ฟ้าดินสั่นไหวโคลงเคลงไปมา เสมือนหนึ่งจูเซียงหวู่ถิงตกอยู่ท่ามกลางวันโลกแตกอย่างนั้น ฟ้าดินเริ่มมืดครึ้มสลัวลง โดยเฉพาะความมืดครึ้มสลัวแฝงไว้ซึ่งความมืดมน เหมือนว่าใต้พื้นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตของจูเซียงหวู่ถิงได้ปรากฎความมืดมนโผล่ขึ้นมาเป็นสายๆ ความมืดมนเป็นสายเหล่านี้เริ่มรวมตัวอยู่บนท้องฟ้า เสมือนดั่งต้องการปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมดของจูเซียงหวู่ถิงเอาไว้อย่างนั้น
เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว? เวลานี้ศิษย์และยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วนของจูเซียงหวู่ถิงต่างมีจิตที่รู้สึกหวาดผวาอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตน หรือว่ามนุษย์ปุถุชนธรรมดา และหรือสิ่งมีชีวิตบนโลกต่างมีจิตใจที่กระวนกระวายอย่างยิ่ง
สัญชาตญาณของทุกคนบอกพวกเขาโดยตรงว่ามีอันตรายถึงตัวแล้ว อีกทั้งมีความน่ากลัวและอันตรายอย่างยิ่ง สัญชาตญาณเช่นนี้ได้บอกกับทุกคน…รีบหนี
มันเรื่องอะไรกันแน่? สีหน้าของเทพสงครามมังกรคชาธารเปลี่ยนไป ลืมตาทั้งสองเหมือนดั่งตะเกียงวิเศษที่ส่องสว่างไปทั่วฟ้าดิน
คร๊ากกก คร๊ากกก คร๊ากกก…ในเวลานี้เอง เสียงที่แตกละเอียดดังขึ้นเป็นระลอก มองเห็นพื้นที่ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจูเซียงหวู่ถิงที่กว้างใหญ่ไพศาลปรากฎรอยแยกเป็นริ้วๆ ขึ้น คล้ายดั่งผืนแผ่นดินกำลังจะฉีกขาดอย่างนั้น
ตูม ตูม ตูมเสียงพังถล่มดังขึ้นเป็นระลอกไม่ขาดสาย จากการที่รอยแยกบนผืนแผ่นดินที่มีมากขึ้นๆ ทำให้ภูเขาแม่น้ำจำนวนไม่น้อยบนผืนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจูเซียงหวู่ถิงเริ่มพังถล่มลงมา
โอ้แม่เจ้า… ในเวลานี้เสียงผู้คนที่ร้องเสียงหลงดังขึ้นรอบๆ ทั้งสี่ด้าน ประชาขนจำนวนไม่น้อยทยอยกันหลบหนีละทิ้งถิ่นฐานของตน เมื่อพวกเขาได้วิ่งหนีออกมาแล้วเหลียวหลังกลับไปดู ปรากฎว่าถิ่นฐานบ้านเรือนของตนได้พังถล่มไปแล้ว ผืนแผ่นดินภูเขาแม่น้ำได้กลายเป็นหลุมขนาดยักษ์ เป็นที่สยดสยอง
เกิดเรื่องอะไรขึ้น? การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติกับจูเซียงหวู่ถิง ผืนแผ่นดินแตกละเอียด ทำเอายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วนตกใจเป็นอย่างยิ่งถึงกับหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนขนลุกซู่
ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากตรงไหน แม้แต่เทพสงครามมังกรคชาธารในขณะนี้ก็ไม่สามารถยืนยันได้
ตูม ตูม ตูมในเวลานี้เอง จูเซียงหวู่ถิงได้หยุดการสั่นไหวโคลงเคลงแล้ว ใต้พื้นดินคล้ายมีอะไรบางสิ่งต้องการดันตัวโผล่ออกมาเหนือพื้นดินอย่างนั้น
แม้ว่าเจ้าสิ่งนี้ยังไม่ทันได้โผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นดิน แต่ว่า กลิ่นอายที่มืดมนได้พวยพุ่งขึ้นมาแล้ว คล้ายดั่งความมีชีวิตชีวาที่คึกคักอย่างนั้น เหมือนว่าใต้พื้นดินมีสิ่งที่มืดมนกำลังตื่นขึ้นมาอย่างนั้น
ท่ามกลางเสียงดังตูมตามดังตูม ตูม ตูมขึ้นเป็นระลอก มองเห็นผืนแผ่นดินของจูเซียงหวู่ถิงยูนขึ้นมา แรกทีเดียวดูเหมือนเป็นเหมือนสุสานที่นูนยกตัวขึ้นมา จากนั้นก็คล้ายดั่งเป็นภูเขาลูกหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นดินอย่างนั้น สุดท้าย ได้ยินเสียงปังดังสนั่น ปรากฏเป็นเจดีย์โบราณที่โผล่พ้นผืนแผ่นดินขึ้นมาจนเศษดินกระจาย
เจดีย์โบราณนี้แกะสลักขึ้นมาจากหิน โดยเจดีย์โบราณนี้เหมือนเป็นเนื้อเดียวกันทั้งหลัง ทำให้ผู้คนที่มองเห็นสามารถรู้ได้ทันทีว่าเจดีย์โบราณดังกล่าวแกะสลักขึ้นโดยอาศัยหินขนาดยักษ์ก้อนเดียว
เจดีย์โบราณมีความโบราณเรียบง่าย แม้ว่าถูกฝังอยู่ใต้พื้นดิน แต่ดูจากลักษณะของมันแล้วก็รู้ว่าได้ผ่านกาลเวลามานับไม่ถ้วน ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือบนเจดีย์โบราณได้มีการสลักอักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ ทุกๆ อักขระยันต์ล้วนแล้วแต่ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม เหมือนเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง เหมือนว่าอักขระยันต์แต่ละตัวล้วนแล้วแต่สามารถสยบท้องฟ้าที่คราคร่ำด้วยดวงดาวได้หนึ่งผืน
กล่าวได้ว่า เจดีย์โบราณที่สลักอักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนหลังนี้ เหมือนว่ามันสามารถสยบภูติผีปีศาจบนโลกมนุษย์ได้ทั้งหมด สามารถสยบจอมมารและสิ่งชั่วร้ายในโลกมนุษย์ได้หมด
ไม่รู้ว่าเจดีย์โบราณหลังนี้ได้ฝังอยู่ใต้พื้นดินมานานเท่าไรแล้ว แม้ว่าอักขระยันต์ที่อยู่บนเจดีย์โบราณยังคงส่งประกายแวบวับ แต่ว่าประกายดังกล่าวดูจะอ่อนแอมากแล้ว เหมือนว่ากาลเวลาได้ขัดเกลาและทำให้พลังของอักขระยันต์ถูกบั่นทอนลง
จากประกายที่อ่อนแอนี้สามารถมองออกได้ว่า บรรดาอักขระยันต์ขณะถูกสลักลงบนตัวเจดีย์ใหม่ๆ นั้น จะต้องเปล่งประกายสีทองแวบวับแน่นอน มีความยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม สามารถสยบเหล่าชั้นฟ้าได้
อักขระยันต์ปฐมบรรพบุรุษ นี่คือบทคัมภีร์สยบ ระดับบรรพบุรุษผู้หนึ่งมองออกถึงความนัย เมื่อเห็นเจดีย์โบราณได้สลักอักขระยันต์เอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วน กล่าวด้วยความตระหนกขึ้นมา
‘บทคัมภีร์สยบ!’ ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกเย็นวาบในใจ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ปฐมบรรพบุรุษลงมือสลักอักขระยันต์ของบทคัมภีร์สยบด้วยมือตนเอง ต้องการสยบสิ่งใดกันแน่
ในเวลานี้ ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ขณะมองดูเจดีย์โบราณหลังนี้ที่โผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นดินทีละนิดๆ
มีคนอยู่ใต้เจดีย์ มีผู้ที่ตาดีมองเห็นใต้เจดีย์โบราณมีคนอยู่สองคน พวกเขาทั้งสองกำลังดึงเอาเจดีย์โบราณขึ้นมาจากใต้ดิน พวกเขาได้อาศัยพลังทั้งหมดที่มียกเอาเจดีย์โบราณขึ้นมาให้มันลอยตัวอยู่เหนือท้องฟ้า
เป็นมู่เส้าเฉิน กับอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสง เวลานี้ทุกคนต่างรู้สึกตกใน เมื่อมองเห็นหน้าตาของสองคนได้อย่างชัดเจน
ขณะที่ทุกคนมุ่งความสนใจไปอยู่ที่การต่อสู้ระหว่างคนโหดอันดับหนึ่งกับเทพสงครามมังกรคชาธารนั้น ไม่มีใครเห็นมู่เส้าเฉิน กับอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงได้ลอบหนีออกไปจากหวู่ถิง
ท่าทางของหลี่ชิเย่สงบนิ่งมากขณะมองดูเจดีย์โบราณที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า สมควรมาถึงแล้ว สวรรค์ก่อเภทภัยยังหลีกเลี่ยงได้ ก่อเภทภัยขึ้นเองไม่อาจมีชีวิตได้!
หลี่ชิเย่ไม่รู้สึกเหนือความคาดคิดที่ได้เห็นเจดีย์โบราณ เสมือนหนึ่งทุกสิ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในคาดการณ์ของเขาอย่างนั้น
หลานรัก พวกท่านทำเช่นนี้เพื่ออะไร? เวลานี้ดวงตาของเทพสงครามมังกรคชาธารเพ่งตรงไปข้างหน้า จ้องเขม็งไปที่เจดีย์โบราณหลังนั้น ในเวลานี้เอง เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้ว แต่ว่า ยังไม่รู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ภายในนั้นกันแน่
ฮ่า ฮ่าเทพสงคราม ลืมบอกท่านไปว่า นี่คือของขวัญชิ้นใหญ่ที่มอบให้ท่านกับจูเซียงหวู่ถิง มู่เส้าเฉินหัวเราะเสียงดัง และกล่าวว่า ขณะเดียวกันก็เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่มอบให้กับแดนลัทธิพรรษ วันนี้กล่าวสำหรับข้าแล้วนับว่าเป็นวันมหามงคลโดยแท้ ทั้งยังเป็นมงคลคู่อีกด้วย ไม่เพียงได้แต่งภรรยาสุดสวย ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หลังจากวันนี้ไปแล้ว ข้ามู่เส้าเฉินจะได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด ปกครองแดนลัทธิพรรษทั้งหมด ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว มู่เส้าเฉินได้หัวเราะออกมาดังลั่น
ในเสี้ยววินาทีนี้เอง มู่เส้าเฉิน กับอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงสองคนได้อาศัยความไวที่สุดยอดปราศจากผู้เทียบเทียมถอนตัวออกไปจากระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจูเซียงหวู่ถิงในทันที
คำบอกเล่าของมู่เส้าเฉินพลันทำให้สีหน้าของเทพสงครามมังกรคชาธารเปลี่ยนไปมากทีเดียว เขารู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว
ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด ปกครองแดนลัทธิพรรษทั้งหมด ผู้คนทั่วหล้าถึงกับใจหายใจคว่ำเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ช่างเป็นความทะเยอทะยานที่น่ากลัวเหลือเกิน
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้เอง มองเห็นเจดีย์โบราณปรากฏประกายเป็นสายขึ้นมา โดยประกายแต่ละสายไม่ได้แผ่ออกมาจากอักขระยันต์ที่สลักอยู่บนเจดีย์โบราณ แต่มาจากด้านในเจดีย์โบราณ อีกทั้งประกายแต่ละสายที่เปล่งออกมาเป็นประกายมืดมน
ประกายมืดมนแต่ละสายที่ออกมาจากเจดีย์โบราณดูเหมือนจริงมาก มันได้แทรกซึมออกมาจากด้านในของเจดีย์โบราณ
เป็นประกายมืดมนแต่ละสายที่แทรกซึมออกมาจากเจดีย์โบราณนี้แหละที่เข้าชะล้างอักขระยันต์ทั้งหมดที่สลักอยู่บนเจดีย์โบราณ จากการที่ประกายมืดมนที่แทรกซึมออกมาสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อักขระยันต์บนเจดีย์เกร่งมากยิ่งขึ้น สุดท้าย ประกายของอักขระยันต์ทั้งหมดได้ดับลง กลับกลายเป็นมืดสลัวไร้แสงทันที
ได้ยินเสียงช่าาา ช่าาา ช่าาาดังขึ้น อักขระยันต์ที่สลักอยู่บนเจดีย์โบราณถึงกับกระจายตกลงบนพื้นดั่งเม็ดทราย
คร๊ากกก คร๊ากกก คร๊ากกก…จากการที่อักขระยันต์ทั้งหมดตกลงบนพื้นแล้ว มองเห็นเจดีย์โบราณปรากฏรอยร้าวขึ้นเป็นริ้วๆ เหมือนเจดีย์ทั้งหลังพร้อมจะแตกละเอียดอย่างนั้น ในขณะนี้เหมือนว่าภายในเจดีย์โบราณมีสิ่งที่ชั่วร้ายกำลังจะทำลายเจดีย์โบราณออกมาอย่างนั้น
แย่แล้ว… สีหน้าของเทพสงครามมังกรคชาธารเปลี่ยนไปมากทีเดียว ร้องเสียงดังขึ้นมา แต่ว่า ในขณะนี้ต่อให้เทพสงครามมังกรคชาธารเข้าใจเรื่องราวแล้วจริงๆ ก็สายไปเสียแล้ว
เสียงปัง…ดังสนั่นขึ้นมา เจดีย์โบราณพลันแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ เศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวกระจาย เจดีย์โบราณทั้งหลังแตกละเอียดเป็นผงทันที
ตูม…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในพริบตาเดียวนั่นเอง ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกได้ว่ามีคลื่นบ้าคลั่งได้ครอบคลุมไปทั่วฟ้าดินโดยพลัน มองเห็นความมืดมนดั่งคลื่นที่โหมสาดซัดและขยายตัวขึ้นในทันที ปิดบังท้องฟ้าทั้งหมดในฉับพลัน พริบตาเดียวนั่นเองจูเซียงหวู่ถิงทั้งหมดตกอยู่ในความมืดมน ทุกคนต่างรู้สึกหวาดผวา
ความมืดมนนี้มาไวไปไว ในเสี้ยววินาทีนั่นเอง ความมืดมนทั้งหมดได้หดตัวลงโดยพลัน เหมือนคลื่นที่บ้าคลั่งลดลงอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวทั่วทั้งจูเซียงหวู่ถิงได้กลับคืนสู่ท้องฟ้าที่แจ่มใสอีกครั้ง ขณะที่ความมืดมนที่ปกคลุมทั่วฟ้าดินเหมือนคลื่นที่เคลื่อนเข้าหาฝั่งแล้วล่าถอยกลับไป
ผู้คนจำนวนมากเมื่อได้สติกลับมา และลืมตามองออกไป มองเห็นบริเวณที่เจดีย์โบราณแตกละเอียดนั้นได้มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว เป็นผู้ที่ดำทมึนไปทั้งตัว มองเห็นผู้นี้ดูมืดมนทั้งตัว เหมือนหนึ่งว่าเขาหลอมรวมกเข้าไปอยู่ท่ามกลางความมืดมน ไม่สามารถมองเห็นหน้าตาของเขาได้อย่างชัดเจน แต่ผ้าคลุมที่อยู่ด้านหลังปลิวไสวไปตามลม อีกทั้งผ้าคลุมของเขาถึงกับมีสีดำมืด ซึ่งเกิดจากการรวมรตัวกันของความมืดมน เมื่อผ้าคลุมลักษณะเช่นนี้ปลิวไสวไปตามลมนั้น ดุจดั่งความมืดมนพร้อมที่จะครอบคลุมฟ้าดินได้อย่างนั้น
ทุกคนมองไปที่คนที่มีร่างกายมืดมนไปทั้งร่าง ซึ่งคนผู้นี้มืดมนอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่สามารถอาศัยสายตามองทะลุตัวเขาได้ ไม่มีใครสามารถมองเห็นหน้าตาของเขาได้ชัดเจน เหมือนว่าเขาได้หลอมรวมเข้าไปอยู่ท่ามกลางความมืดทั้งหมดในโลก ให้ความรู้สึกผู้คนว่าสามารถปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เมื่อคนที่มีลักษณะเช่นนี้ยืนอยู่ที่ตรงนั้น แม้ว่าเขาจะไม่มีกลิ่นอายที่สะเทือนเลื่อนลั่น แต่ทำให้ผู้คนต้องสั่นเทาโดยตรง ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นเขาแล้วก็ต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนขนลุกซู่ ไม่เว้นแม้แต่เทพสงครามมังกรคชาธาร เนื่องจากลางสังหรณ์บอกทุกคนว่า คนผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าก็คือผู้บงการของความมืดมน เขาเป็นผู้กุมพลังความมืดมนทั้งหมด สามารถบดบังฟ้าดิน ขับไล่ความสว่างบนโลกมนุษย์
เทพสงครามมังกรคชาธารจ้องเขม็งไปที่คนผู้นี้และมองดูอย่างละเอียด ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร คนผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าดูจะคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นพิเศษ ทำให้เทพสงครามมังกรคชาธารรู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อนเสมอ ช่างคุ้นเคยอะไรอย่างนั้น และดูเหมือนจริงมาก
นี่ นี่ นี่หรือจะเป็น… เทพสงครามมังกรคชาธารพลันร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง บังเกิดความคิดที่น่ากลัวและบังอาจมาก พริบตาเดียวนั่นเอง เขาเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรจึงมีความรู้สึกว่าคนผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าคุ้นตามาก เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้วพลันทำให้เทพสงครามมังกรคชาธารรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนขนลุกซู่
ถูกต้อง เจ้าเดาได้ถูกต้องแล้ว ในขณะที่บังเกิดความคิดที่บังอาจและน่ากลัวขึ้นภายในจิตใจของเทพสงครามมังกรคชาธารอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า เขาก็คือหวู่จู่…ปฐมบรรพบุรุษจูเซียงหวู่ถิงของพวกเจ้า!
ว่าอย่างไรนะ เขา เขา เขาก็คือหวู่จู่! ทุกคนล้วนแล้วแต่หวาดหวั่นพรั่นพรึงจนขนลุกซู่ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ทุกคนต่างร้องเสียงแหลมขึ้นมา แม้แต่ระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ก็ยังต้องหวาดผวาจนหน้าถอดสี
เป็นไปไม่ได้ อย่าได้ทำให้ความบริสุทธิ์ของปฐมบรรพบุรุษต้องแปดเปื้อน! แม้ว่าในใจของเทพสงครามมังกรคชาธารจะมีความคิดที่น่ากลัวและบังอาจแล้ว แต่เขายังคงไม่ยอมรับ ร้องกล่าวเสียงดังขึ้นมา
……………………………………….