จากการดูดของอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสง ร่างกายของหลี่ชิเย่พลันถูกแยกร่างในชั่วพริบตาเดียว มองเห็นชิ้นส่วนที่แหลกละเอียดบินเข้าไปในปากที่กว้างใหญ่ของอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสง
สิ่งนี้ได้ทำให้ทุกคนถึงกับใจหายใจคว่ำ เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ถูกแยกร่างในชั่วพริบตาเดียว แม้แต่หลี่ชิเย่ก็ไม่สามารถรองรับการดูดลักษณะเช่นนี้ได้ ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่ามันมีความน่ากลัวเพียงใดแล้ว
หลี่ชิเย่จะพ่ายแพ้แล้วรึ? มีผู้ที่เอ่ยขึ้นมาด้วยความตระหนก
พูดยาก แต่ว่ากระบวนท่านี้ของอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงนับว่าน่าสยองขวัญมากเหลือเกิน มันเป็นกระบวนท่าที่ไม่มีกระบวนท่า แต่ว่า ทุกคนต่างก็มีกาลเวลาและเวลาที่เป็นของตนเอง เวลานี้มองดูแล้วร่างกายของหลี่ชิเย่กำลังถูกแยกร่าง ผู้ที่ไม่ทราบเรื่องเข้าใจว่าเป็นอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงที่กำลังกลืนกินร่างของเขา ความจริงเป็นการกัดกินกาลเวลาที่เป็นของหลี่ชิเย่ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ หลี่ชิเย่กำลังแก่ชราลง เมื่อกาลเวลาและเวลาของหลี่ชิเย่ถูกกลืนกินไปทั้งหมด เขาก็จะแก่ตายอย่างแท้จริง
ระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิผู้หนึ่งกล่าวด้วยท่าทีหนักแน่นจริงจังว่า สิ่งนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้ว ทุกคนต่างก็มีกาลเวลาที่เป็นของตนเอง ขอเพียงอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงดูดเข้าให้กับบุคคลผู้นั้น เว้นแต่บุคคลผู้นั้นสามารถต่อต้านเข้าได้ มิฉะนั้นล่ะก็ วันเวลาและอายุขัยของบุคคลผู้นั้นก็จะถูกเขาดูดเอาไป ก็ต้องแก่เฒ่าและตายไป แห้งและกลายเป็นเถ้าธุลีไป
ร่างกายของหลี่ชิเย่ถูกแยกร่างอย่างรวดเร็วภายใต้การดูดของอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสง เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น มองเห็นร่างกายของหลี่ชิเย่ถูกแยกไปจนเกือบจะหมดอยู่แล้ว ร่างกายทั้งร่างแทบจะกลายเป็นเถ้าธุลีอยู่แล้ว เหมือนว่าร่างกายของเขาได้ถูกดึงออกไปทีละนิดๆ ทุกๆ ส่วนของเนื้อหนัง เอ็นและกระดูกล้วนแล้วแต่กลายเป็นผุยผง
มองเห็นร่างกายของหลี่ชิเย่กำลังจะถูกแยกร่างไปโดยสิ้นเชิง ทั้งมู่เส้าเฉินและอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงต่างรู้สึกดีใจ แม้ว่าเคล็ดวิชาของหลี่ชิเย่จะหนึ่งไม่มีสองในหล้า กระบวนท่าที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง แต่ทว่า ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้กาลเวลาของตนเคลื่อนไปดั่งสายน้ำได้เล่า? ไม่มีเคล็ดวิชาใดๆ สามารถขัดขวางขณะที่กาลเวลาไหลไปดั่งสายน้ำ และไม่มีวิธีใดๆ สามารถรั้งเอาไว้ได้อยู่แล้ว
เจ้าคนแซ่หลี่ เจ้าตายแน่แล้วล่ะ ในเวลานี้เอง มู่เส้าเฉินถึงกับหัวเราะเสียงดังขึ้นมา
ปุเสียงหนึ่งดังขึ้น จังหวะที่ร่างกายของหลี่ชิเย่กำลังจะถูกแยกออกไปอย่างสิ้นเชิงนั้น ทันใดนั้นเองปรากฎประกายแสงแต่ละสายที่ระเบิดขึ้น มองเห็นร่างกายของหลี่ชิเย่ที่ถูกแยกออกพลันระเบิดเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นมา ดูช่างพร่างพราวและบริสุทธิ์เหลือเกิน
ประกายแต่ละสายที่เบ่งบานขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว คล้ายดั่งเป็นวันเวลานับล้านล้านปีที่พุ่งเข้ามา ประกายแต่ละสายทำให้ผู้คนก้าวข้ามเป็นล้านล้านปีในพริบตาเดียวอย่างนั้น
ภาพเช่นนี้สร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนมากเหลือเกิน เฉกเช่นการพนันศิลาอย่างนั้น เมื่อลอกเอาพื้นผิวแต่ละชั้นออกมา ดูท่ากำลังจะได้หินที่ไร้ค่าชิ้นหนึ่งอยู่แล้ว แต่ทว่า การลงมีดครั้งสุดท้ายกลับเผยประกายมรกตขึ้นมา หินวิเศษที่ยอดเยี่ยมมีเพียงหนึ่งไม่มีสองกำลังจะปรากฏขึ้นในหล้าแล้ว ความรู้สึกที่ทั้งตื่นเต้นและดีใจนั้น ช่างเป็นสิ่งที่สร้างความหวั่นไหวให้กับผู้คนมากเหลือเกิน
สิ่งนี้ยังคล้ายการขุดหาขุมทรัพย์อย่างนั้น ขุดลึกลงไปถึงหนึ่งหมื่นจ้างไม่ปรากฏสิ่งใดๆ เลย ทุกคนต่างเข้าใจว่านี่เป็นเหมืองร้างที่ไร้ค่า แต่การลงจอบขุดลงไปครั้งสุดท้าย ปรากฏแสงวิเศษที่พุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง สมบัติวิเศษที่แท้จริงถูกฝังอยู่ด้านล่างสุด นี่แหละคือสิ่งที่สร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนได้มากที่สุด
ตูมเสียงหนึ่งดังขึ้น ในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง หลังจากที่ประกายแต่ละสายระเบิดไปแล้ว ภายใต้การดูดของอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสง ประกายแสงทั้งหมดได้พุ่งเข้าไปหาพวกของอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสง
เสียงปังดังสนั่น แต่ทว่า ประกายแสงลำนี้ไม่รู้ว่ามีกาลเวลาในนั้นอยู่เท่าใด การที่มันพุ่งเข้ามาแล้วมองเห็นเพียงประกายแสงลูกกลมๆ ที่อยู่ในปากขนาดใหญ่ของอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงพลันถูกยิงจนแหลกละเอียด ขณะที่ประกายแสงลำนี้พุ่งเข้าหาอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงนั้น ได้ยินเสียงดังจี๊ดขึ้นมาเสียงหนึ่ง ในเสี้ยววินาทีนี้เอง อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงได้กลายเป็นคนที่แก่หง่อมยิ่งนัก
เนื่องจากเขารองรับกับกาลเวลาเช่นนี้ได้ กาลเวลาลักษณะเช่นนี้ช่างยิ่งใหญ่ไพศาลและน่าเกรงขามมากเกินไป ถ้าหากจะกล่าวว่าอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงสามารถกลืนกินกาลเวลาขนาดเท่ากับน้ำในทะเลสาบได้ เช่นนั้นแล้วกาลเวลาของหลี่ชิเย่ที่พุ่งเข้ามานั้นคือทะเลแห่งดวงดาวที่ไม่มีสิ้นสุด สามารถทำลาลตัวเขาให้พินาศย่อยยับได้ในพริบตา
ขณะที่ประกายแสงลำนี้พุ่งเข้ามาในพริบตา ไม่เพียงแต่อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสง แม้แต่มู่เส้าเฉินก็พลอยถูกลามเข้าไปด้วย เขาร้องเสียงดังอ๊ากกกขึ้น ถูกชำระชะเอาอายุขัยไปนับพันปี ทำให้มีผมเผ้ากลายเป็นสีขาวโพลน
ภายใต้การชะล้างของประกายแสงลำนี้ ได้ยินเสียงปุดังขึ้น ไม่เพียงแต่อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงที่ดูแก่หง่อมยิ่งนัก ร่างกายของเขายังปรากฏเป็นรอยร้าวขึ้นมามากมาย และร่างกายได้กลับกลายเป็นผุยผงนับไม่ถ้วน เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เขาก็ไม่สามารถรองรับได้กับการชะล้างของกาลเวลาในลักษณะเช่นนี้
ผู้อาวุโสหวู่ ในขณะนี้ มู่เส้าเฉินยิ่งรองรับไม่ไหว เขาร้องเสียงแหลมขึ้นมา
เสียงตูมดังสนั่น ในที่สุดปรากฏกำแพงศักดิ์สิทธิ์ด้านหนึ่งลงมาจากบนท้องฟ้า เข้าขวางประกายแสงที่ทำการชะล้างกาลเวลาที่มีต่ออสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงเอาไว้
จี๊ดเสียงหนึ่งดังขึ้น ในเสี้ยววินาทีนี่เอง กำแพงศักดิ์สิทธิ์ที่พราวพร่างด้านนี้ก็ต้านเอาไว้ไม่อยู่ ได้ยินเสียงปัง กำแพงศักดิ์สิทธิ์ด้านนี้ถูกหลอมละลายไปโดยสิ้นเชิงและแตกละเอียดในทันที กลายเป็นผุยผงจำนวนนับไม่ถ้วน
ในเสี้ยววินาทีนี้เอง ร่างเงาสายหนึ่งได้ช่วยอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงและมู่เส้าเฉินไปได้
ผู้ที่ช่วยอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงและมู่เส้าเฉินไปก็คือเทพสงครามมังกรคชาธารนั่นเอง เทพสงครามมังกรคชาธารได้ช่วยเหลืออสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงและมู่เส้าเฉินไปไว้ในตำหนักศิลาที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า
อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงและมู่เส้าเฉินทั้งสองถูกโยนลงพื้น ทั้งกลิ้งทั้งคลานหนีเข้าไปอยู่ด้านใน นาทีนี้อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงเรียกได้ว่ามีสภาพที่แก่หง่อมจนไม่รู้จะแก่หง่อมอย่างไรอีกแล้ว เหมือนยังคงเหลือลมหายใจอยู่เท่านั้น และมู่เส้าเฉินนั้นมีผมเผ้าที่ขาวโพลน จากชายหนุ่มที่มีท่าทางปราดเปรียวเริงร่ากลายเป็นคนแก่ที่เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง
ทุกคนที่ได้เห็นภาพนี้แล้วต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ แค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น หลี่ชิเย่ก็เกือบจะชะล้างอายุขัยที่คงเหลืออยู่ของคนทั้งสองไป มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสยองขวัญเช่นใด มันน่าสยองยิ่งกว่าสังหารพวกเขาทั้งสองให้ตายเสียอีก
เวลานี้ ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ ในเวลานี้เสมือนดั่งฟ้าดินกลับคืนสู่ดั้งเดิม เวลาย้อนกลับอย่างนั้น ร่างกายของหลี่ชิเย่รวมตัวเข้าด้วยกัน ประกายหดตัวเข้าไป เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ได้มายืนอยู่ตรงนั้นในสภาพที่ปรกติปลอดภัยทุกประการ เขาเหมือนยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่ได้กระดิกตัวกระทั้งปลายนิ้ว
กล่าวได้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบ หลี่ชิเย่ไม่ได้ลงมืออะไรเลยและไม่ได้ตอบโต้ ยืนอยู่แบบนี้แหละและเอาชนะอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงได้อย่างง่ายดาย
มาแข่งกาลเวลาและเวลากับข้า? หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มเฉยเมยและพูดว่า มันก็เหมือนมดที่ไม่รู้ว่าภูเขาแม่น้ำใหญ่ขนาดไหน
อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงในเวลานี้ไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว สีหน้าขาวซีด เขาถูกหลี่ชิเย่ทำให้หวาดกลัวแล้วอย่างแท้จริง เนื่องจากเขาไม่เคยพบเห็นผู้ที่มีกาลเวลาและเวลาที่ยิ่งใหญ่ไพศาลและน่าเกรงขามเช่นนี้มาก่อน คนผู้นี้เหมือนเป็นอมตะไม่มีวันตายอย่างนั้น มันออกจะน่าสยองขวัญเหลือเกิน ในเวลานี้ อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงถูกทำให้ตกใจจนเซ่อไปเลย
ท่าไม้ตายที่เขาภูมิใจนักหนาเมื่อมาอยู่ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนานและเนิ่นนานของหลี่ชิเย่แล้วไม่สามารถรับมือได้เลย มันก็คล้ายดั่งมดตัวหนึ่งที่ต้องการกลืนกินสิ้นภูเขาแม่น้ำที่ไม่มีสิ้นสุดอย่างนั้น มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แม้จะกล่าวว่า ท่าไม้ตายกระบวนท่านี้ของอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงจะเคยกลืนกินผู้ที่เป็นอมตะอยู่ในระดับเดียวกันกับเขามาก่อน กระทั่งกล่าวสำหรับเขาแล้วไม่มีความยากอะไรเลย แต่ว่า เมื่อมาอยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่แล้ว การกลืนกินของเขาไร้ค่าคู่ควรจะกล่าวถึง แม้ว่าหลี่ชิเย่จะยืนโดยไม่เคลื่อนไหวและปล่อยให้เขากัดกินไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วคนที่ตายไม่ใช่หลี่ชิเย่แต่เป็นตัวเขาเอง หลี่ชิเย่แค่อาศัยกาลเวลาน้อยนิดพุ่งเข้ามาอย่างตามอารมณ์ เขาก็ต้องหายวับไปกับตาในพริบตาเดียว จมหายไปท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนานทันที
เวลานี้ทุกคนล้วนแล้วแต่กลั้นลมหายใจเอาไว้ ทุกคนต่างเข้าใจได้ว่า อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่เลย ศักยภาพระหว่างพวกเขาห่างชั้นกันมากทีเดียว
ในขณะนี้สายตาของทุกคนล้วนแล้วแต่ตกไปอยู่บนตัวของเทพสงครามมังกรคชาธาร ถ้าหากจะกล่าวว่าแดนลัทธิพรรษในเวลานี้ยังมีใครที่มีความเป็นไปได้สามารถเอาชนะคนโหดอันดับหนึ่งได้ล่ะก็ คนๆ นั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเทพสงครามมังกรคชาธารที่อยู่ตรงหน้าแล้ว
ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนลัทธิพรรษใช่เป็นเพียงชื่อเสียงจอมปลอม แต่นาทีนี้ทุกคนต่างคาดเดาว่า ลำพังอาศัยกำลังของเทพสงครามมังกรคชาธารเพียงคนเดียว เกรงว่าเทพสงครามมังกรคชาธารยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนโหดอันดับหนึ่ง
นาทีนี้ สิ่งที่ทุกคนอยากจะเห็นก็คือ ไม่รู้ว่าการควบคุมพลังต้นกำเนิดจูเซียงหวู่ถิงของเทพสงครามมังกรคชาธารก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว ถ้าหากเทพสงครามมังกรคชาธารไม่สามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดจูเซียงหวู่ถิงได้อย่างสิ้นเชิงล่ะก็ เกรงว่าก็คงเคว้งแล้วล่ะ
ในทางตรงกันข้าม นาทีนี้ทุกคนต่างกระหายอยากให้เทพสงครามมังกรคชาธารมีกำลังที่แข็งแกร่งมากพอ ไม่อย่างนั้นแล้วหากอ่อนเกินไปล่ะก็ ศึกครั้งนี้ก็ไม่ค่อยมีความหมายแล้ว คนโหดอันดับหนึ่งก็จะปราศจากผู้ต่อกรอย่างแท้จริงแล้ว
เห็นทีเจ้าไม่รู้จักคำว่าตายเสียแล้ว หลี่ชิเย่มองหน้าเทพสงครามมังกรคชาธารทีหนึ่งยิ้มกล่าวเฉยเมยขึ้นมา
ผู้คนทั่วหล้าต่างมองดูภาพนี้อย่างเงียบๆ นาทีนี้ทุกคนไม่ได้รู้สึกว่ามันอยู่เหนือความคาดคิดอะไรแล้ว ถ้าหากว่ามีใครกล้าพูดกับยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนลัทธิพรรษว่า ‘ไม่รู้จักคำว่าตาย’ นั่นเป็นการไม่เจียมตัวแน่นอน แต่เมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากของคนโหดอันดับหนึ่งแล้ว ทุกคนไม่ได้รู้สึกว่าคำพูดนี้มันไม่เหมาะสมตรงไหน
ท่านยกตนข่มท่านมากเกินไปแล้ว เทพสงครามมังกรคชาธารเอ่ยขึ้นช้าๆ จะอย่างไรเสียวันนี้ก็เป็นวันมหามงคลของจูเซียงหวู่ถิงพวกเรา…
ไม่ หลี่ชิเย่กล่าวตัดบทเทพสงครามมังกรคชาธาร ส่ายหน้าและยิ้มกล่าวว่า ไม่มีวันมหามงคลอะไรทั้งนั้น วันนี้เป็นเพียงวันธรรมดาวันหนึ่งเท่านั้น เสียดาย พวกเจ้ากลับทำให้มันกลายเป็นงานศพ!
ครั้นหลี่ชิเย่ได้เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วมองหน้ามู่เส้าเฉิน กับหวังซื่อฮว๋าทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า คนที่ข้าจะฆ่า ไม่ว่าใครก็ขวางไม่อยู่ เพียงแต่ข้าไม่รีบร้อนที่จะฆ่าเท่านั้นเอง ในเมื่อมีคนคิดจะขวางข้าก็จะได้รวบทีเดียว ทุกคนต่างยกย่องให้เจ้าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนลัทธิพรรษ เอาเถอะ วันนี้ข้าว่างอยู่พอดีเอาเจ้ามาอุ่นเครื่องสักหน่อย ยืดเส้นยืดสายเสียบ้าง ข้าไม่ได้ขยับตัวมานานมากแล้วเกือบจะเป็นสนิมแล้วล่ะ
ทุกคนถึงกับยิ้มเจื่อนๆ ในโลกนี้เกรงว่าคงมีคนโหดอันดับหนึ่งเท่านั้นที่กล้าพูดว่าจะเอายอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนลัทธิพรรษมาอุ่นเครื่องยืดเส้นยืดสายสักหน่อย คำพูดลักษณะเช่นนี้พาลและใช้อำนาจบาตรใหญ่จนไม่มีคำพูดใดมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
ท่านคือกำไพ่ตายในมือแล้วซิ ดวงตาทั้งสองของเทพสงครามมังกรคชาธารเพ่งไปข้างหน้า และจ้องเขม็งที่หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นช้าๆ
ไม่ หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และยิ้มกล่าวว่า ระดับเช่นพวกเจ้าข้าไม่มีวิธีการพูดที่ว่าถือไพ่เหนือกว่า มีเพียงความคิดที่ว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าพวกเจ้าเท่านั้นเอง ไม่ได้มีวิธีการพูดที่ว่าสามารถเอาชนะพวกเจ้าได้หรือไม่! เจ้าจะใช้คำพูดกับมดตัวหนึ่งด้วยคำพูดที่ว่าข้าถือไพ่เหนือกว่าเจ้าหรือเปล่า? เพียงแต่ข้าอยากจะยกเท้าเหยียบมันให้ตายหรือไม่เท่านั้นเอง
………………………………………………….