ภายในบริเวณส่วนลึกของหุบเขาอมตะ เรียกได้ว่าตลบอบอวลไปด้วยไอหมอก ไอหมอกที่ตรงนี้คล้ายดั่งปกคลุมอยู่เช่นนี้ตลอดทั้งปี และไอหมอกทั่วทั้งบริเวณล้วนแล้วแต่มีความหนาแน่นและเข้มข้นอย่างยิ่ง เหมือนว่าไม่สามารถทำให้จางหายไปได้โดยสิ้นเชิง
ความจริงแล้ว ขณะที่มองดูให้ละเอียดนั้น ก็จะพบว่าที่ตลบอบอวลอยู่ ณ ที่ตรงนี้หาใช่เป็นไอหมอกไม่ แต่เป็นพลังชีวิตของฟ้าดิน หรือก็คือพลังแก่นฟ้าดินนั่นเอง
ณ ที่ตรงนี้กล่าวได้ว่าได้รวบรวมพลังแก่นที่บริสุทธิ์ที่สุดของพลังชีวิตฟ้าดินในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธินี้ทั้งหมด พลังชีวิตที่ตรงนี้เพียงพอที่จะให้ผู้ที่สูดเอาอากาศเข้าไปทีหนึ่งก็จะรู้สึกได้ว่าปลอดโปร่งไปทั่วร่าง เสมือนหนึ่งจะเป็นอมตะก้าวสู่ความเป็นเซียนอย่างนั้น
ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ ท่ามกลางพลังแก่นฟ้าดินเข้มข้นที่ตลบอบอวลนี้นั้น มีกลิ่นหอมของสมุนไพรที่ไม่สามารถแยกจากกันอยู่สายหนึ่ง เหมือนว่ากลิ่นหอมสมุนไพรดังกล่าวนี้ได้ซึมซับอยู่กับพลังแก่นฟ้าดิน และมันได้กลายเป็นส่วนที่สำคัญมากส่วนหนึ่งของพลังแก่นฟ้าดินไปแล้ว
ดังนั้น ขอเพียงสูดลมหายใจเข้าไปอึกหนึ่ง ไม่เพียงทำให้รู้สึกจิตใจสงบและมีความสุขทั่วร่าง อีกทั้งยังสามารถชำระล้างจิตใจและกายา ทำให้เหมือนหนึ่งได้ทะลวงชีพจรทั่วร่างอย่างนั้น
กลิ่นหอมสมุนไพรที่อยู่ในอากาศมาจากต้นสมุนไพรเซียนต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางหุบเหวลึกแห่งนี้ และสิ่งนี้หาใช่เป็นคำเปรียบเปรย มันเป็นต้นสมุนไพรเซียนต้นหนึ่งจริงๆ
ท่ามกลางหุบเหวลึกแห่งนี้ ต้นสมุนไพรเซียนแต่ละต้นที่ขึ้นอยู่ที่ตรงนั้น ผลสมุนไพรเซียนทุกๆ ผลล้วนแล้วแต่มีอายุที่น่าตกใจอย่างยิ่ง
ท่ามกลางซอกเหลือบของหุบเหวลึกแห่งนี้มีหญ้าจื่อจินขึ้นอยู่ตรงนั้น ลักษณะของหญ้าจื่อจินดั่งควันไฟที่ส่ายไปมาท่ามกลางสายลมที่พัดมาแผ่วๆ ยามที่สายลมแผ่วๆ พัดโชยผ่านเข้ามานั้น เสมือนดั่งทำให้เกิดเป็นเสียงโลหะจื่อจินดังตึงตึงตึงขึ้นมา
ด้านข้างของคลองลึกมีต้นไผ่เย็นยะเยือกขึ้นอยู่ โดยที่ไผ่เย็นยะเยือกนี้จะขึ้นอาศัยอยู่กับน้ำคลอง ลักษณะของไผ่เย็นยะเยือกดั่งหยก ยามที่น้ำค้างจากใบไผ่กลิ้งตกลงมาและตกลงไปในน้ำคลอง ถึงกับกลายเป็นหยกเม็ดงามแต่ละเม็ด และหยกงดงามแต่ละเม็ดนี้ได้ล่องลอยไปตามน้ำคลอง
ด้านล่างของหน้าผาหิน มีหลินจือศิลาขึ้นอยู่ที่ตรงนั้น ด้านข้างหลินจือศิลามีนกหงส์ทองอยู่เป็นเพื่อน โดยที่หลินจือศิลาจะปรากฏเป็นลวดลายเต๋าขึ้นมา ขณะที่นกหงส์ทองได้มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่วูบวาบออกมา และเสิรมส่งซึ่งกันและกันกับหลินจือศิลา และลวดลายเต๋าบนหลินจือศิลาดุจดั่งกลับกลายเป็นกายเซียนอย่างนั้น
……
หญ้าจื่อจินศักดิ์สิทธิ์ ไผ่หยกเซียนเย็นยะเยือก หลินจือหงส์เทียนเต้า…สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์แต่ละต้นที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางหุบเหวลึกแห่งนี้ล้วนแล้วแต่พบเห็นได้ยากยิ่งในหล้า แค่เด็ดถอนสักต้นตามอารมณ์แล้วปล่อยออกสู่ตลาด อย่าว่าแต่ในแดนลัทธิพรรษเลย ไอลีนแม้แต่ในแดนลัทธิราชันก็มีมูลค่าที่ประเมินไม่ได้
สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นอยู่ ณ ที่ตรงนี้แตกต่างจากสมุนไพรทิพย์หญ้าวิเศษอื่นๆ ที่ขึ้นอยู่ด้านนอกของหุบเขาอมตะ บรรดาสมุนไพรทิพย์หญ้าวิเศษเหล่านั้นส่วนใหญ่จะปลูกกันตามคันดินเป็นแปลงๆ ไป
ขณะที่สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางหุบเขาอมตะ ซึ่งเรียกได้ว่ามีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้านั้น เว้นแต่บางส่วนที่ถูกย้ายมาปลูกกันที่ตรงนี้แล้ว มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ ต้นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์แต่ละต้นที่อยู่ ณ ที่ตรงนี้นั้นมักจะมีอายุหลายร้อยปีเสมอๆ กระทั่งบางส่วนหลายพันปีถึงล้านปี เรียกได้ว่าบรรดาสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ประเมินค่าไม่ได้ทั้งสิ้น
ย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่คือธาตุแท้ภายในทียิ่งใหญ่ที่สุดของหุบเขาอมตะ หุบเขาอมตะขึ้นชื่อในด้านของวิชาปรุงกลั่นยาเม็ด และได้รับการยกย่องในความเป็นอมตะ ถ้าหากไม่มีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองอยู่เต็มหุบเขาล่ะก็ หุบเขาอมตะจะอาศัยสิ่งใดในการปรุงกลั่นยาเม็ดอายุวัฒนะสำหรับเหล่าราชันแท้จริงกระทั่งปฐมบรรพบุรุษกันเล่า? และจะเอาอะไรมาต่ออายุขัยให้กับบรรดาผู้ดำรงอยู่ในฐานะปราศจากผู้ต่อกรได้เล่า?
อีกทั้งธาตุแท้ภายในลักษณะเช่นนี้ใช่ว่าอาศัยเพียงหนึ่งหรือสองวันก็สามารถทำได้สำเร็จ แต่ได้ผ่านการสั่งสมมาทุกๆ รุ่นของหุบเขาอมตะที่ผ่านมา การวางแผนดำเนินการและมองการณ์ไกลในแต่ละรุ่น จึงได้ธาตุแท้ภายในที่น่าตกใจในวันนี้
หลี่ชิเย่อดยิ้มบางๆ ไม่ได้ขณะมองดูสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์แต่ละต้นที่อยู่ในหุบเขาอมตะนี้ ท่าทางเหมือนกำลังเดินเล่นอยู่ในส่วนหลังบ้านอย่างนั้น ดูอิสระและสบายใจยิ่ง เดินทอดน่องอยู่ท่ามกลางหุบเหวลึกนี้
หลี่ชิเย่กับนักพรตฉางเซินสองคนในเวลานี้จูงมือกันก้าวเดินอยู่ท่ามกลางถนนเล็กๆ ในหุบเหวลึก น้ำในลำธารที่ไหลเอื่อยๆ บุปผาโปรยปราย บรรยากาศโดยรวมเงียบสงบเป็นพิเศษ สงบสุขเป็นพิเศษ และงดงามเป็นพิเศษ
ขณะนี้หลี่ชิเย่เดินทอดน่องชื่นชมมองดูต้นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์อย่างสบายอกสบายใจอยู่นั้น เสมือนหนึ่งกำลังชื่นชมดอกไม้งดงามแปลกประหลาดแต่ละดอกอย่างนั้น
การที่หลี่ชิเย่เสมือนดั่งชมบุปผาด้วยความสบายอกสบายใจและผ่อนคลาย สบายใจตามอารมณ์เช่นนี้ ทำให้ในใจของนักพรตฉางเซินอดทอดถอนใจกับสิ่งนี้ไม่ได้
ผู้ที่สามารถเข้ามาในหุบเขาอมตะเมื่อได้เห็นต้นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ในหุบเหวลึกแล้ว แม้แต่ราชันแท้จริงก็ต้องรู้สึกหวั่นไหว เนื่องจากสมุนไพรที่มีอยู่ในหุบเขาอมตะที่อยู่ตรงหน้าใช่ว่าระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิใดๆ สามารถมีไว้ในครอบครองได้ สิ่งที่อยู่ในนี้แม้แต่ราชันแท้จริงก็ต้องแสดงความประทับใจออกมา
แต่ว่า หลี่ชิเย่กลับมีท่าทีเอ้อระเหยและสบายอกสบายใจ ต่อให้เป็นสมุนไพรที่ล้ำค่ายิ่งกว่านี้เขาก็ไม่รู้สึกตกใจแม้แต่น้อย เสมือนดั่งกำลังชื่นชมบุปผาอย่างนั้น แม้แต่บุปผาเซียนที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้าก็เป็นได้เพียงดอกไม้ที่งดงามดอกหนึ่งเท่านั้นในสายตาของเขา ไม่สามารถทำให้เขาสะเทือนหวั่นไหวได้เลย
สิ่งนี้ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าธาตุแท้ภายในของหลี่ชิเย่น่ากลัวเพียงใดแล้ว ธาตุแท้ภายในเช่นนี้หาใช่ราชันแท้จริงคนใดคนหนึ่งสามารถเทียบเคียงได้อยู่แล้ว
สุดท้าย นักพรตฉางเซิน และหลี่ชิเย่ได้ก้าวเดินมาถึงบริเวณที่ลึกที่สุดของหุบเขาอมตะ ที่ตรงนี้ก็เป็นสถานที่ที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดที่สุดของหุบเขาอมตะ ทำให้ผู้คนยากที่จะรุกล้ำได้แม้เพียงครึ่งก้าว
สถานที่แห่งนี้อย่าว่าแต่บุคคลภายนอกเลย แม้แต่ระดับบรรพบุรุษที่สูงส่งที่สุดของหุบเขาอมตะก็เข้าไปไม่ได้ ผู้ที่สามารถเข้าไปได้ทั่วทั้งหุบเขาอมตะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แค่นิ้วมือห้านิ้วก็นับได้หมด
กล่าวได้ว่า การที่หลี่ชิเย่ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกครึ่งตัวคนหนึ่งสามารถเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ได้ สำหรับหุบเขาอมตะแล้วนับว่าเป็นข้อยกเว้นโดยแท้จริงแล้ว
สถานที่แห่งนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาลำธารของที่นี่ หรือว่าท้องฟ้ากระทั่งดวงดาวบนท้องฟ้าล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เหมือนว่านับแต่กำเนิดฟ้าดินนาทีนั้น มันก็ไม่มีร่องรอยของการขัดเงาด้วยฝีมือมนุษย์อีกเลย
“เล่าลือกันว่าปฐมบรรพบุรุษของพวกเราก็ไม่เคยแตะต้องแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าที่นี่เลย เป็นปฐมบรรพบุรุษที่ทำการเลี่ยมมันอยู่ ณ ที่ตรงนี้ โดยที่ไม่มีการขัดเงามันเลยแม้แต่น้อย และไม่เคยมีการพัฒนาเลย” นักพรตฉางเซินเอ่ยขึ้นหลังจากได้มาถึงที่นี่แล้ว
“นี่ก็คือที่ที่วิเศษมากอย่างยิ่งแล้ว เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไหนเลยต้องไปขัดเงามันอีก แม้ปฐมบรรพบุรุษลงมือไปขัดเงาด้วยตนเองมันก็แค่แต่งเติมให้มันเลยเถิดไปเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมย
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่กับนักพรตฉางเซินยืนอยู่ด้านหน้าของตนไม้แก่ต้นหนึ่ง พูดให้ถูกต้องมากกว่าก็คือ มันเป็นต้นไม้แก่ที่มีขนาดเล็กมากต้นหนึ่ง ต้นแก่ต้นนี้มีความสูงแค่สามนิ้วเท่านั้นเอง แต่กิ่งก้านของมันดูแก่หง่อมยิ่งนัก ไม่รู้ว่าได้ผ่านกาลเวลามานานเท่าไรแล้ว ผู้คนไม่สามารถดูรู้ถึงอายุของมันได้อีกแล้ว
เมื่อมองดูให้ละเอียดมากกว่านี้ ก็จะพบว่าต้นไม้แก่ต้นนี้ไม่สมบูรณ์ มันขาดแหว่งไม่สมประกอบ เหมือนว่ามันถูกฉีกแยกออกมาจากต้นไม้แก่ต้นใดต้นหนึ่ง จากนั้นได้แตกรากขึ้นมาเอง และเจริญเติบโตนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ต้นไม้แก่เล็กๆ ลักษณะเช่นนี้มีใบอยู่ไม่มาก แต่ว่าใบไม้ของมันดูเขียวขจียิ่ง เหมือนว่าใบไม้ทุกๆ ใบล้วนแล้วแต่มีอายุหลายแสนปี กระทั่งหลายล้านปี เวลาผ่านไปอย่างยาวนานเพียงนี้ ใบแต่ละใบของมันก็ไม่ได้กลายเป็นสีเหลืองและแห้งเหี่ยวแต่อย่างใด
ต้นไม้แก่ต้นเล็กๆ ต้นหนึ่งเช่นนี้ เพียงได้เห็นเหมือนมองไม่ออกถึงนัยอะไร กระทั่งกล่าวได้ว่าต้นไม้แก่ต้นหนึ่งลักษณะเช่นนี้มันธรรมดามากเหลือเกิน
แต่ทว่า หากมองดูให้ละเอียดอีกครั้ง และหรือจะมีดวงตาที่มีปัญญาคู่หนึ่ง หลังจากครุ่นคิดพินินพิเคราะห์ช้าๆ แล้วก็จะพบว่า ต้นไม้แก่ต้นเล็กๆ ต้นนี้เหมือนมีความมีชีวิตชีวาที่น่าเกรงขามและไม่สิ้นสุดอยู่ในครอบครอง ลำพังแค่ภายในลำต้นที่แก่หง่อมนั้นก็เหมือนมีพลังชีวิตของโลกธาตุหนึ่งอยู่ในครอบครอง ตลบอบอวลไม่มีสิ้นสุด
อีกทั้งหากเจ้ามีดวงตาที่เป็นปัญญาคู่หนึ่งอย่างแท้จริง แล้วมองดูให้ละเอียดอีกครั้งก็จะพบว่า ภายในของต้นไม้แก่ลักษณะเช่นนี้ไม่เพียงสั่งสมพลังชีวิตที่น่าเกรงขามและไม่สิ้นสุดเอาไว้เท่านั้น เหมือนว่ามันหลังจากที่รองรับกาลเวลามานับไม่ถ้วนแล้ว ภายในลำต้นของมันกระทั่งได้แบกรับพลังของวันเวลาเอาไว้อย่างนั้น
“นี่แหละคือหญ้าอมตะต้นนั้นที่เจ้าต้องการ” ในเวลานี้เอง นักพรตฉางเซินมองดูต้นไม้แก่ที่อยู่ตรงหน้าต้นนี้ และกล่าวว่า “บางทีพวกเราเรียกมันว่าต้นไม้อมตะ มันไม่ได้มีชื่อที่เป็นการเฉพาะ มันเรียกได้ว่าเป็นรากฐานของหุบเขาอมตะพวกเรา นับตั้งแต่ปฐมบรรพบุรุษก่อตั้งหุบเขาอมตะขึ้นมา มันก็อยู่ที่ตรงนี้ตลอดมา”
“ข้ารู้ นี่ก็คือสิ่งที่ข้าต้องการหา” หลี่ชิเย่มองดูต้นไม้แก่ต้นนี้ที่อยู่ตรงหน้า ยิ้มกล่าวเฉยเมยขึ้นมา
แน่นอน หญ้าอมตะต้นนี้ย่อมไม่ใช่หญ้าอมตะที่เป็นหนึ่งในเก้าของสมบัติสวรรค์นพเก้า มันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยกับหนึ่งในเก้าของสมบัติสวรรค์นพเก้าแม้แต่น้อย
“ถ้าหากเจ้าสามารถนำมันไป มันก็จะเป็นของเจ้า” นักพรตฉางเซินกล่าวว่า “สิ่งนี้ใช่ว่าพวกเราจงใจกลั่นแกล้งเจ้า เพียงแต่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครสามารถนำมันไปด้วยได้ เล่าลือกันว่า ครั้งนั้นขณะที่ปฐมบรรพบุรุษพบมันนั้น มันก็เจริญเติบโตอยู่ที่ฟ้าดินแห่งนี้แล้ว ปฐมบรรพบุรุษพวกเราก็ไม่สามารถนำมันไปด้วย ได้แต่ให้ฟ้าดินแห่งนั้นเลี่ยมเอาไว้ที่ตรงนี้เท่านั้น”
“สิ่งนี้ข้าสามารถเข้าใจได้” หลี่ชิเย่มองดูต้นไม้แก่ต้นนี้ ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า ”ถ้าหากมันไม่ยอม แม้แต่ปฐมบรรพบุรุษก็ไม่สามารถพามันไปได้ พลังงานที่บ่มฟักซ่อนอยู่ด้านหลังของมันนั้น เป็นสิ่งที่เกินกว่าจินตนาการของพวกเจ้าไปมากทีเดียว เกรงว่าจะเกินกว่าการจินตนาการของทุกๆ คน”
“แต่ว่า ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าต้องการ ไม่มีอะไรที่จะนำไปไม่ได้อยู่แล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย ฝ่ามือได้ทาบลงบนต้นไม้แก่ต้นนี้
ขณะที่มือของหลี่ชิเย่ได้ทาบลงบนต้นไม้แก่ต้นนี้อย่างชำนาญนั้น พลันได้ยินเสียงดังช่าาา ช่าาา ช่าาาขึ้นมาเป็นระลอก เห็นเพียงต้นไม้แก่ต้นนี้เกิดการสั่นไหวโคลงเคลงขึ้นมา ใบไม้คล้ายดั่งถูกสายลมที่พัดโชยมาเบาๆ สั่นไหวไม่หยุดนิ่ง
นักพรตฉางเซินรู้สึกตระหนกยิ่ง ถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นภาพนี้ เนื่องจากไม่เคยมีใครสามารถทำให้ต้นอมตะต้นนี้ดีใจได้ขนาดนี้ อย่าว่าแต่ราชันแท้จริงเลย แม้แต่ปฐมบรรพบุรุษมาถึงต้นอมตะต้นนี้ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่ว่า หลี่ชิเย่เพียงใช้ฝ่ามือลูบเบาๆ ก็สามารถทำให้ต้นอมตะต้นนี้ดีใจได้ถึงเพียงนี้ เรื่องเช่นนี้นับว่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
แต่ว่า เมื่อนึกดูให้ละเอียดแล้ว มีเรื่องอะไรที่ไม่เกิดบนตัวของหลี่ชิเย่เล่า? แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากกว่านี้เมื่อเกิดกับหลี่ชิเย่ มันก็ดูจะไม่มีอะไรธรรมดามากไปกว่านี้อีกแล้ว
“สมควรมีสภาพที่สมบูรณ์แล้ว” หลี่ชิเย่หัวเราะบางๆ ในเวลานี้เองได้หยิบเอาต้นไม้แก่ออกมาต้นหนึ่ง ต้นไม้แก่ต้นนี้เทียบกับต้นไม้แก่ของหุบเขาอมตะไม่รู้ว่ามีขนาดใหญ่กว่ากันเท่าไร
ต้นไม้แก่ต้นนี้ที่หลี่ชิเย่นำออกมาต้นนี้ก็คือต้นอมตะต้นนั้นที่ได้มาจากระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง ขณะที่หลี่ชิเย่นำต้นอมตะต้นนี้ออกมาในเวลานี้ ต้นอมตะต้นนี้ได้เปล่งประกายออกมาเป็นสายและดูจะดีใจยิ่งนัก มันสั่นไหวขึ้นมาเหมือนมีสายลมที่พัดมาต้องกับใบเขียวขจีแต่ละใบของมันอย่างนั้น
ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ได้วางต้นอมตะต้นนี้ลงบนพื้น
เสียงช่าาา ช่าาา ช่าาาดังขึ้น มองเห็นต้นอมตะสองต้นที่พบกันแล้วนั้นถึงกับเริ่มมีการร่วมร่างเกิดขึ้น ต่างฝ่ายต่างเชื่อมโยงเข้าหากัน
ในเวลานี้เองหากมองดูให้ละเอียดก็จะพบว่า ต้นอมตะทั้งสองต้นต่างก็มีส่วนที่ขาดแหว่งไม่สมบูรณ์ เพียงแต่ต้นอมตะต้นที่อยู่กับหลี่ชิเย่เป็นต้นหลัก ขณะที่ต้นอมตะที่อยู่ในหุบเขาอมตะเป็นเพียงส่วนที่ขาดแหว่งไปของมัน
…………………………………………….