ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 2404 สาวงามในอ้อมกอด

ตอนที่ 2404 สาวงามในอ้อมกอด
การศึกได้ปิดฉากลง ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นที่แน่นอนแล้ว สุดท้ายแล้วยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนลัทธิพรรษเสียสละ อาศัยชีวิตของตนช่วยเหลือจูเซียงหวู่ถิง อสรพิษคลั่งฟ้ากรรแสงก็เสียชีวิตไปเช่นกัน
สำหรับมู่เส้าเฉินที่หยิ่งยโสอย่างยิ่งก็หายสาบสูญไปนับแต่นี้เป็นต้นไป กล่าวสำหรับทุกคนในแดนลัทธิพรรษแล้ว มู่เส้าเฉินไม่เคยได้ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย
ในเวลานี้ฟ้าดินเงียบสงัด ทุกคนต่างจ้องมองหลี่ชิเย่อย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี
“ยอดฝีมืออันดับหนึ่งสมควรเปลี่ยนมือแล้ว” ระดับบรรพบุรุษที่จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยอาการเหม่อลอยได้พึมพำขึ้นมา
ย่อมไม่ต้องสงสัย เมื่อเทพสงครามมังกรคชาธารตายแล้ว ทอดสายตามองออกไปทั่วแดนลัทธิพรรษ หนึ่งเดียวที่มีสิทธิ์ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งคงมีเพียงหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
แต่ทว่า ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อเปรียบกับยอดฝีมืออันดับหนึ่งแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกว่าการที่หลี่ชิเย่ถูกยกย่องให้เป็น ‘คนโหดอันดับหนึ่ง’ ดูจะเรียกได้คล่องปากมากกว่า สามารถเป็นที่ยอมรับได้มากกว่า ตรงกันข้ามหากยกย่องหลี่ชิเย่ให้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแล้วพูดแล้วดูจะไม่คล่องเป็นพิเศษ
ดังนั้น ในขณะนี้ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกว่า ไม่มีฉายา ‘ยอดฝีมืออันดับหนึ่ง’ ก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว ฉายา ‘คนโหดอันดับหนึ่ง’ ดูไปแล้วยิ่งเปี่ยมด้วยความพาลได้มากกว่า
“น่าเสียดาย วันนี้ไม่ได้มีงานมงคลอะไร และไม่มีข่าวดีอะไร ปล่อยให้ทุกคนมาเสียเที่ยวเสียแล้วล่ะ” หลี่ชิเย่ได้ตบมือและยิ้มกล่าวขึ้น ในจังหวะที่ทุกคนกำลังเหม่อลอย
เมื่อทุกคนได้สติกลับมานั้น ผู้คนจำนวนไม่น้อยเพียงแค่ส่ายหน้าเท่านั้นเอง หรือไม่ก็ทอดถอนใจเบาๆ
กล่าวสำหรับผู้คนจำนวนมากแล้ว การมาที่จูเซียงหวู่ถิงของพวกเขาใช่จะต้องการร่วมงานแต่งของมู่เส้าเฉินจริงๆ ที่พวกเขาต้องการเห็นคือการต่อสู้ชี้ขาดระหว่างคนโหดอันดับหนึ่งกับยอดฝีมืออันดับหนึ่ง
วันนี้นับว่าได้สร้างความพึงพอใจสมปรารถนาของพวกเขาแล้ว หนึ่งเดียวที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเสียใจอยู่บ้างก็คือ เทพสงครามมังกรคชาธารได้เสียสละไป นับแต่นี้คงเหลือไว้ซึ่งตำนานเกี่ยวกับเทพสงครามมังกรคชาธารนั้น
เทพสงครามมังกรคชาธารตายแล้ว มู่เส้าเฉินที่โอหังอย่างยิ่งก็จบเกมไปแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าได้ทำให้ผู้คนจำนวนเท่าไรถึงกับหายในใจด้วยความโล่งอก ขาดเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ไม่เพียงแต่จูเซียงหวู่ถิงเท่านั้น แม้แต่แดนลัทธิพรรษทั้งหมดก็จะไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย
แม้ว่าจะไม่ได้มีโอกาสร่วมงานแต่งที่ว่า ไม่มีงานเลี้ยงเนื่องในงานมงคล แต่ว่า บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มาจากทั่วทุกสารทิศก็นับว่าได้รับผลประโยชน์เป็นกอบเป็นกำกลับไป ไม่มีใครบ่น ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่จากไปด้วยความรู้สึกดีใจเต็มเปี่ยม
กล่าวได้ว่าทั่วทั้งจูเซียงหวู่ถิงได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่จากภัยพิบัติ หลังการปิดฉากลงของศึกครั้งใหญ่ จูเซียงหวู่ถิงของพวกเขาเกือบจะหายวับไปกับตาในพริบตาเดียว เวลานี้รอดจากเคราะห์กรรมมาได้ ไม่รู้ว่าได้ทำให้ผู้คนจำนวนเท่าไรต่างหายใจด้วยความโล่งอก ต่างรู้สึกว่าเป็นความโชคดี
หวู่ปิงหนิงมองดูผืนแผ่นดินแห่งนี้ด้วยท่าทีที่สลด หลังจากศึกครั้งยิ่งใหญ่ปิดฉากลง นางทอดถอนใจออกมาเบาๆ ความคิดที่หลงผิดชั่ววูบเกือบทำให้จูเซียงหวู่ถิงไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย
เวลานี้แม้ว่าจะช่วยให้จูเซียงหวู่ถิงรอดกลับมาได้ แต่ เทพสงครามมังกรคชาธารก็ได้เสียสละไปแล้ว
“ท่านบรรพบุรุษก็แค่มีความคิดหลงผิดไปชั่ววูบเท่านั้นเอง” สุดท้าย หวู่ปิงหนิงถึงกับทอดถอนใจออกมาด้วยความสลด แม้ว่าเทพสงครามมังกรคชาธารเกือบจะบังคับให้นางต้องแต่งงานกับมู่เส้าเฉิน แต่ในใจของหวู่ปิงหนิงไม่ได้แค้นเคืองเทพสงครามมังกรคชาธาร ในบรรดาบรรพบุรุษแต่ละรุ่นที่ผ่านมา เทพสงครามมังกรคชาธารนับเป็นบรรพบุรุษที่โดดเด่นมากคนหนึ่ง
“มีได้ก็มีเสีย” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “เวลานี้ก็นับว่าสมปรารถนาของเขาแล้วมิใช่รึ สิบสองกระบวนท่าหวู่จู่ก็จะกลับคืนสู่จูเซียงหวู่ถิงของพวกเจ้าแล้ว”
กล่าวพลาง หลี่ชิเย่ได้ยื่นกระบองหวู่เต้าให้กับหวู่ปิงหนิง แม้ว่ามันจะเป็นอาวุธที่ทรงพลังและฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่งชิ้นหนึ่ง แต่ท่าทีของเขานั้นอย่างไรก็ได้ มอบอาวุธนี้ให้กับหวู่ปิงหนิงไป
หวู่ปิงหนิงทอดถอนใจออกมาเบาๆ รับเอากระบองหวู่เต้ามาไว้ สุดท้ายได้แสดงคารวะต่อหลี่ชิเย่ด้วยความเคารพ
ถ้าหากหลี่ชิเย่ไม่ลงมือ จูเซียงหวู่ถิงของพวกเขาก็ต้องหายวับไปกับตาในพริบตา นับจากนี้คงไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย หลี่ชิเย่สามารถวางตัวเฉยอย่างสิ้นเชิงท่ามกลางวิกฤตเช่นนี้ การที่เขาลงมือเข้าช่วยเหลือเรียกได้ว่าเป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่ หวู่ปิงหนิงรู้สึกขอบคุณในความเมตตากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้ เป็นบุญคุณอย่างยิ่ง
หลังจากการศึกปิดฉากลงได้ไม่นาน ปรากฏข่าวแพร่สะพัดออกมาในแดนลัทธิพรรษ หวู่ปิงหนิง เทพสงครามสตรีแห่งจูเซียงหวู่ถิงได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูง รับช่วงต่อปกครองจูเซียงหวู่ถิง ได้รับการเห็นชอบและสนับสนุนจากสำนักเจ้าลัทธิและตระกูลขุนนางโบราณของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจูเซียงหวู่ถิงเป็นเอกฉันท์
หลังจากข่าวนี้ได้แพร่ออกไปแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ ในแดนลัทธิพรรษไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดคิด เทพสงครามมังกรคชาธารได้ตายไปแล้ว จูเซียงหวู่ถิงได้รับผลกระทบอย่างหนัก จูเซียงหวู่ถิงต้องการก้าวออกจากเงาทมิฬของโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ จำเป็นต้องมีเจ้าสำนักที่แข็งแกร่งและมีความสามารถมาเป็นผู้นำพาให้จูเซียงหวู่ถิงก้าวสู่ความเจริญรุ่งเรือง
ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า หวู่ปิงหนิงคือตัวเลือกที่เหมาะสมมากที่สุด ก่อนหน้านั้นหวู่ปิงหนิงก็คือผู้สืบทอดของจูเซียงหวู่ถิงอยู่แล้ว และจูเซียงหวู่ถิงได้ทำการบ่มเพาะนางในฐานะผู้สืบทอดตลอดมา ตระเตรียมความพร้อมสำหรับกุมอำนาจใหญ่ของจูเซียงหวู่ถิงในอนาคต
หลังภัยพิบัติในครั้งนี้ จูเซียงหวู่ถิงได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะกับภาพรวมของจูเซียงหวู่ถิงที่มีต่อการปกครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมด ยิ่งได้รับการคุกคามอย่างหนัก ทำให้อำนาจและฐานะของจูเซียงหวู่ถิงสั่นคลอนอย่างยิ่ง
จะอย่างไรเสีย เทพสงครามมังกรคชาธารได้นำพาภัยพิบัติอย่างใหญ่หลวงให้กับจูเซียงหวู่ถิง ภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจูเซียงหวู่ถิงมีสำนักเจ้าลัทธิและตระกูลขุนนางโบราณเป็นพันเป็นหมื่น หลังจากภัยพิบัติในครั้งนี้แล้ว ไม่แน่เสมอไปว่าบรรดาสำนักเจ้าลัทธิและตระกูลขุนนางโบราณเหล่านี้จะให้การสนับสนุนจูเซียงหวู่ถิงเป็นผู้กุมอำนาจการปกครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมด และไม่แน่เสมอไปว่าจะยังคงพึงพาจูเซียงหวู่ถิงอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงทำให้อำนาจของจูเซียงหวู่ถิงได้รับผลกระทบเท่านั้น ความไว้วางใจที่มีต่อจูเซียงหวู่ถิงก็ถูกตั้งข้อสงสัยจากสำนักเจ้าลัทธิและตระกูลขุนนางโบราณเป็นจำนวนมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ ฐานะการเป็นผู้ปกครองของจูเซียงหวู่ถิงที่มีต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมดก็ง่อนแง่นเต็มที
แต่ว่า เมื่อหวู่ปิงหนิงได้ขึ้นรับตำแหน่งเป็นเจ้าสำนักของจูเซียงหวู่ถิงปกครองจูเซียงหวู่ถิงนั้น ทุกสิ่งที่ว่าก็กลับมลายหายไปทันที ข้อสงสัยของสำนักเจ้าลัทธิและตระกูลขุนนางโบราณทั้งหมดก็มลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จะอย่างไรเสียหวู่ปิงหนิงได้รับคำสรรเสริญจากประชาขนในจูเซียงหวู่ถิงมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้น นางคัดค้านเรื่องการแต่งงานครั้งนี้อย่างหนักแน่น ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ผู้คนทั่วหล้าต่างรู้ดีว่าหวู่ปิงหนิงเป็นคนของหลี่ชิเย่ เบื้องหลังของนางมีคนโหดอันดับหนึ่งคอยให้การสนับสนุนอยู่
มาครั้งนี้ คนโหดอันดับหนึ่งช่วยเหลือให้จูเซียงหวู่ถิงพ้นภัย เรียกได้ว่ามีบุญคุณใหญ่หลวงต่อจูเซียงหวู่ถิง ซึ่งสิ่งนี้กล่าวสำหรับจูเซียงหวู่ถิงแล้วส่งผลกระทบต่อพวกเขาเป็นอันมาก
เวลานี้หวู่ปิงหนิงขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักของจูเซียงหวู่ถิงกุมอำนาจของจูเซียงหวู่ถิง ทำให้สำนักเจ้าลัทธิและตระกูลขุนนางโบราณภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจูเซียงหวู่ถิงต่างหายสงสัยไปสิ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ เท่ากับได้ทำการวางรากฐานใหม่ให้กับจูเซียงหวู่ถิง และสถาปนาอำนาจที่จูเซียงหวู่ถิงมีต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมดอย่างมั่นคง เมื่อเป็นดั่งนี้การก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุดของหวู่ปิงหนิงในจูเซียงหวู่ถิง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักเจ้าลัทธิและตระกูลขุนนางโบราณทั้งหมดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ กล่าวได้ว่า ไม่มีใครคัดค้านการขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญของหวู่ปิงหนิงในจูเซียงหวู่ถิง
การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญของหวู่ปิงหนิงในจูเซียงหวู่ถิงได้มีการประกาศให้ทราบทั่วหล้า และทำให้จูเซียงหวู่ถิงได้ให้การต้อนรับโอกาสที่ใหม่ทั้งหมด
หลี่ชิเย่ไม่ได้รั้งอยู่นานในวันที่หวู่ปิงหนิงขึ้นรับตำแหน่ง ออกเดินทางไปจากจูเซียงหวู่ถิง
“คุณชาย ยังมีโอกาสได้พบท่านอีกหรือไม่?” ในขณะที่กำลังจะจากลา หวู่ปิงหนิงรู้สึกเศร้าแม้ผู้หญิงที่เข้มแข็งและชอบเอาชนะเช่นนาง ในเวลานี้ก็มีดวงตาทั้งสองที่แดงก่ำ
เนื่องจากนางเข้าใจได้ว่า หลี่ชิเย่อยู่ไกลจากนางมากเหลือเกิน วันนี้เขาไปจากจูเซียงหวู่ถิง ไม่นานเขาจะต้องไปจากแดนลัทธิพรรษ ต่อไปก็ต้องไปจากแดนลัทธิราชัน เขาต้องได้ก้าวเดินไปไกลมาก ต่อให้นางพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถก้าวตามทันจังหวะการย่างก้าวของหลี่ชิเย่ ช่วงห่างระหว่างพวกเขาทั้งสองนับว่าห่างกันมากเหลือเกิน
หลี่ชิเย่มองดูหวู่ปิงหนิงที่ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ ปัดเส้นผมให้กับนางเบาๆ หัวเราะและกล่าวว่า “หากมีวาสนาย่อมได้พบกัน เรื่องราวต่างๆ นานาบนโลกใครเล่าสามารถบอกได้ชัดเจน บางทีสักวันหนึ่งพวกเราอาจได้พบกันที่แดนลัทธิพรรษ และหรือพบกันที่แดนลัทธิเซียน ไม่แน่นักอาจเป็นไปได้ที่พบกันในสถานที่อื่นๆ”
หวู่ปิงหนิงไม่ต้องการพูดอะไรมากความ ถึงกับโผเข้าอ้อมกอดของหลี่ชิเย่โดยไม่รู้ตัวทันที อดที่จะกอดหลี่ชิเย่เอาไว้แน่น
หลี่ชิเย่โอบกอดนางเบาๆ สุดท้ายก้มหน้าและบรรจงจูบเบาๆ ที่หน้าผากของนางทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ลาก่อนนังหนู ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องได้โบยบินไปบนเก้าชั้นฟ้าสักวัน” กล่าวจบ คลายมือและหันหลังจากไป
หวู่ปิงหนิงมองส่งด้วยสายตาส่งหลี่ชิเย่จากไป มองจนกระทั่งร่างเงาของหลี่ชิเย่หายลับไปบนเส้นของฟ้า ไม่อาจเรียกสติกลับมาได้เป็นเวลานาน และไม่อาจละสายตากลับมาอยู่นาน
หลี่ชิเย่ไปจากจูเซียงหวู่ถิงแล้วไม่ได้เดินทางไปยังแดนลัทธิราชันทันที เขาได้กลับไปยังหุบเขาอมตะ
หุบเขาอมตะยังคงงดงามดังเดิม ยังคงเป็นสถานที่ที่มีธรรมชาติงดงาม ท่ามกลางหุบเขาที่มีสภาพอากาศเหมือนดั่งฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี เรียกได้ว่ามีความสุขสบายอย่างบอกไม่ถูก
ยืนอยู่ท่ามกลางหุบเขาลักษณะเช่นนี้ ให้ความรู้สึกออกห่างจากความสับสนวุ่นวาย ทำให้รู้สึกสงบขึ้นมาทันที
การได้มายืนอยู่ท่ามกลางหุบเขาอมตะทำให้หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมา เหมือนว่าไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม หุบเขาอมตะก็จะอยู่เดียวดายตัดขาดจากโลกภายนอกเช่นนี้ เสมือนดั่งห่างไกลจากโลกของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาอย่างนั้น ด้วยเหตุนี้เอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาหุบเขาอมตะช่างทำตัวค่อมต่ำเหลือเกิน จนทำให้ผู้อื่นมองข้ามการดำรงอยู่ของพวกเขา
“ศิษย์พี่ใหญ่…” เสียงร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ ร่างเงาที่งดงามสามสายวิ่งเข้ามาเมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ ท่าทางดีใจเป็นอย่างยิ่ง พวกนางก็คือฝานเมี่ยวเจิน มู่หย่าหลัน และฉินเซาเย่าศิษย์พี่น้องทั้งสามคน
พวกนางที่เป็นศิษย์พี่น้องทั้งสามต่างเผยท่าทีที่ดีใจเป็นอย่างยิ่งออกมา ใบหน้าที่งดงามดูแดงเรื่อๆ เมื่อมองเห็นการกลับมาของหลี่ชิเย่
“ศิษย์พี่ใหญ่…” มู่หย่าหลันที่ปรกติเป็นผู้ที่เยือกเย็นและพูดน้อยที่สุดดูตื่นเต้นมากที่สุด พลันวิ่งเข้าไปและโผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของหลี่ชิเย่ทันที และสวมกอดหลี่ชิเย่เอาไว้
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะและกอดกับนางด้วยการสวมกอดที่เร่าร้อน
“ว้าว จังหวะการเคลื่อนไหวของศิษย์น้องรองพวกเราออกจะรวดเร็วเกินไปแล้วกระมัง พลันชิงเอาศิษย์พี่ใหญ่ของศิษย์พี่ศิษย์น้องพวกเราไปทันทีเลย” ขณะที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเข้าสวมกอดหลี่ชิเย่ในทันทีนั้น ฝานเมี่ยวเจินทำหัวเราะเสียงน่ารักขึ้นมา พูดหยอกล้อออกมา
มู่หย่าหลันในขณะนี้พลันมีใบหน้าที่แดงก่ำ นางที่หน้าบางพลันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว สถานการณ์อึดอัดจนหายใจไม่ออก นางปล่อยหลี่ชิเย่จากการสวมกอดทันที และก้มหน้าลงไม่กล้าเงยหน้ามองผู้คน
นางที่ปรกติเย็นชาและพูดน้อย แวลานี้เหมือนเป็นเด็กสาวที่อับอายอย่างนั้น
“ศิษย์น้องจะสวมกอดอีกสักครู่ พวกเราก็ไม่ถือสาหรอก” ฝานเมี่ยวเจินพูดหยอกล้อขึ้นเมื่อเห็นท่าทางที่เขินอายของมู่หย่าหลัน
“ศิษย์พี่…” มู่หย่าหลันอับอายจนมองขมึงฝานเมี่ยวเจินอย่างเคืองๆ
นางมารน้อยอย่างฝานเมี่ยวเจินรับมือได้ยาก เขายิ้มเบาๆ และกล่าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าจะเล่าให้ฟัง ตั้งแต่ท่านจากไปแล้ว ศิษย์พี่รองของพวกเราเรียกว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับ ภาพรวมซูบผอมไปไม่น้อยเลยทีเดียว…”
“เจ้าพูดพล่อยๆ ทั้งนั้น” มาคราวนี้ทำเอามู่หย่าหลันอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
ขณะที่ฉินซาวเย่านั้นเม้มปากหัวเราะเบาๆ ท่าทางน่ารักอย่างยิ่ง
……………………………………………….
ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท