นักพรตพเนจรหยางหมิงมองหน้านักพรตฉางเซินด้วยสายตาเชือดเฉือนสำหรับคำพูดลักษณะเช่นนี้ของนาง ยังคงมีท่าทีที่สูงส่งอยู่เหนือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ความงดงามของนางทำให้จิตใจผู้คนหวั่นไหว แต่ก็ไม่กล้ามีสบประมาทแม้แต่น้อย ได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ
หลี่ชิเย่กลับไม่ได้รับผลกระทบ เขามองดูนักพรตพเนจรหยางหมิงที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด ชื่นชมอย่างละเอียด สายตานั้นช่างอิสระเสรีและตามอารมณ์อย่างยิ่ง สายตาที่กำเริบเสิบสานนั้นเสมือนดั่งต้องการมองดูตัวของนักพรตพเนจรหยางหมิงทั้งภายนอกและภายในสักรอบหนึ่งอย่างนั้น
“เจ้าดูสิ ศิษย์ของข้าคนนี้ชอบเจ้าแค่ไหน นับตั้งแต่เห็นเจ้าก็มองตาไม่กะพริบ ถูกเจ้าดึงเร้าจนจิตใจหวั่นไหว ทำให้อาจารย์อย่างข้าก็ต้องหึงแล้วล่ะ” ขณะที่หลี่ชิเย่กำลังพินิจพิเคราะห์นักพรตพเนจรหยางหมิงอย่างละเอียดอยู่นั้น นักพรตฉางเซินทำเม้มปากยิ้มเบาๆ กะพริบตาทีหนึ่ง ท่าทางดูทะเล้นอยู่บ้าง
ภายในใจของนักพรตพเนจรหยางหมิงรู้สึกเคืองอยู่บ้างเหมือนกัน เมื่อถูกมองด้วยสายตาที่กำเริบเสิบสานและล่วงเกินเช่นนี้ ถึงกับจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ทีหนึ่ง ยามที่นักพรตพเนจรหยางหมิงที่สูงส่งบริสุทธิ์อยู่เหนือมนุษย์ปุถุชนธรรมดามองด้วยความโกรธนั้น กลับมีกลิ่นอายของหญิงสาวอยู่สามส่วน สามารถทำให้จิตใจผู้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหล
หลี่ชิเย่เพียงหัวเราะตามอารมณ์ทีหนึ่งและกล่าวว่า “กับสาวงามแล้วข้าไม่เคยปฏิเสธมาโดยตลอด เช่นเจ้า มาเป็นสาวใช้ข้างกายข้าล่ะก็ ข้าสามารถรับไว้พิจารณาได้อยู่แล้ว”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่สร้างความโกรธเคืองให้กันักพรตพเนจรหยางหมิงยิ่งนัก ถึงกับมองหลี่ชิเย่ด้วยสายตาเฉือดเฉือน ภายในแววตามีความโกรธเคืองอยู่สามส่วน ท่าทีที่โกรธนิดๆ ยิ่งทำให้นางดูงดงามยากจะหาใดเทียม
จะโทษว่านักพรตพเนจรหยางหมิงโกรธเคืองก็ไม่ถูก พรรคหยางหมิงคือระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอันดับหนึ่งของแดนลัทธิพรรษ นักพรตพเนจรหยางหมิงในฐานะที่เป็นผู้กุมอำนาจของพรรคหยางหมิง เรียกได้ว่ามีตำแหน่งสูงมากด้วยอำนาจ มีฐานะสูงส่งอย่างยิ่ง เวลานี้หลี่ชิเย่ถึงกับให้นางเป็นสาวใช้ แล้วจะไม่ให้นักพรตพเนจรหยางหมิงต้องโกรธเคืองได้อย่างไรกันเล่า?
“ไม่ต้องโกรธเคือง” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ถือโอกาสที่เจ้าอายุยังน้อย ติดตามข้า ยังมีวันเวลาที่ดีงาม ติดตามข้าขึ้นไปยังมีสิทธิ์ได้ชมสิ่งที่งดงามของแดนลัทธิเซียนในอนาคต”
“ความคิดนี้ไม่เลวเลยนี่” นักพรตฉางเซินเม้มปากยิ้มเบาๆ ยุยงนักพรตพเนจรหยางหมิง หัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “มีเจ้าคอยปรนนิบัติศิษย์ของข้า ข้าที่เป็นอาจารย์ก็วางใจได้แล้ว”
นักพรตพเนจรหยางหมิงค้อนนักพรตฉางเซินทีหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า ”ระวังฐานะของเจ้าด้วย” การมองค้อนของนางนั้นแฝงไว้ซึ่งความฉอเลาะอยู่สามส่วน ทำให้ผู้พบเห็นกระดูกอ่อนไปทั้งตัว
“คนสวย หน้าตาที่สวยหยาดเยิ้มเช่นนี้ของเจ้าทำให้ผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องเคลิบเคลิ้มหลงใหลนะเนี่ย เจ้าอยู่อย่างเดียวดายไร้ผู้เคียงคู่ ช่างเป็นอะไรที่น่าเสียดายมาก เป็นการทำลายสิ่งของตามอำเภอใจไม่รู้จักทะนุถนอม มิสู้ติดตามศิษย์ของข้าเถอะนะ” นักพรตฉางเซินโอบไหล่นักพรตพเนจรหยางหมิงเอาไว้ ท่าทางพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างยิ่ง
นักพรตพเนจรหยางหมิงจ้องมองนางเขม็งอย่างเคืองๆ แต่ว่า ท่าทางนั้นนับว่างดงามปราศจากผู้เทียบเทียมโดยแท้ ทำให้ผู้พบเห็นต้องเคลิบเคลิ้มหลงใหล พลันที่บุรุษได้เห็นอ่อนไปทั้งตัว
“ล้อเล่นเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กลับดูเป็นธรรมชาติและตามอารมณ์ยิ่ง กล่าวว่า “เพียงแต่หากเจ้ามีโอกาส เป็นความจริงที่สมควรไปที่แดนลัทธิเซียนสักครั้งหนึ่ง ปฐมบรรพบุรุษของพวกเจ้ามีชาติกำเนิดมาจากหอปราชญ์จรัส ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหอปราชญ์จรัสที่แท้จริง ล้างระบบเดิมและคิดค้นขึ้นมาใหม่ ก่อตั้งเป็นพรรคหยางหมิงของพวกเจ้า หากมีวันนั้นจริงๆ การได้กลับไปเยือนหอปราชญ์จรัสสักครั้ง บางทีอาจได้รับประโยชน์ไม่น้อยทีเดียว”
“เจ้ารู้เรื่องไม่น้อยเลยทีเดียวนะเนี่ย” นักพรตพเนจรหยางหมิงถึงกับเพ่งมองไปที่หลี่ชิเย่ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้
หวังหยางหมิง ปฐมบรรพบุรุษของพรรคหยางหมิง ชั่วชีวิตของเขามีความยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ได้สร้างความดีความชอบเอาไว้มากมาย เคยฝากชื่อเสียงที่โด่งดังเอาไว้
ตามตำนานเล่าว่า หวังหยางหมิงสำเร็จการศึกษาจากหอปราชญ์จรัส ได้รับการถ่ายทอดวิชาที่ลึกซึ้งจากหอปราชญ์จรัสมาอย่างแท้จริง ภายหลังเขาได้หลุดจากสัจธรรมของหอปราชญ์จรัส คิดค้นสร้างต้นกำเนิดสัจธรรมจนกลายเป็นปฐมบรรพบุรุษคนหนึ่ง อาศัย ‘คัมภีร์ดวงจิตสว่าง’ เป็นฐาน ก่อตั้งพรรคหยางหมิงขึ้นมา
“เรื่องราวใต้หล้า ไหนเลยมีสิ่งที่ไม่เข้าใจ” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เฉกเช่นหอปราชญ์จรัสที่ให้กำเนิดปฐมบรรพบุรุษพวกเจ้า มิใช่แค่ควรจะไปสักครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นปฐมบรรพบุรุษของหอปราชญ์จรัสเป็นบุคคลที่น่าสนใจอย่างยิ่ง” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว เขาได้เผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าขึ้นมา
“ปราชญ์แดนไกล…” แม้แต่นักพรตฉางเซินก็บังเกิดความเคารพในใจและเอ่ยขึ้นมา
‘หอปราชญ์จรัส’ นักพรตพเนจรหยางหมิงก็พึมพำขึ้นมาเบาๆ
เป็นความจริงที่นักพรตพเนจรหยางหมิงเคยได้ยินชื่อของหอปราชญ์จรัสมาก่อน มันคือหนึ่งในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของแดนลัทธิเซียน ลึกล้ำดั่งมหาสมุทร เคยให้กำเนิดผู้กล้าและอัจฉริยะบุคคลจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่ามีราชันแท้จริงกระทั่งปฐมบรรพบุรุษจำนวนเท่าไรที่มีชาติกำเนิดมาจากหอปราชญ์จรัส
สิ่งที่ทำให้ผู้คนกล่าวขวัญถึงอย่างออกรสออกชาติก็คือ ปราชญ์แดนไกล ปฐมบรรพบุรุษของหอปราชญ์จรัส เล่าลือกันว่าเขานั้น เขาสาดส่องแสงสว่างไปทั่วหล้าอย่างเท่าเทียมกัน โปรดให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ไปทั่วหล้า ทำให้ความมืดมนไม่สามารถหลบซ่อนตัวได้
“ถูกต้อง ปราชญ์แดนไกล” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าออกมา มันเป็นเรื่องที่มีความหมายยิ่งอย่างแท้จริง ทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหลังมันน่าสนใจอย่างยิ่งจริงๆ
“ปราชญ์แดนไกล สาดส่องแสงสว่างไปทั่วอย่างเท่าเทียมกัน ส่องสว่างไปตลอดกาล โปรดไปทั่วหล้า” แม้แต่นักพรตพเนจรหยางหมิงก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความคารพ
หวังหยางหมิง ปฐมบรรพบุรุษพรรคหยางหมิงของพวกเขามีชาติกำเนิดมาจากหอปราชญ์จรัส กล่าวได้ว่าได้สืบทอดวิชาจากปราชญ์แดนไกล ปราชญ์แดนไกลจึงเรียกได้ว่าเป็นปฐมบรรพบุรุษของปฐมบรรพบุรุษพรรคหยางหมิงของพวกเขา คู่ควรให้นักพรตพเนจรหยางหมิงให้ความเคารพเลื่อมใส
“สาดส่องแสงสว่างไปทั่วอย่างเท่าเทียมกัน ส่องสว่างไปตลอดกาล โปรดไปทั่วหล้า” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าสำหรับคำกล่าวของนักพรตพเนจรหยางหมิง
“มีอะไรไม่ได้อย่างนั้นรึ? ปราชญ์แดนไกลคือปฐมบรรพบุรุษที่ได้รับการยอมรับตลอดกาล แสงสว่างของเขาเคยส่องสว่างแดนสามเซียนมาช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมาก” นักพรตพเนจรหยางหมิงแสดงความไม่พอใจกับท่าทีลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ นางที่เดิมเป็นผู้เย็นชาและเหินห่างถึงกับจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่
“แสงสว่างก็ดี ความมืดมนก็ช่าง มันก็แค่เป็นปฏิปักษ์กันเท่านั้น” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ในใจมีความสว่างก็สามารถส่องสว่างตลอดกาล หนึ่งจิตนึกคิดมืดมน ก็สามารถเข่นฆ่าสังหารเป็นศตวรรษ ปราศจากแสงสว่างไหนเลยจะมีความมืดมน ปราศจากความมืดมน แล้วแสงสว่างจะมาจากที่ใด มีใครรู้บ้างว่าอะไรคือความสว่าง อะไรคือมืดมน บาททีเจ้าอาจไม่รู้ว่า ความสว่างนั้นถูกล่อเลี้ยงโดยหัวใจที่มืดมนดวงนั้น”
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วถึงกับเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าออกมา ปราชญ์แดนไกลนับเป็นฉายาที่ควรค่าแก่การครุ่นคิดเหลือเกิน เป็นฉายาที่มีความหมายอย่างยิ่ง แน่นอน นี่เป็นเพียงฉายาเท่านั้นเอง สำหรับเบื้องหลังที่ว่าบุคคลผู้นี้คือใครล่ะก็ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีก
“พูดบ้าๆ บอๆอยู่นั่นแหละ” นักพรตพเนจรหยางหมิงจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ด้วยความรู้สึกที่เคืองๆ อยู่บ้าง จะไปโทษนางก็ไม่ถูก จะอย่างไรเสียกล่าวสำหรับพรรคหยางหมิงแล้ว ปราชญ์แดนไกลคือปฐมบรรพบุรุษของปฐมบรรพบุรุษพวกเขา พวกเขาจึงยังคงมีความเคารพในตัวของปราชญ์แดนไกลในใจ
“ข้าก็พูดเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มตามอารมณ์และไม่ได้โต้แย้งอะไร จะอย่างไรเสียหมอกหนาท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาหาใช่ลำดับชั้นอย่างนักพรตพเนจรหยางหมิงสามารถสัมผัสได้อยู่แล้ว
“ข้ากลับรู้สึกสนใจที่จะฟัง” นักพรตฉางเซินหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “บางทีปราชญ์แดนไกลอาจมีเรื่องราวบางเรื่องที่ไม่เป็นที่รับรู้ของผู้คน จะอย่างไรเสีย ตำนานบางเรื่องห่างไกลจากตัวของพวกเราไปมากเหลือเกิน มันไม่สู้จะเป็นความจริงสักเท่าไรแล้ว” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้นางได้กะพริบตานิดหนึ่ง
“ขี้นินทา” นักพรตพเนจรหยางหมิงค้อนนักพรตฉางเซินเบาๆ ทีหนึ่ง ไม่ค่อยพอใจในนักพรตฉางเซินนัก
นักพรตฉางเซินไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย โอบไหล่ของนักพรตพเนจรหยางหมิงเอาไว้ หัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ถ้าหากน้องต้องการทราบเรื่องจริงๆ บางทีอาจสามารถติดตามศิษย์ของข้าไปน่ะ ช่วยอุ่นเตียงให้กับศิษย์ข้า เป่าลมข้างหมอนบ้าง ไม่แน่นักอาจได้ประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วได้กะพริบตาด้วยท่าทีเชิงชู้สาว
นักพรตพเนจรหยางหมิงจ้องมองนักพรตฉางเซินทีหนึ่งอย่างเคืองๆ และเผยให้เห็นท่วงท่าที่สวยหยาดเยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้ผู้คนอยากจะสวมกอดไว้แนบอกจับคลึงสักที
หลังจากที่นักพรตพเนจรหยางหมิงได้ละสายตากลับมาแล้ว มองไปที่หลี่ชิเย่ และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “เจ้าไปที่แดนลัทธิราชันเพียงเพื่อต้องการเป็นกระดานที่ใช้ดีดตัวขึ้นไป หรือว่ามีอย่างอื่นที่ต้องไปทำ?”
นักพรตพเนจรหยางหมิงไม่ได้สงสัยในความแข็งแกร่งของหลี่ชิเย่แม้แต่น้อย และนางเองก็เชื่อเต็มอกว่าเกรงว่าคงไม่นานหลี่ชิเย่จะต้องขึ้นไปที่แดนลัทธิเซียน
ความจริงแล้ว การที่นักพรตพเนจรหยางหมิงเห็นพ้องต้องกันว่าหลี่ชิเย่จะต้องขึ้นไปที่แดนลัทธิเซียนก็ใช่เป็นเรื่องแปลก เนื่องจากนับแต่อดีตเป็นต้นมา ผู้ที่มีความปราดเปรื่องน่าทึ่งมากพอก็จะขึ้นไปยังแดนลัทธิเซียนอยู่แล้ว
แน่นอนที่สุด แม้ว่ากล่าวสำหรับ ระดับปราศจากผู้ต่อกรแล้ว การจะขึ้นจากแดนลัทธิพรรษก้าวเดียวให้ถึงแดนลัทธิเซียนนั้นมากด้วยอุปสรรค อย่าว่าแต่ราชันแท้จริงเลย แม้แต่ปฐมบรรพบุรุษก็ยากที่จะทำได้ ดังนั้น บรรดาราชันแท้จริงมักจะขึ้นไปยังแดนลัทธิราชันก่อน แล้วถือเอาแดนลัทธิราชันเป็นกระดานกระโดดดีดตัวขึ้นไปยังแดนลัทธิเซียนเมื่อมีความแข็งแกร่งมากพอแล้ว
ในสายตาของนักพรตพเนจรหยางหมิงมองว่า ความปราดเปรื่องน่าทึ่งของหลี่ชิเย่ไม่ด้อยไปกว่าบุคคลในอดีต วันหน้าต้องมีสิทธิ์ได้ขึ้นไปยังแดนลัทธิเซียนแน่นอน ด้วยเหตุนี้เองนักพรตพเนจรหยางหมิงจึงได้พูดคำพูดลักษณะเช่นนี้ออกมา
“ทำไมรึ หรือว้าเจ้าคิดจะติดตามข้าไป?” หลี่ชิเย่ยิ้มแต้และกล่าวว่า “แน่นอน คำพูดของข้าเมื่อครู่ยังมีผลอยู่ ถ้าหากเจ้าคิดจะติดตามข้าไป ข้ารับตัวเจ้าเอาไว้ก็ได้”
“ฝันไปเถอะ” นักพรตพเนจรหยางหมิงถูกยั่วโมโหจนรู้สึกมันเขี้ยว พวกเขาศิษย์อาจารย์คู่นี้จงใจเป็นปฏิปักษ์กับนางเสียจริง
“เจ้าแค่ใช้เป็นทางผ่านรึ?” แม้แต่นักพรตฉางเซินก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ในใจของนักพรตฉางเซินมีความเข้าใจในหลี่ชิเย่มากยิ่งกว่า เขาเป็นเพียงผู้ที่เดินทางผ่านมาบนโลกใบนี้เท่านั้นเอง
เฉกเช่นที่เขาปรากฏตัวในแดนลัทธิพรรษตอนนี้อย่างนั้น เกรงว่าเขามาเพื่อต้นสามเซียน เวลานี้เขาขึ้นไปยังแดนลัทธิราชันแค่เพียงเดินทางผ่านเท่านั้นรึ? แค่ใช้เป็นกระดานกระโดดขึ้นไปยังแดนลัทธิเซียน
“ถือโอกาสทำงานนิดหนึ่ง” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “แค่ถือโอกาสเท่านั้น เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถฝืนบังคับกันได้”
แม้ว่าหลี่ชิเย่จะพูดแบบสบายๆ และไม่ได้บอกว่าจะทำอะไร แต่ว่า นักพรตฉางเซินเข้าใจได้ การไปยังแดนลัทธิราชันของหลี่ชิเย่ไม่ง่ายอย่างนั้นแน่นอน ไม่เพียงแค่เป็นทางผ่านเท่านั้นเอง
“ขอให้เจ้าประสบความสำเร็จ” นักพรตฉางเซินถึงกับจับมือหลี่ชิเย่เอาไว้และกล่าวด้วยความจริงใจ
หลี่ชิเย่ยิ้มตามอารมณ์ มองไปที่ที่ห่างไกล แน่นอน การไปยังแดนลัทธิราชันไม่ได้เพื่อตระกูลมู่อะไรนั่น ถ้าหากเพียงแค่ตระกูลมู่อย่างเดียวยังไม่คุ้มค่าให้เขาต้องเดินทางไปยังแดนลัทธิราชันสักครั้งด้วยตัวเอง
นักพรตพเนจรหยางหมิงก็ชัดเจน ขณะมองดูนักพรตฉางเซินและหลี่ชิเย่ นี่คือศิษย์อาจารย์ที่ไม่เหมือนศิษย์อาจารย์มากที่สุดคู่หนึ่ง หลี่ชิเย่กับนักพรตฉางเซินไม่ได้มีความสัมพันธ์เป็นศิษย์อาจารย์อะไรอยู่แล้ว
แม้ว่านักพรตพเนจรหยางหมิงกับนักพรตฉางเซินทั้งสองต่างมีเรื่องขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอๆ ความจริงแล้วระหว่างพวกนางทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่รู้ใจกัน ไม่มีใครที่สามารถเข้าใจกันและกันมากไปกว่าพวกนางทั้งสองอีกแล้ว
ดังนั้น ภายในใจของนักพรตพเนจรหยางหมิงจึงมีความชัดเจนว่า ระหว่างหลี่ชิเย่กับนักพรตฉางเซินไม่ได้มีความสัมพันธ์เป็นศิษย์อาจารย์อยู่แล้ว
ในเวลานี้เอง มีศิษย์ของพรรคหยางหมิงเข้ามารายงานว่า “ท่านหัวหน้าพรรค เหล่าบรรพบุรุษแจ้งว่าทุกอย่างตระเตรียมพร้อมสรรพแล้ว”
นักพรตพเนจรหยางหมิงจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ หลังจากได้รับรายงาน
“ไปเถอะ ได้เวลาสมควรออกเดินทางได้แล้ว” หลี่ชิเย่ละสายตากลับมา ยิ้มๆ นิด
“สมควรออกเดินทางแล้ว” นักพรตฉางเซินก็พึมพำเบาๆ คำหนึ่ง ถึงกับทอดถอนใจในใจทีหนึ่ง
………………………………………………………