ภายในใจของทุกคนบังเกิดความเคารพเลื่อมใส เมื่อเห็นการติดสินใจเลือกของอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสง เรียกได้ว่าอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงสามารถวางมือแล้วไปจากได้อย่างสิ้นเชิง ขอเพียงเขาต้องการเขาสามารถมีชีวิตไปจากที่นี่ได้ แต่เขากลับเลือกที่จะรั้งอยู่
ข้อนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง ไม่ว่าคนอย่างอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงจะเป็นคนเช่นใดก็ตาม อย่างน้อยที่สุดในจุดนี้นับว่าเขาเป็นคนจริงคนหนึ่ง คู่ควรที่ผู้คนไปให้ความเคารพเลื่อมใส
กล่าวสำหรับผู้คนจำนวนมากแล้ว ยังจะมีสิ่งใดมีค่ายิ่งไปกว่าชีวิตของตน ผู้คนจำนวนเท่าไรที่ยินดีละทิ้งทุกสิ่งเพื่อให้มีชีวิตต่อไป แต่ว่า อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงกลับยึดคำมั่นสัญญาของตน ถึงแม้จะรู้แล้วว่าต้องแลกด้วยชีวิตของตน ถึงแม้จะรู้ว่าต่อให้ตนเองยังคงรั้งอยู่ต่อไปก็แก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
แต่ว่า อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงยังคงรั้งอยู่เช่นเดิม แม้ว่าเขาจะรู้ว่าการรั้งอยู่ของตนก็แค่ตายโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น ไม่สามารถช่วยอะไรมู่เส้าเฉินได้อยู่แล้ว
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ตาม เขายังคงรั้งอยู่ต่อไป เนื่องจากเขาเคยรับปากตระกูลมู่เอาไว้ว่า จะต้องปกป้องความปลอดภัยของมู่เส้าเฉินเป็นอย่างดี ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ตามหากต้องการเอาชีวิตของมู่เส้าเฉินก็ต้องข้ามศพของเขาไปก่อน
กล่าวสำหรับอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงแล้ว การรักษาคำมั่นสัญญาของตนมีค่ายิ่งไปกว่าชีวิตของตน
ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะสงเคราะห์เจ้า หลี่ชิเย่ยิ้มบางๆ และกล่าวว่า เจ้าลงมือเถอะ จะได้ไม่บอกว่าแม้แต่โอกาสในการลงมือยังไม่มี
อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง หยิบอาวุธออกมาและหันหลังกลับไปมองดูมู่เส้าเฉินทีหนึ่ง และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า นายน้อย บ่าวล่วงหน้าไปก่อนแล้ว รักษาตัวด้วย
อาวุโสหวัง…มู่เส้าเฉินรู้สึกตกใจ แต่ว่าเวลานี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ในอดีตเขามีความสง่าผ่าเผย ทำได้ทุกอย่างตามความปรารถนา แต่ว่า เวลานี้เขาเข้าตาจนแล้ว
ฆ่า… พริบตาเดียวนั่นเอง อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงคำรามด้วยความโกรธ อาวุธในมือส่งประกายสีทองแวบวับ เสมือนดั่งงูทองที่พุ่งตัวออกมา พริบตาเดียวนั่นเอง ได้ยินเสียงตูมดังสนั่น ลมปราณของอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงพลันลุกไหม้ขึ้นมา ท่ามกลางเสียงดังตูมนั้น อาวุธในมือของเขาได้พวยพุ่งประกายสีทองไม่สิ้นสุดออกมา เสมือนหนึ่งเป็นพระอาทิตย์สีทองขนาดยักษ์ที่ลอยขึ้นมา
เมื่ออาวุธลักษณะเช่นนี้ถูกสำแดงออกมา ได้ยินเสียงดังจี๊ดเสียงหนึ่ง ช่องว่างพลันละลายไปทันที เสมือนหนึ่งฟ้าดินได้หลอมละลายจนกลายน้ำทองคำอย่างนั้น
อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงก็รู้ว่าแม้จะสำแดงกระบวนท่าการโจมตีที่ทรงพลังมากที่สุดในชีวิตออกมาก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ว่า เขายังคงสำแดงอาวุธที่ทรงพลังมากที่สุดและสำแดงกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของตน แม้ว่ารู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างเป็นการเหนื่อยเปล่า ไร้ประโยชน์ แต่ว่า เขายังคงต้องดิ้นรนสักครั้ง อย่างน้อยที่สุดเขาได้พยายามทำ อาศัยชีวิตของตนไปยึดมั่นในคำมั่นสัญญาของตน
ด้วยเหตุนี้เอง ขณะที่อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงได้สำแดงกระบวนท่าที่ปราศจากผู้ต่อกรมากที่สุดนั้น พลันได้เผาผลาญลมปราณ และเลือดวัฒนะของตน ทำให้อานุภาพกระบวนท่านี้ของตนเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว
ทำให้ช่องว่างหลอมละลายกลายเป็นน้ำทองคำทันที
กระบวนท่านี้มีอานุภาพยอดเยี่ยมปราศจากผู้เทียบเทียม เรียกได้ว่าสร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คน
หากเป็นในอดีต การที่ขั้นอมตะคนหนึ่งสำแดงกระบวนท่าที่พาลและบ้าระห่ำดุดันยิ่ง ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องร้องเสียงหลงออกมา ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกว่ากระบวนท่านี้ปราศจากผู้ต่อกร ไม่มีใครสามารถรับมือได้อีกแล้ว
แต่ว่า เวลานี้ขณะอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงสำแดงกระบวนท่าปราศจาผู้ต่อกรนี้ออกมาปฏิกิริยาของทุกคนกลับเรียบเฉย เนื่องจากทุกคนต่างก็รู้ว่า ไม่ว่ากระบวนท่านี้ของอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงจะพาลและบ้าระห่ำ อย่างไร และดุดันเช่นใดก็ช่วยอะไรไม่ได้ ผลลัพธ์ได้ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว กระบวนท่าที่ปราศจากผู้ต่อกรมากกว่านี้ก็แก้ไขจุดจบไม่ได้
เนื่องจากผู้ที่เข้าเผชิญหน้าคือคนโหดอันดับหนึ่ง พลันที่คนโหดอันดับหนึ่งลงมือ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ถูกลิขิตเอาไว้
ในพริบตาเดียวนั่นเอง ในมือของหลี่ชิเยได้ถือกระบี่ทองคำเล่มหนึ่ง ประกายกระบี่แวบขึ้นมาทีหนึ่ง กระบี่นี้รวดเร็วอย่างยิ่ง ไม่มีใครมองเห็นหลี่ชิเย่ลงมืออย่างไร กระทั่งกล่าวได้ว่าไม่มีใครมองเห็นกระบี่ทองคำในมือของหลี่ชิเย่
เพียงแต่หลังจากเวลาผ่านไปนานมากแล้ว ทุกคนจึงได้เห็นประกายสีทองแวบหนึ่ง ส่วนประกายสีทองนี้มาจากไหนนั้น ผู้คนจำนวนมากต่างมองเห็นไม่ชัดเจน
อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ในเวลานี้เหมือนว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อนอย่างนั้น มีแต่ความเงียบสงัด เหมือนเวลาย้อนกลับไปจุดเดิมอย่างนั้น เหมือนช่วงเวลาที่อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงยังไม่ได้มีการลงมืออย่างนั้น
ในเวลานี้เอง มองเห็นศีรษะของอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงกลิ้งตกลงมาจากคอลงพื้นดังปัก
นาทีนี้เองจึงได้ยินเสียงปุดังขึ้นเสียงหนึ่ง เลือดสดๆ พวยพุ่งขึ้นมาดั่งน้ำพุออกมาจากบริเวณคอที่ถูกตัดขาด พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วตกลงบนพื้นดิน
ขณะที่ศีรษะของอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงที่กลิ้งไปกับพื้นนั้น ดวงตาคู่นั้นยังคงลืมตาแต่ตัวเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว แม้ว่าเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ เสียงปักดังขึ้ง ดวงตาคู่นั้นของเขาถึงกับมองเห็นร่างกายของตนที่ล้มลงบนพื้น
กระบี่นี้ของหลี่ชิเย่ช่างรวดเร็วเหลือเกิน เร็วจนไม่มีใครมองเห็นได้ชัดเจน แม้แต่ระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิก็ไม่ได้มองเห็นกระบี่นี้ของหลี่ชิเย่ได้ชัดเจนอย่างแท้จริง
ขณะที่ร่างกายของอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงล้มตัวลงกับพื้นแล้วนั้น กระบี่ทองคำในมือของหลี่ชิเย่ก็หายไป
กระบี่ทองคำคือหนึ่งใน ‘กระบี่สิ้นสุด’ กระบี่นี้คือตัวแทนด้านความเร็ว หนึ่งกระบี่ที่สง่างาม เรียกได้ว่ารวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ หนึ่งกระบี่พลันถึงแก่ความตาย
ขณะที่กระบี่ทองคำลงมือนั้น ผู้คนจำนวนมากยังมี่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ตัวเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว
กล่าวได้ว่า ขณะที่กระบี่ทองคำอยู่ในมือของหลี่ชิเย่นั้น ไม่รู้ว่าผู้คนจำนวนเท่าไรไม่มีโอกาสแม้แต่จะลงมือ พลันที่กระบี่ทองคำสำแดงออกมาก็ถูกลิขิตว่าเกมจบแล้ว
เฉกเช่นอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงในฐานะที่เป็นอมตะคนหนึ่ง ตัวเขานับว่าแข็งแกร่งเพียงพอแล้วสิ แต่ทว่า พลันที่กระบี่ทองคำสำแดงออกมา ก็ต้องเสียชีวิตในหนึ่งกระบี่เท่านั้น ภายใต้หนึ่งกระบี่นี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่แล้ว ที่เผชิญหน้ามีเพียงความตายเท่านั้น
กระทั่งเรียกได้ว่าภายใต้หนึ่งกระบี่นี้ ผู้คนจำนวนมากไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองนั้นตายอย่างไร
แน่นอน การตายภายใต้กระบี่ทองคำถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง อย่างน้องที่สุดความตายมาเยือนในฉับพลัน และจากไปในฉับพลันเช่นกัน ไม่มีความเจ็บปวดแม้แต่น้อย ท่ามกลางยังไม่ทันรู้ตัวก็ถูกเก็บเกี่ยวเอาชีวิตไปแล้ว ไปจากโลกใบนี้โดยปราศจากซุ่มเสียง ไม่มีความเจ็บปวดแม้แต่น้อย กระทั่งไม่ทันแม้แต่โอกาสที่น่ากลัว
อาวุโสหวัง… มู่เส้าเฉินถึงกับร้องเสียงดังออกมาเมื่อมองเห็นอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงล้มลง เขาย่อมไม่ได้เสียดายในชีวิตของอสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสง แต่เป็นเพราะเวลานี้อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงคือผู้ที่เขาจะพึ่งพาได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เวลานี้แม้แต่อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงก็ล้มลงแล้ว กล่าวได้ว่าเวลานี้เข้ากลายเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบแล้วจริงๆ
ถึงคราวของเจ้าแล้ว หลี่ชิเย่มองดูมู่เส้าเฉินที่หวาดผวาจนหน้าถอดสี ยิ้มเฉยเมยและกล่าวขึ้นมา
เจ้า เจ้า เจ้าอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ มู่เส้าเฉินเวลานี้ถูกหลี่ชิเย่ทำให้ขวัญหนีดีฝ่อ สีหน้าขาวซีด ก้าวถอยหลังติดต่อกัน เวลานี้เขาแทบอยากจะหนีไปจากที่นี่ให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ว่าเขาหนีไปไหนไม่ได้
วางใจเถอะ ไม่ได้ให้เจ้าตายตอนนี้ ข้าจะให้เจ้าได้ไปตายที่ตระกูลมู่อยู่แล้ว หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
เจ้า เจ้า เจ้าคิดทำอะไร? สีหน้าของมู่เส้าเฉินเปลี่ยนไปมากทีเดียว และรู้สึกหวาดผวา เขาเองหาใช่พวกโง่เขลา พลันรับรู้ได้ว่าแย่แล้ว ทำให้ถึงกับเข่าอ่อนทั้งสองข้าง
ไม่ทำอะไร สิ่งนี้บ่งบอกว่าข้ามีความเมตตา อย่างน้อยสามารถให้เจ้าได้ไปตายในบ้านของตัวเอง จะมากหรือน้อยก็มีความอบอุ่นหวานชื่นอยู่บ้าง มีท่าทีอ่อนโยนเล็กน้อยกระมัง หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่สามารถกลับไปแดนลัทธิราชันได้อยู่แล้ว ตัวข้าเองไม่สามารถกลับไปได้เองอยู่แล้ว มู่เส้าเฉินถึงกับร้องเสียงแหลมขึ้นมา
ถ้าหากเวลานี้เขาสามารถกลับไปที่ตระกูลมู่เลย มีหรือเขาไม่อยากกลับไปรึ? อาศัยศักยภาพของเขาคนเดียวไม่สามารถขึ้นไปยังแดนลัทธิราชันได้อยู่แล้ว แม้ว่าเขายังมีวิธีการอย่างอื่น แต่ว่า ในสถานการณ์โดยทั่วไปแล้ว ตระกูลมู่ของเขาก็จะไม่รับเขากลับไปอยู่แล้ว
เรื่องนี้ใช่ว่าจะไม่มีวิธี หลี่ชิเย่ยิ้มแต้กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลมู่ของพวกเจ้าจะมองตาปริบๆ ปล่อยให้เจ้าตายอยู่ในแดนลัทธิพรรษหรอก เจ้าว่าอย่างนั้นหรือไม่ ขณะที่เจ้าต้องตายจริงๆ ล่ะก็ เป็นต้นว่าขณะที่ชะตาแท้กำลังถูกเผาไหม้ เจ้าว่าบรรพบุรุษของเจ้าจะยอมปล่อยให้เจ้าตายอยู่ที่นี่รึ? ชั่วดีอย่างไรก็ต้องมีการทำอะไรเอาไว้บนตัวของเจ้าเอาไว้
เจ้า เจ้า เจ้าอย่าทำอะไรบ้าๆ อย่าทำบ้าๆ นะ มู่เส้าเฉินที่ตกใจจนสีหน้าขาวซีด เวลานี้เขารู้แล้วว่าหลี่ชิเย่จะทำอะไรแล้ว ร้องเสียงแหลมขึ้นมาว่า ถ้าหากเจ้าฆ่าข้าจริงๆ เจ้าก็จะไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุข ที่แดนลัทธิราชัน พี่ใหญ่ข้าคือราชันแท้จริงที่ปราศจากผู้ต่อกร ตระกูลมู่ของพวกเราคือตระกูลขุนนางโบราณที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนลัทธิราชัน หนึ่งฝ่ามือปิดบังฟ้าได้ ถ้าหากเจ้าฆ่าข้า ขอเพียงเจ้าขึ้นสู่แดนลัทธิราชันเมื่อไรล่ะก็ เจ้า เจ้า เจ้าก็จะไม่มีที่สำหรับยืน…
มาคราวนี้ทำเอามู่เส้าเฉินตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เนื่องจากเรื่องที่น่าสยดสยองที่สุดกำลังจะเกิดขึ้นบนตัวของเขาแล้ว เขาร้องเสียงแหลมขึ้นมาและก้าวถอยหลังติดต่อกัน
แล้วอย่างไรล่ะ? หลี่ชิเย่ยิ้มบางๆ และกล่าวว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ก็พอดีเลยมิใช่รึ? โอกาสดีอย่างนี้ทำลายล้างตระกูลมู่ของเจ้าเลยเป็นอย่างไรล่ะ? ไหนๆ เจ้าก็จะต้องกลับไปอยู่แล้ว พอดีช่วยนำคำพูดของข้าไปด้วย
หลังจากกลับไปแล้ว อย่าลืมเอาคำพูดของข้าไปแจ้งด้วย หลี่ชิเย่มองดูมู่เส้าเฉินและกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า ข้าจะขึ้นไปที่แดนลัทธิราชันแล้ว ถ้าหากตระกูลมู่พวกเจ้ารู้จักกาลเทศะก็จงทำตัวให้ดีๆ หาไม่หากข้าขึ้นไปแล้วก็จะทำลายล้างตระกูลมู่ของพวกเจ้า
เจ้า เจ้า เจ้า… มู่เส้าเฉินตกใจจนเข่าอ่อนทั้งสองข้าง สั่นเทาตลอดเวลา ร้องกล่าวเสียงแหลมว่า เจ้า เจ้า เจ้าต้องการประกาศศึกกับตระกูลมู่ของพวกเรา
ถูกต้อง เจ้าพูดไม่ผิด ข้าประกาศศึกกับตระกูลมู่ของพวกเจ้า หลี่ชิเย่ยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า จำไว้ให้ดี ต้องฝากคำพูดของข้าไปให้ได้! ข้า คนโหดอันดับหนึ่งประกาศศึกกับตระกูลมู่ของพวกเจ้า
ทุกคนต่างมองดูภาพเหตุการณ์นี้ด้วยความหวั่นไหว กล่าวสำหรับแดนลัทธิพรรษ ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนเท่าไรที่ต้องมีท่าทีเปลี่ยนไปเมื่อพูดถึงตระกูลมู่ จะอย่างไรเสียก็คือตระกูลขุนนางโบราณที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนลัทธิราชัน หนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่ของแดนลัทธิราชัน อย่าว่าแต่ในแดนลัทธิพรรษเลย แม้แต่ในแดนลัทธิราชันก็มีระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิไม่กี่แห่งที่กล้าหาเรื่องพวกเขาได้
คนโหดอันดับหนึ่งในเวลานี้คือประกาศศึกต่อตระกูลมู่ ช่างเป็นการกระทำที่พาลเหลือเกิน
เจ้า… เวลานี้มู่เส้าเฉินพูดอะไรไม่ออก ร่างของเขาสั่นเทาไปทั้งร่าง ในเวลานี้เขารู้แล้วว่าความตายอยู่ใกล้กับตนมากเหลือเกิน
ไปเถอะ สมควรออกเดินทางได้แล้ว หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย มือนั้นเพียงชี้ไปเบาๆ ด้วยความชำนาญ
ปุเสียงหนึ่งดังขึ้น มือที่ชำนาญของหลี่ชิเย่ชี้ไปเบาๆ ปรากฏสะเก็ดไฟอยู่นิดหนึ่งตกอยู่บนตัวของมู่เส้าเฉิน พลันติดอยู่กับตัวของมู่เส้าเฉิน
มันเป็นเพียงสะเก็ดไฟเล็กๆ เท่านั้นเอง ดูไปแล้วช่างไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึง กระทั่งกล่าวได้ว่าสามารถทำให้มันดับลงได้ตามอารมณ์