปแล้ว ข้าก็บอกแล้วว่า จะคอยดูว่าเขาจะทำยืดอกไปได้ถึงเมื่อไร” หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก มีอัจฉริยะกลุ่มคนรุ่นใหม่ถึงกับกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“นั่นน่ะสิ ฮึ เจ้าคนแซ่มู่ออกจะไม่เห็นแดนลัทธิพรรษพวกเราอยู่ในสายตาเสียแล้ว มาคราวนี้ให้เขาได้รูจักความไร้เทียมทานของแดนลัทธิพรรษพวกเราเสียบ้าง ทำอวดดีเวลานี้ตายอย่างไร้ที่ฝัง” โดยเฉพาะพวกที่หลงรักในองค์หญิงหวินตู้เหล่านั้น เมื่อพวกเขาเห็นมู่เส้าเฉินถูกสังหาร พวกเขาย่อมมีความสุขมากยิ่งกว่าใครๆ
เมื่อมู่เส้าเฉินตาย พวกเขาก็ขาดคู่แข่งทางความรักที่แกร่งที่สุดไป อนาคตพวกเขาย่อมมีโอกาสได้ครองใจสาวงามแล้ว
“นี่แหละจึงเป็นอัจฉริยะบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของแดนลัทธิพรรษ ผู้ดำรงอยู่ในฐานะปราศจากผู้ต่อกรมากที่สุด จะเป็นสามคุณชายอะไร สุดยอดดาบและกระบี่อะไรนั่น เมื่อเทียบกับหลี่ชิเย่แล้วไม่คู่ควรจะกล่าวถึง” และมีบางคนที่ถือเอาหลี่ชิเย่เป็นความภาคภูมิใจ กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “อนาคตต่อให้เผชิญกับอัจฉริยะบุคคลของแดนลัทธิราชัน หรือแดนลัทธิเซียน หลี่ชิเย่แห่งแดนลัทธิพรรษพวกเราก็สามารถบดขยี้พวกเขาได้! ฮึ อนาคตหลี่ชิเย่ก็จะเหมือนปราดเปรื่องน่าทึ่งเฉกเช่นเกาหยางอย่างนั้น แม้จะมีระดับปฐมบรรพบุรุษที่อยู่ในรุ่นเดียวกันก็ต้องถูกเขาสยบเอาไว้!”
“เทียบเคียงกับเกาหยางนะเนี่ย ดูท่าหลี่ชิเย่มีโอกาสเช่นนี้จริงๆ” แม้แต่ระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิบางคนก็พึมพำขึ้นมา
ปฐมบรรพบุรุษเกาหยาง นี่เป็นการเรียกขานที่พบเห็นได้น้อยมาก ปฐมบรรพบุรุษโดยทั่วไปผู้คนก็จะยกย่องเพียงปฐมบรรพบุรุษ ก ปฐมบรรพบุรุษ ข อะไรทำนองนั้น
ปฐมบรรพบุรุษเกาหยางเคยเป็นปฐมบรรพบุรุษปราดเปรื่องน่าทึ่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวไม่มีสองยิ่งนัก โดยปรกติแล้วน้อยครั้งนักที่จะถือกำเนิดระดับปฐมบรรพบุรุษสองคนขึ้นในยุคสมัยเดียวกัน กระทั่งบางยุคสมัยไม่ได้มีระดับปฐมบรรพบุรุษกำเนิดขึ้นเลยแม้แต่คนเดียว
ดั่งเช่นยุคสมัยของปฐมบรรพบุรุษเกาหยางไม่ได้มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่เป็นระดับปฐมบรรพบุรุษ ปฐมบรรพบุรุษหวินตู้แห่งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหวินตู้ก็กำเนิดขึ้นในยุคเดียวกันกับปฐมบรรพบุรุษเกาหยาง
แต่ว่า ต่างก็เป็นปฐมบรรพบุรุษด้วยกัน ตามคำเล่าลือบอกว่า ในยุคนั้นปฐมบรรพบุรุษหวินตู้ถูกสยบจากเกาหยางโดยตรง ใช่ว่าเป็นเพราะปฐมบรรพบุรุษหวินตู้มีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ บอกได้แต่เพียงเกาหยางปราดเปรื่องน่าทึ่งมากเกินไปแล้ว
เนื่องเพราะเหตุนี้เอง ปฐมบรรพบุรุษเกาหยางจึงถูกชนรุ่นหลังมองว่าเป็นหนึ่งในปฐมบรรพบุรุษที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งที่สุดคนหนึ่ง
เวลานี้มีผู้ที่ยกเอาหลี่ชิเย่มาเทียบเคียงกับปฐมบรรพบุรุษเกาหยาง ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่า เวลานี้ผู้คนจำนวนเท่าไรในแดนลัทธิพรรษที่มั่นใจในตัวของหลี่ชิเย่
ในเวลานี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่มองหลี่ชิเย่ว่าเป็นความภาคภูมิใจของแดนลัทธิพรรษ
“ฮึ แดนลัทธิราชันมีดีอะไร เฉกเช่นคนแซ่มู่ ก็แค่อาศัยความแข็งแกร่งของตระกูลมู่เท่านั้น ถ้าหากเขาแน่จริงคงเป็นราชันแท้จริงไปนานแล้ว หาใช่ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะว่าที่ราชันแท้จริงเท่านั้นเอง เมื่อเปรียบเทียบกับยอดอัจฉริยะบุคคลอันดับหนึ่งของแดนลัทธิพรรษแล้ว คนแซ่มู่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึงด้วยซ้ำ” ภายในระยะเวลาอันสั้น ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนเท่าไรที่เริ่มเลื่อมใสศรัทธาในตัวของหลี่ชิเย่ขึ้นมาแล้ว
โดยเฉพาะบรรดาอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองมู่เส้าเฉินเป็นคู่แข่งทางความรักเหล่านั้น เวลานี้หลี่ชิเย่ได้สังหารมู่เส้าเฉิน ช่วยกู้หน้าของตนกลับมา เวลานี้พวกเขาจึงกลายเป็นผู้สนับสนุนของหลี่ชิเย่ไปทันที
สิ่งนี้จะไปโทษผู้บำเพ็ญตนของแดนลัทธิพรรษที่ประจบสอพลอผู้มีอำนาจกว่าก็ไม่ถูก โลกของผู้บำเพ็ญตนเป็นลักษณะของปลาใหญ่กินปลาเล็กตลอดมา นับถือศรัทธาต่อผู้ที่แกร่งกว่า ขอเพียงบุคคลผู้นั้นแข็งแกร่งมากพอ แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ที่มีความผิดมหันต์ไม่อาจอภัยได้ก็มีคนที่เลื่อมใสศรัทธาเช่นกัน
“อัจฉริยะบุคคลอันดับหนึ่ง?” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมยเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ และกล่าวว่า “ฉายาอัจฉริยะบุคคลอันดับหนึ่งดูธรรมดาเกินไป ข้าชอบให้เรียกว่าคนโหดอันดับหนึ่งมากกว่า”
“คนโหดอันดับหนึ่ง ฉายานี้ดีมาก แสดงถึงความพาลได้มากยิ่งกว่า” คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ผู้คนจำนวนไม่น้อยส่งเสียงเชียร์ ในเวลานี้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยล้วนแล้วแต่กลายเป็นผู้สนับสนุนของหลี่ชิเย่ และเลื่อมใสศรัทธาในตัวของหลี่ชิเย่
ท่าทีของหลี่ชิเย่อย่างไรก็ได้อย่างสิ้นเชิงกับเรื่องเช่นนี้ เขายิ้มเฉยเมยและกวาดสายตามองออกไป เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ยังมีใครจะปราบปรามข้าหรือไม่? ถือโอกาสที่ข้ายังอยู่ที่นี่ ยังมีโอกาสอยู่หากคิดจะปราบปรามข้า วันหน้าถ้าหากข้าไม่อยู่ที่นี่แล้วคิดจะปราบปรามข้าเกรงว่าคงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ เวลานี้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้ากันและกัน ในขณะนี้ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ แม้แต่บรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่เมื่อครู่สนับสนุนมู่เส้าเฉินอย่างเต็มที่ก็ไม่กล้าพูดสักคำ
เวลานี้บรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่สนับสนุนมู่เส้าเฉินอย่างเต็มที่อย่าว่าแต่ก็ไม่กล้าพูดสักคำ พวกเขาถูกทำให้ตระหนกตกใจจนแย่แล้ว กระทั่งมีผู้ที่ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นด้วยความตกใจ
เวลานี้อย่าบอกว่าจะปราบปรามหลี่ชิเย่เลย ถ้าหากหลี่ชิเย่จะไม่หาเรื่องพวกเขาก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้วล่ะ
“ไม่มีใครจะปราบปรามข้าใช่หรือไม่?” หลี่ชิเย่เพียงจ้องมองไปด้วยท่าทีเอ้อระเหยทีหนึ่ง จากนั้นสายตาไปตกอยู่บนตัวของนักพรตพเนจรหยางหมิง กล่าวด้วยท่าทีเฉยเมยว่า “แล้วคนสวยหยางหมิงล่ะ?”
ในเวลานี้ สายตาทั้งหมดล้วนแล้วแต่ตกอยู่บนตัวของนักพรตพเนจรหยางหมิง และมีผู้ที่ยิ้มเจื่อนๆ เกรงว่ายุคนี้คงมีเพียงคนโหดอันดับหนึ่งเท่านั้นที่กล้าพูดจาแทะโลมนักพรตพเนจรหยางหมิงต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้แล้ว
ท่าทีของนักพรตพเนจรหยางหมิงเย็นชา เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ขอเพียงเจ้าฝึกวิชามารดูดเลือด พรรคหยางหมิงยังคงมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องขจัดมารให้กับแดนลัทธิพรรษ”
“นักพรตพเนจรมาดูข้างๆ ข้าก็จะรู้ว่าข้าได้ฝึกวิชามารหรือไม่แล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มตามอารมณ์ กล่าวหยอกล้อออกไป
เวลานี้ นักพรตฉางเซินเม้มปากยิ้มเบาๆ และกล่าวว่า “ในฐานะที่เป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะ เจ้าแต่งนักพรตพเนจรเข้าบ้านโดยตรงก็สิ้นเรื่อง ให้นางอยู่ข้างกายเจ้าค่อยๆ พินิจพิเคราะห์ดูอย่างละเอียดว่าเจ้าได้ฝึกวิชามารหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนั้น หุบเขาอมตะของพวกเรามิเท่ากับได้ดองเป็นญาติกับพรรคหยางหมิงแล้ว”
คำพูดที่ส่อถึงความกล้าหาญในการแสดงออกของนักพรตฉางเซิน ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับอ้าปากตาค้าง
……………………………………………..