นี่มันเป็นไปไม่ได้กระมัง จะเป็นหวู่จู่ได้อย่างไรกันเล่า ไหนบอกว่าหวู่จู่ขึ้นสู่สวรรค์นานแล้วมิใช่รึ? ระดับบรรพบุรุษอดที่จะสงสัยในใจเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่
เทพสงครามมังกรคชาธารร้องกล่าวเสียงดัง ตวาดและกล่าวตำหนิหลี่ชิเย่ แต่ว่าในใจของเขาไม่มีความมั่นใจเลย เนื่องจากคนผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าคุ้นตาเหลือเกิน แม้ว่าจะมองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จิรงของคนผู้นี้ แต่ดูจากรูปร่างแล้วเหมือนกับภาพวาดของปฐมบรรพบุรุษของพวกเขาจริงๆ
พูดให้ถูกต้อง นี่คือส่วนหนึ่งของปฐมบรรพบุรุษของพวกเจ้า ท่าทีของหลี่ชิเย่เรียบเฉยสำหรับการตวาดตำหนิของเทพสงครามมังกรคชาธาร และกล่าวว่า หวู่จู่ของพวกเจ้าอาศัยความเป็นนักสู้สู่ผู้บำเพ็ญตน จึงบังเกิดความหยิ่งทะนงตนในใจ ภายในใจที่มีมารแต่แรกอยู่แล้ว ครั้นบรรลุขั้นสุดยอดในเวลานั้นและคิดจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดก็ต้องขับใจมารของตนออก ดังนั้น หลังจากเขาได้กลายเป็นปฐมบรรพบุรุษไปแล้ว ก็อาศัยสุดยอดวิธีในการขับใจมารของตนออกไป
เสียดาย หวู่จู่ของพวกเจ้าอาศัยความเป็นนักสู้สู่ผู้บำเพ็ญตน ความหยิ่งทะนงตนได้หยั่งรากลึกในใจมานานแล้ว ดังนั้น ใจมารจึงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายหวู่จู่เอง การขับใจมารของหวู่จู่พวกเจ้าก็คือฉวยโอกาสตัดสินใจดำเนินการอย่างเฉียบพลัน เท่ากับเป็นการฟันใส่สัจธรรมของตนเอง เนื่องเพราะใจมารนี้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของเขา ดังนั้น หวู่จู่ของพวกเจ้าจึงไม่มีวิธีที่จะกำจัดมันได้โดยตรง มิฉะนั้นล่ะก็ สัจธรรมของเขาจะต้องสลาย…
…ดังนั้น หวู่จู่ของพวกเจ้าจึงคิดหาวิธีได้มาวิธีหนึ่ง โดยการสยบมันเอาไว้ภายใต้ผืนแผ่นดินของจูเซียงหวู่ถิง อาศัยพลังของจูเซียงหวู่ถิงทั้งหมดมาสยบมัน ขณะเดียวกันได้หลอมสร้างอาวุธที่ใช้สำหรับสยบมันโดยเฉพาะขึ้นมาชิ้นหนึ่ง และอาวุธดังกล่าวก็มีชื่อว่า…กระบองหวู่เต้า! กระบองหวู่เต้านี้ได้ซ่อนสิบสองกระบวนท่าหวู่จู่ที่ปราศจากผู้ต่อกรที่สุดของหวู่จู่เอาไว้!
หวู่จู่ของพวกเจ้าหวังอาศัยความศรัทธาของลูกหลานจูเซียงหวู่ถิงในทุกยุคทุกสมัย และพลังจากกาลเวลาที่ผ่านไป ทำให้ใจมารที่ถูกสยบสลายไปตามกาลเวลา น่าเสียดาย ลูกหลานของพวกเขากลับโลภมากเกินไป เข้าใจตลอดเวลาว่าหวู่จู่ได้นำเอาอาวุธที่ทรงพลังมากที่สุดฝังเอาไว้ใต้ดิน โดยไม่รู้ถึงความลับที่อยู่ภายใน เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้ยิ้มและส่ายหน้า
การที่หลี่ชิเย่พูดเจื้อยแจ้วถึงความเป็นมาของเรื่องราวอย่างชัดเจน เสมือนครั้งนั้นเขาเห็นกับตามาอย่างนั้น
เทพสงครามมังกรคชาธารพลันมีสีหน้าที่ขาวซีดเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ถึงกับกำกระบองหวู่เต้าในมือแน่น ระดับบรรพบุรุษแต่ละรุ่นทุกยุคทุกสมัยของจูเซียงหวู่ถิงพวกเขาล้วนแล้วแต่รู้ว่าหวู่จู่เคยฝังอาวุธที่ยอดเยี่ยมและฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่งเอาไว้ชิ้นหนึ่ง แต่ว่า กลับไม่รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง และไม่รู้ถึงความลับในเรื่องนี้
ความจริงแล้ว การที่ระดับบรรพบุรุษแต่ละรุ่นทุกยุคทุกสมัยของจูเซียงหวู่ถิงไม่รู้เรื่องก็ใช่เป็นเรื่องแปลก เป็นไปไม่ได้ที่หวู่จู่จะเอาเรื่องเช่นนี้ไปบอกกล่าวต่อชนรุ่นหลัง ต่อให้ศิษย์ของหวู่จู่ทราบความจริงในเรื่องนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาเรื่องนี้มาจดบันทึกลงไป จะอย่างไรเสียเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของหวู่จู่
ด้วยเหตุนี้เอง จูเซียงหวู่ถิงจึงคงไว้เพียงบันทึกที่ว่าหวู่จู่เคยฝังอาวุธที่ยอดเยี่ยมมากชิ้นหนึ่งไว้ใต้ดิน แต่ความลับและเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังกลับไม่มีการจดบันทึกเอาไว้แม้แต่คำเดียว
ฮ่า ฮ่า ฮ่าเจ้าคนแซ่หลี่ นับว่าเจ้านี่ยอดเยี่ยมจริงๆ ถึงกับรู้มากได้ถึงเพียงนี้ มู่เส้าเฉินที่หลบหนีออกไปจากจูเซียงหวู่ถิงเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของหลี่ชิเย่แล้ว เขาหัวเราะเสียงดังขึ้นมาและกล่าวว่า ข้าเคยค้นตำราโบราณมานับไม่ถ้วน เข้าเยี่ยมคารวะระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิมาเป็นจำนวนมาก จึงค้นพบเบาะแสอะไรบางอย่าง ไม่นึกเลยว่าเจ้ากลับเหมือนพูดถึงสมบัติภายในบ้านตนเองอย่างนั้น นับว่าสุดยอดมาก ไม่เสียทีที่เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งมากที่สุดของข้ามู่เส้าเฉิน
ที่แท้มู่เส้าเฉินได้ล่วงรู้เบื้องหลังของความลับเรื่องนี้แล้ว เขาจึงสบโอกาสหลอกใช้พวกของเทพสงครามมังกรคชาธาร อาศัยความโลภมากของจูเซียงหวู่ถิง ภายใต้การช่วยเหลือของจูเซียงหวู่ถิง ทำให้มู่เส้าเฉินขุดเอากระบองหวู่เต้าออกมาได้ แน่นอนที่สุด ทำให้มู่เส้าเฉินค้นพบเจดีย์โบราณหลังนี้ในขณะเดียวกันด้วย
เหล่าระดับบรรพบุรุษของจูเซียงหวู่ถิง เฉกเช่นเทพสงครามมังกรคชาธาร หลังจากที่พวกเขาได้กระบองหวู่เต้ามาแล้วยังรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง ในที่สุดก็ค้นหาอาวุธที่ทรงอานุภาพมากที่สุดของปฐมบรรพบุรุษคืนกลับมา แต่พวกเขานึกไม่ถึงว่ากลับถูกมู่เส้าเฉินหลอกใช้เสียแล้ว
ในขณะนี้เทพสงครามมังกรคชาธารที่ในมือกำกระบองหวู่เต้าเอาไว้แน่นถึงกับมีสีหน้าที่ขาวซีด ชื่อเสียงที่เขาสั่งสมมาชั่วชีวิตถูกทำลายลงเช่นนี้แล้ว เรียกได้ว่าตัวเขาในฐานะเทพสงครามมังกรคชาธารเฉลียวฉลาดมาชั่วชีวิต ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าท้ายที่สุดแล้วยังคงถูกผู้เยาว์คนหนึ่งหลอกใช้ ถูกวางแผนทำร้าย
อาศัยเจ้า? ยังไม่มีสิทธิ์กลายเป็นคู่ต่อสู้ของข้า หลี่ชิเย่ไม่ได้เลิกหนังตาสักทีด้วยซ้ำ กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฮ่า ฮ่า ฮ่าเจ้าคนแซ่หลี่ เจ้ากำแหงต่อไปก็แล้วกัน มู่เส้าเฉินหัวเราะเสียงดัง และกล่าวว่า รอให้ใจมารได้พลังในครั้งนั้นกลับคืนเสียก่อน เขาจะต้องเกรียงไกรทั่วหล้า เมื่อถึงเวลานั้นแดนลัทธิพรรษทั้งหมดก็จะอยู่ในความควบคุมของข้า นายน้อยอย่างข้าไม่เพียงต้องการปกครองแดนลัทธิพรรษ ยังจะหวนกลับไปยังแดนลัทธิราชัน ทำให้สั่นเทาไปทั่วทั้งแดนลัทธิราชัน ให้นางแพศยาที่เคยเป็นศัตรูกับข้าในครั้งนั้นต้องสั่นเทา! สำหรับเจ้า คนแซ่หลี่ ถึงตอนนั้นก็เป็นได้เพียงกระดูกแห้งกรังที่อยู่ใต้ฝ่าเท้านายน้อยอย่างข้าเท่านั้น…
พูดแบบนี้แสดงว่า ขณะอยู่แดนลัทธิราชันถูกเขาเล่นงานจนเหมือนสุนัขตัวหนึ่งหมดที่พึ่งไร้ญาติขาดมิตร ล้มลุกคลุกคลานหลบหนีออกมาจากแดนลัทธิราชัน เมื่อไปไหนไม่ได้แล้วจึงได้หลบหนีลงมาอยู่ที่แดนลัทธิพรรษแล้วสิ หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทียิ้มแต้
จากคำพูดที่ออกมาท่ามกลางหัวเราะเสียงดังและลำพองในของมู่เส้าเฉิน พลันจับประเด็นมาได้ทันที
เจ้า… มู่เส้าเฉินพลันหน้าแดงก่ำ ร้องกล่าวเสียงดังว่า นายน้อยอย่างข้าแค่ซ่อนความสามารถเอาไว้เท่านั้นเอง…
ข้ารู้ เจ้าก็แค่สุนัขที่หมดที่พึ่งไร้ญาติขาดมิตรตัวหนึ่งเท่านั้น หลี่ชิเย่ยิ้มและกล่าวตัดบทคำพูดที่เถียงให้กับตัวเอง
ในเวลานี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่มองหน้ากันและกัน ผู้คนจำนวนเท่าไรที่มองว่ามู่เส้าเฉินเป็นแขกผู้มีเกียรตินั้น ขณะอยู่ที่แดนลัทธิราชันเป็นเพียงผู้ที่อยู่ในฐานะถูกคนเขาตามฆ่าจนเสมือนหนึ่งเป็นสุนัขตัวหนึ่งที่หมดที่พึ่งไร้ญาติขาดมิตรตัวหนึ่งเท่านั้น เวลานี้ ผู้คนจำนวนมากรู้สึกเหมือนตนเองนั้นกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก
ความรู้สึกที่พะอืดพะอมเช่นนี้จะพูดออกมาก็ไม่ได้ ได้แต่กลืนลงท้องไป ความรู้สึกเช่นนี้เรียกได้ว่าไม่สบายเป็นที่สุด
ในเวลานี้เอง มองเห็นความมืดมนนั้นเสมือนดั่งกลับมาจากการท่องเที่ยวไปตามอารมณ์และได้สติคืนกลับมา เขายื่นมือออกไปสัมผัสลูบคลำผืนแผ่นดิน เหมือนว่ามีความรู้สึกที่อาลัยอาวรณ์ยิ่ง ดุจดั่งสัมผัสลูบคลำผืนแผ่นดินที่ตนเองมีความรักอย่างลึกซึ้งต่อมันอย่างนั้น
เสียงจี๊ด จี๊ด จี๊ดดังขึ้น ขณะที่มือขนาดใหญ่ของเขาสัมผัสผืนแผ่นดินนั้น พื้นดินบริเวณนั้นกลับกลายเป็นสีดำทันที ดิน ต้นไม้ล้วนแล้วแต่กลายเป็นถ่านดำ
ฮือออ…ในพริบตาเดียวนั่นเอง ใจมารของหวู่จู่ได้ลุกขึ้นยืนและอ้าปากในทันที กลืนกินฟ้าดิน เสมือนหนึ่งต้องการกลืนกินจูเซียงหวู่ถิงจนสิ้นอย่างนั้น ความจริงคือเขาต้องการกลืนกินจูเซียงหวู่ถิงจนหมดนั่นแหละ
ฟืดดด…เสียงหนึ่งดั้งขึ้น จากการที่ใจมารของหวู่จู่อ้าปากกลืนกินนั้น มองเห็นพลังผืนแผ่นดินที่ไม่สิ้นสุด ประกายที่ไม่สิ้นสุด พลังของผู้บำเพ็ญตน…ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่บินเข้าไปในปากขนาดใหญ่ของเขา
ได้ยินเสียงจี๊ด จี๊ด จี๊ดดังขึ้น ขณะภายใต้ปากขนาดใหญ่ของใจมารหวู่จู่กลืนกินนั้น ผืนแผ่นดินนับพันลี้พลันกลายเป็นพื้นดินที่แห้งผาก ไม่ว่าจะเป็นภูเขาแม่น้ำ หรือต้นไม้ใบหญ้า สิงสาราสัตว์และหรือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดที่อยู่ท่ามกลางผืนแผ่นดินนับพันลี้นี้ ล้วนแล้วแต่ถูกกลืนกินไปทันที กลายเป็นฝุ่นผงเท่านั้น
เพียงชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง พื้นดินนับพันลี้ก็ได้กลายเป็นพื้นดินแห้งผาก สูญสิ้นความมีชีวิตชีวาไปทุกสิ่ง สูญสิ้นชีวิตทุกอย่าง
ตึง ตึง ตึงขณะที่พลังดูดกลืนลามไปถึงผืนแผ่นดินของตระกูลขุนนางโบราณที่แข็งแกร่งนั้น ตระกูลขุนนางดังกล่าวปรากฎค่ายกลราชันแท้จริงขึ้นรับมือทันที กระบี่ศักดิ์สิทธิ์แต่ละเล่มที่พุ่งขึ้นท้องฟ้า จาการที่ยอดฝีมือทั้งหมดของตระกูลขุนนางโบราณร้องคำรามออกมา และอาศัยพลังลมปราณที่แกร่งที่สุดทำการขับเคลื่อนค่ายกลราชันแท้จริงนั้น หวังต้านทานการดูดกลืนของใจมารของหวู่จู่
แต่ทว่า ทุกสิ่งยังคงช่วยอะไรไม่ได้ ได้ยินเสียงดังปังเสียงหนึ่ง ภายใต้การดูดกลืนของใจมารหวู่จู่ ค่ายกลราชันถูกแยกออกและแตกละเอียดทันที
ได้ยินเสียงร้องน่าเวทนาอ๊ากกกดังขึ้นมา ตระกูลขุนนางโบราณทั้งตระกูลถูกทำลายย่อยยับ และทุกๆ ชีวิตพลันถูกกลืนกินไปในพริบตา แคว้นที่ตั้งโดยตระกูลขุนนางโบราณนี้พลันกลายเป็นพื้นดินแห้งผากในทันที
ฟืดดด ฟืดดด ฟืดดดเสียงกลืนกินดังขึ้น ภายในระยะเวลาอันสั้น ผืนแผ่นดินนับหมื่นลี้ได้กลับกลายเป็นแผ่นดินแห้งผาก แม้ว่ากล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจูเซียงหวู่ถิงที่กว้างใหญ่ไพศาลแล้ว ผืนแผ่นดินหมื่นลี้ถือเป็นส่วนที่น้อยมากๆ เท่านั้นก็ตาม
แต่ว่า อาศัยการกลืนกินที่รวดเร็วยากจะหาผู้ใดเทียมของใจมารของหวู่จู่แล้ว เกรงว่ามันจะกลืนกินจูเซียงหวู่ถิงได้ทั้งหมดในเวลาไม่ช้า
ฮ่า ฮ่า ฮ่าเมื่อเขาได้กลืนกินจูเซียงหวู่ถิงจนหมดแล้ว เกรงว่าเขาก็คือหวู่จู่ตัวเป็นๆ คนหนึ่ง ภายใต้ปณิธานบ้าระห่ำใครสามารถขวางเขาได้? มู่เส้าเฉินหัวเราะเสียงดังทีหนึ่ง เมื่อมองเห็นใจมารหวู่จู่ได้กลืนกินพื้นที่นับหมื่นลี้ในพริบตา
ทุกคนล้วนแล้วแต่เสียวสันหลังวาบเมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ ใจมารหวู่จู่ออกจะน่ากลัวเสียเหลือเกินกระมัง ถ้าหากเป็นไปตามที่มู่เส้าเฉินพูดไว้จริง เกรงว่าถึงเวลานั้นฝันร้ายของแดนลัทธิพรรษคงมาถึงแล้ว เกรงว่าคงไม่มีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ ภายในแดนลัทธิพรรษสามารถรอดไปได้
ฆ่า… เวลานี้เทพสงครามมังกรคชาธารคำรามเสียงดังขึ้นเมื่อเห็นใจมารหวู่จู่ที่กลืนกินฟ้าดิน ได้ก้าวข้ามช่องว่างไปปรากฎตัวอยู่บริเวณท้องฟ้าเหนือใจมารหวู่จู่
ตูม…เสียงดังสนั่นเกิดขึ้น กระบองหวู่เต้าที่อยู่ในมือของเทพสงครามมังกรคชาธารได้ฟาดลงมาตรงๆ ภายใต้การฟาดของหนึ่งกระบอง ฟ้าดินแตกสลาย สรรพสิ่งกลายเป็นเถ้าธุลี ปราศจากผู้ใดขวางกั้น ปราศจากผู้เทียบเทียม
ใจมารหวู่จู่ที่เผชิญกับหนึ่งกระบองที่ฟาดเข้ามาได้ยกแขนขึ้นรับการฟาดลงมาเต็มที่ของกระบองหวู่เต้า
เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว พื้นดินแตกละเอียด หนึ่งกระบองที่ฟาดลงบนแขนนั้น ได้ยินเสียงแตกร้าวดังคร๊ากกก มองเห็นแขนของใจมารของหวู่จู่ถูกเทพสงครามมังกรคชาธารฟาดจนละเอียด อีกทั้งกระบองหวู่เต้ายังฝากตราประทับสลักบนแขนของเขา
ได้ยินเสียงดังปังขึ้นมาอีกเสียง มองเห็นตราประทับสลักนี้ได้โจมตีเข้าหาหน้าอกของใจมารของหวู่จู่อย่างหนัก สร้างความสะเทือนจนร่างกายของใจมารของหวู่จู่เซไปทีหนึ่ง
ย่อมไม่ต้องสงสับ หนึ่งกระบองที่ฟาดลงมาของเทพสงครามมังกรคชาธารมีอานุภาพที่ยากจะเทียบเทียม จะอย่างไรเสียศักยภาพของเทพสงครามมังกรคชาธารเองก็น่ากลัวเพียงพออยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น กระบองหวู่เต้าอันนี้แต่เดิมก็หลอมสร้างขึ้นมาเพื่อปราบใจมารอยุ่แล้ว
ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับโล่งอกไปทีหนึ่ง เมือเห็นหนึ่งกระบองของเทพสงครามมังกรคชาธารฟาดจนแขนของใจมารของหวู่จู่แหลกไปข้างหนึ่ง อย่างน้อยได้ทำให้ทุกคนได้เห็นถึงความหวังที่จะสยบใจมารของหวู่จู่
สิ่งนี้หาใช่เป็นเพราะใจมารของหวู่จู่นั้นอ่อนด้อยเกินไป แต่เป็นเพราะเขาถูกสยบอยู่ใต้พื้นดินมานานเกินไป พลังแห่งการสยบบวกกับพลังของกาลเวลาเกือบจะทำให้มันสลายอยู่แล้ว หากไม่เป็นเพราะถูกมู่เส้าเฉินปล่อยออกมา ช้าเร็วก็ต้องหายวับไปกับตาชั่วพริบตาเดียวสักวันอยู่แล้ว
เวลานี้ใจมารของหวู่จู่นับว่าอ่อนแอจนไม่อาจต้านทานอะไรได้ แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตามยังคงมีความน่ากลัวอย่างยิ่ง
ได้ยินเสียงฟืดดด…ดังขึ้น ใจมารของหวู่จู่ในเวลานี้ได้กลืนกินพื้นแผ่นดินไปรวดเดียวเป็นแสนลี้ พลันทำให้พลังเพิ่มสูงขึ้น ปรากฏประกายที่วูบวาบทั่วตัว ประกายดำมืดพลันกลับกลายเป็นละลานตาไม่น้อยเลยทีเดียว
………………………………………