การเดินทัพของกองทัพหยินมี่ดั่งสายฟ้าแลบ หลังจากเดินทางกลับ ภายในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งวันก็ได้เข้าไปยังราชสำนักแล้ว
เมื่อหลี่ชิเย่ก้าวเท้าเข้าไปยังราชวงศ์โต่วเซิ่น มองดูราชวงศ์โต่วเซิ่นที่น่าเกรงขามและยิ่งใหญ่ ถึงกับเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา
ราชวงศ์โต่วเซิ่นคือผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่ ทางราชวงศ์ได้ตั้งฐานทัพเอาไว้ทั่วทุกแห่งในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่ แต่ราชสำนักกลับสร้างอยู่ที่เขากัวชางซาน
เขากัวชางซานเป็นทั้งชื่อของภูเขาและชื่อของเทือกเขาในตัว เขากัวชางซานนั้นมีภูเขานับหมื่นกระจายอยู่ทั่วไป โดยภูเขาทั้งหมดได้รายล้อมอยู่รอบๆ ป้องกันภูเขาหลักที่มีขนาดใหญ่และสูงที่สุด ซึ่งภูเขาหลักดังกล่าวมีชื่อว่าเขากัวชางซาน!
ท่ามกลางเทือกเขากัวชางซานเทือกนี้ประกอบด้วยภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วน อีกทั้งภูเขาสูงก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย กล่าวได้อย่างเต็มปากว่า ภูเขาที่สูงหมื่นจ้างนั้นมีจำนวนนับพัน และมีจำนวนไม่น้อยที่สูงเสียดฟ้าทะลุเมฆา
แต่ทว่า บรรดาภูเขาสูงหมื่นจ้างเหล่านี้เมื่อเปรียบกับเขากัวชางซานเรียกได้ว่าไม่คู่ควรจะกล่าวถึง เขากัวชางซานทั้งลูกมีรัศมีนับหมื่นลี้ สูงทะลุขึ้นไปบนจักรวาล เมฆสีขาวที่ลอยล่องอยู่นั้นแค่ลอยอยู่บริเวณตีนเขาเท่านั้นเอง และดวงดาวที่กระจัดกระจายนั้นก็แค่ล้อมรอบบริเวณกลางเขาเท่านั้นเอง ขณะที่ยอดเขาที่สูงที่สุดของเขากัวชางซานตรงขึ้นไปถึงทางช้างเผือก ความอลังการนั้นปราศจากผู้เทียบเทียม สร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คน
แค่ลำธารสายหนึ่งสายใดที่ไหลพุ่งตัวลงมาด้านล่างของเขากัวชางซานก็สามารถรวมตัวกลายเป็นแม่น้ำที่ดุจดั่งเป็นมังกรยักษ์อย่างนั้น บริเวณส่วนที่หักข้อศอกของภูเขาก็สามารถกลายเป็นป่าผืนหนึ่งได้ และบริเวณที่มีหินงอกนูนขึ้นมาสักแห่งก็สามารถกลายเป็นเมืองหลักได้เมืองหนึ่ง ลองคิดดู เขากัวชางซานทั้งลูกจะมีขนาดใหญ่โตมโหฬารเช่นใด
บนเขากัวชางซานมีตำหนักแต่ละหลังตั้งอยู่ บริเวณกลางเขาก็จะมีเมืองแต่ละเมืองตั้งอยู่ ทุกๆ เมืองก็จะมีผู้คนอาศัยอยู่ตั้งแต่หลายแสนคนถึงหลายล้านคน ลำพังแค่เขากัวชางซานลูกหนึ่งก็คล้ายเป็นโลกๆ หนึ่งอย่างนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีแม่น้ำไหลวนไปตามภูเขาลงมา แลดูคล้ายดั่งเป็นมังกรสีเงินที่ยึดครองอยู่บนยอดเขา มีแม่น้ำใหญ่ที่สายน้ำส่งเสียงกึกก้องพุ่งทะยานลงมา ดูอลังการยิ่งนัก
นอกเหนือจากที่บนเขากัวชางซานมีตำหนักเป็นหมื่นหลัง เมืองหลายสิบเมืองแล้ว ยังมีสะพานศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งที่ข้ามท้องฟ้าเชื่อมจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งของภูเขา กระทั่งมีสะพานยาวที่ก้าวข้ามเป็นหมื่นลี้ จากยอดเขาบนเขากัวชางซานไปยังยอดเขาบางลูก
ด้านล่างของเขากัวชางซานที่เป็นภูเขาตั้งอยู่กระจัดกระจายเต็มไปหมดก็มีตำหนักและเมืองต่างๆ ตั้งอยู่ที่นั่น ทั่วฟ้าดินมีประชากรนับสิบล้านหรือมากกว่าที่อาศัยอยู่ในนั้น
ด้วยเหตุนี้เอง อาศัยเขากัวชางซานเป็นศูนย์กลางได้ส่งผลถึงเมืองและตำหนักทั้งหมดของเทือกเขากัวชางซานทั้งเทือก ถูกรวมเรียกว่าเป็นเมืองกัวชาง
กล่าวได้ว่า เมืองกัวชางไม่ใช่เป็นแค่เมืองๆ หนึ่ง มันเหมือนเป็นแคว้นๆ หนึ่ง แน่นอน แคว้นลักษณะเช่นนี้มันก็แค่ส่วนหนึ่งของราชวงศ์โตว่เซิ่นเท่านั้นเอง
ลำพังแค่มองจากเมืองกัวชางก็สามารถดูออกว่าราชวงศ์โตว่เซิ่นนั้นใหญ่โตเพียงใด และมองออกว่าทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่มีขนาดใหญ่โตเช่นใด
จะอย่างไรเสีย ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่คือหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ของแดนลัทธิราชัน เป็นหนึ่งในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนลัทธิราชัน มีพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลมากอยู่ในครอบครอง
ปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่ก็มีชื่อว่าจิ่วมี่ ด้วยเหตุนี้เองจึงได้ชื่อว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่ ส่วนชื่อที่แท้จริงของปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่นั้น ไม่มีใครทราบถึงประวัติความเป็นมาอีกแล้ว
ทุกคนรู้แต่เพียงว่าอาจารย์ของจิ่วมี่คือเป้าปู่ เป็นหนึ่งในศิษย์ยของเป้าปู่ นอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่รู้อะไรอีกเลย
สมควรทราบว่า เป้าปู่นั้นคือปฐมบรรพบุรุษคนแรกของแดนสามเซียนเท่าที่มีการบันทึกกันมา ดังนั้น ทุกคนจึงยกย่องเขาคือปฐมบรรพบุรุษคนแรกของแดนสามเซียน
ขณะที่จิ่วมี่คือหนึ่งในศิษย์ของเป้าปู่ ลองนึกดูว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่นั้นมีความเก่าแก่โบราณเช่นใด ถูกก่อตั้งขึ้นมาเนิ่นนานเพียงใด
ด้วยเหตุนี้เอง เรื่องราวเกี่ยวกับปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่จึงไม่ค่อยมีบันทึกสักเท่าไร ทุกอย่างล้วนแล้วแต่กล่าวเอาไว้เพียงไม่กี่คำเท่านั้น
แม้บันทึกเกี่ยวกับปฐมบรรพบุรุษไม่ชัดเจนก็ตาม แต่ทว่า ความเป็นสิ่งจัดตั้งเพื่อการสืบทอดที่เก่าแก่โบราณของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่ และความลึกซึ้งของธาตุแท้ภายในนั้นเป็นสิ่งที่ปราศจากข้อกังขาอยู่แล้ว
หลังจากผ่านมาสิบล้านยุคแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่ที่ขึ้นๆ ลงๆ เคยตกต่ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ท้ายที่สุดยังคงยืนหยัดจนถึงปัจจุบัน
โดยเฉพาะมาถึงมือของฮ่องเต้ไท่ชิง ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่ก็คล้ายดั่งเป็นพระอาทิตย์ที่ขึ้นกลางหาว ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแดนลัทธิราชันอีกครั้งหนึ่ง
แม้ว่าทุกคนไม่สามารถรู้ได้ว่าช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่เป็นอย่างไร แต่ทว่า ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่ในวันนี้ เกรงว่าในสายตาของผู้คนจำนวนมากมองว่า คงไม่ได้ด้อยไปกว่ายุคที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดสักเท่าไร
มาวันนี้ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่นอกจากจะมีสำนักเจ้าลัทธิ และตระกูลขุนนางโบราณชั้นหนึ่งจำนวนนับพันนับหมื่นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหอหลินไห่เก๋อ ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ วัดจิ้งเหลียนกวาน แคว้นว่านเจิ้น สำนักเสินสิงเหมินที่เป็นห้าผู้ยิ่งใหญ่
พวกผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้าอย่างสำนักเสินสิงเหมิน สำนักใดสำนักหนึ่ง เรียกได้ว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากที่อยู่ในแดนลัทธิราชัน
สำหรับราชวงศ์โตว่เซิ่นที่เป็นผู้กุมอำนาจยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงให้มากความ ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้ไท่ชิง ล้ำหน้าเหนือทั่วแดน
ดังนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่ก้าวเดินเข้าไปยังเขากัวชางซานก็สามารถรับรู้ถึงบรรยากาศความเจริญรุ่งเรืองสายนั้นได้ สามารถรับรู้ถึงความพาลและใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่อยู่ในจุดสูงสุดนั้นได้
หลังจากไปถึงพระราชวังแล้ว ฮ่องเต้ไท่ชิงก็ไม่ได้เรียกให้หลี่ชิเย่ไปเฝ้า อีกทั้งไม่จำเป็นต้องมีใครคอยสั่งการ ก็มีผู้ที่จัดการให้หลี่ชิเย่ได้เข้าพักเป็นอย่างดี
หลี่ชิเย่ถูกจัดให้เข้าพักภายในพระราชวังโดยตรง อีกทั้งสถานที่ที่จัดให้หลี่ชิเย่เข้าพักกลับเป็นตำหนักตงกง หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า สถานที่ที่หลี่ชิเย่เข้าพักนั้นก็คือตำหนักที่พักของรัชทายาท
การที่หลี่ชิเย่ถูกจัดให้เข้าพักในตงกงในทันที มันช่างสูงส่งเพียงใด และมีอำนาจยิ่งใหญ่เช่นใด
สมควรทราบว่า ฮ่องเต้ไท่ชิงมีเพียงบุตรีคนหนึ่งเท่านั้น นับตั้งแต่บุตรีของเขาได้กลายเป็นราชันแท้จริงตั้งแต่ยุคสมัยที่แล้ว และได้ไปจากแดนลัทธิราชันขึ้นไปยังแดนลัทธิเซียนแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
เป็นการบ่งบอกว่าฮ่องเต้ไท่ชิงไร้ทายาท และตำหนักตงกงก็ว่างเว้นมาโดยตลอด เวลานี้หลี่ชิเย่พลันได้เข้าพักในตำหนักตงกงทันที มันช่างเป็นเรื่องที่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนเช่นใด
เรื่องที่สะเทือนเลื่อนลั่นเช่นนี้หากไม่ได้รับการเห็นชอบจากฮ่องเต้ไท่ชิง ไม่มีผู้รับใช้คนใดกล้าตัดสินใจโดยพละการอยู่แล้ว เรื่องนี้ใช่เพียงแค่หัวหลุดจากบ่าเท่านั้น แต่มันคือโทษประหารทั้งตระกูลเลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน หลังจากที่หลี่ชิเย่ถูกจัดให้เข้าพักในตำหนักตงกงแล้วนั้น ไม่มีใครกล้าเพร่งพรายเรื่องนี้แม้แต่น้อย จากจุดนี้ย่อมสามารถมองออกว่าฮ่องเต้ไท่ชิงมีพลังอำนาจในการควบคุมราชวงศ์โตว่เซิ่นที่น่ากลัวเช่นใดแล้ว
หลังจากที่หลี่ชิเย่ถูกจัดให้พักอาศัยอยู่ในตำหนักตงกงแล้วไม่ได้มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย เหมือนได้เข้าไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ธรรมดาจนไม่รู้ว่าจะธรรมดาอย่างไรอีกแล้ว ดูเป็นธรรมชาติและเรียบเฉยและตามอารมณ์ยิ่ง เหมือนว่าเขาไม่รู้อยู่แล้วว่าการเข้าพักในตำหนักตงกงนั้นบ่งบอกถึงสิ่งใด
หลังจากที่ฮ่องเต้ไท่ชิงกลับมาถึงเขากัวชางซานแล้ว ปรากฎสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนที่จ้องมาที่เขากัวชางซาน ทุกคนต่างต้องการจะรู้ว่าสภาพของฮ่องเต้ไท่ชิงเป็นอย่างไรบ้าง แต่ว่า ไม่ได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ไท่ชิงแล้ว ไม่มีใครมาขอเฝ้า
ในค่ำคืนที่ได้เข้าพักในตำหนักตงกงนั้น ฮ่องเต้ไท่ชิงได้ให้คนตามหลี่ชิเย่มาเฝ้า ท่าทีของหลี่ชิเย่ตามอารมณ์อย่างสิ้นเชิง ตรงไปในทันที ทำตัวเสมือนดั่งที่นี่ก็คือบ้านของตนเองอย่างนั้น
หลี่ชิเย่ได้พบกับฮ่องเต้ไท่ชิงที่พระตำหนัก สภาพของฮ่องเต้ไท่ชิงดูจะแย่กว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อวาน เขามีลักษณะหายใจรวยริน กระทั่งลืมตาทั้งสองยังต้องอาศัยพลังมากมายอย่างนั้น
“สหายน้อยพักอยู่แล้วเป็นอย่างไรบ้าง?” เป็นการยากนักสำหรับฮ่องเต้ไท่ชิงที่ได้เผยรอยยิ้มที่เมตตาและอ่อนโยนเช่นนี้ออกมา หลังจากที่ได้พบกับหลี่ชิเย่แล้ว
สมควรทราบว่า ฮ่องเต้ไท่ชิงนั้นคือผู้ที่สูงสุดแต่เพียงผู้เดียวของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจิ่วมี่ เขาหาใช่เป็นผู้ที่มีความเมตตาและอ่อนโยนอย่างแน่นอน เขาคือจอมเผด็จการ แข็งกร้าวไร้ความปราณี ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ตัดสินโดยคนๆ เดียว เหมือนดั่งเป็นสิงโตเพศผู้ที่กระหายเลือดอย่างยิ่ง! ไม่เคยปรากฎรอยยิ้มที่เมตตาและอ่อนโยนบนใบหน้าของเขามาก่อน
“ก็ดี” หลี่ชิเย่ยิ้มตามอารมณ์และตามใจมาก เมื่ออยู่ตรงหน้าของเขา แม้แต่ฮ่องเต้ไท่ชิงก็เป็นเหมือนบุคคลธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรแล้ว
“ไม่ทราบว่าสหายน้อยพักแล้วชินหรือไม่?” ฮ่องเต้ไท่ชิงดูจะเอาใจใส่ยิ่ง เหมือนเป็นผู้อาวุโสที่คอยเอาใจใส่ต่อผู้เยาว์ของตนไปเสียทุกอย่างอย่างนั้น
หากมีบุคคลภายนอกได้เห็นภาพนี้แล้วล่ะก็ ต้องตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อแน่นอน เนื่องจากฮ่องเต้ไท่ชิงไม่เคยเอาใจใส่ต่อผู้ใดเช่นนี้มาก่อน ถ้าหากจะมีความเป็นไปได้ก็คงเป็นบุตรีของเขาแล้ว
แต่ทว่า หลี่ชิเย่คือคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับฮ่องเต้ไท่ชิงแม้แต่น้อย
“ข้าเหลือเวลาอีกไม่มาก บัดนี้ไม่ได้มีบุตรสักคน” ฮ่องเต้ไท่ชิงหาใช่เป็นคนที่จู้จี้คนหนึ่ง จึงพูดออกมาตรงๆ ว่า “แต่ ราชสำนักไม่อาจว่างเว้นกษัตริย์ ดังนั้น ข้าตัดสินใจแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาทเป็นไร?”
พลันที่ฮ่องเต้ไท่ชิงพูดคำๆ นี้ออกมา คนรับใช้ที่คอยปรนนิบัติต่างตื่นตระหนก หลี่ชิเย่เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น และเพิ่งจะได้พบกันเมื่อวานนี้เอง มาวันนี้ก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ
ในเวลานี้ ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกสงสัยว่า เป็นเพราะฮ่องเต้ไท่ชิงสติฟั่นเฟือนไปแล้วจึงได้ตัดสินใจผิดพลาดถึงเพียงนี้
หนึ่งเดียวของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และไม่ได้ถูกทำให้ตกใจก็คือซุนหลึ่งหยิ่ง ซุนหลึ่งหยิ่งยังคงยืนอยู่ในที่มืด เขาเสมือนหนึ่งเป็นเงาสายหนึ่งอย่างนั้น ทำให้ผู้คนไม่ทันสังเกตเห็นตัวของเขา
“อ้อ รัชทายาท? เช่นนั้นแล้วท่านมิกลายเป็นพ่อของข้าแล้วสิ” หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มออกมา
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น จะต้องถูกเรื่องเช่นนี้ทำให้ตกใจจนเซ่อไปเลย แต่ว่า ในสายตาของผู้อื่นเหมือนว่าหลี่ชิเย่นั้นขาดความเฉลียวฉลาด ดูไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อเรื่องการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท
“ได้รู้จักกันก็คือวาสนา ลำดับญาติต่างๆ ทางโลกไม่ต้องไปสนใจก็ได้” ฮ่องเต้ไท่ชิงโบกมือด้วยท่าทางที่มีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรง
“ก็ได้” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เป็นรัชทายาทสนุกไหม? ข้าสามารถทำอะไรได้บ้าง?”
“ขอเพียงอยากจะทำ เรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น” ฮ่องเต้ไท่ชิงเสมือนหนึ่งเสียสติไปแล้ว ไม่เพียงต้องการแต่งตั้งให้หลี่ชิเย่เป็นองค์รัชทายาท อีกทั้งยังถึงกลับปล่อยวางอำนาจ นี่มันเสียสติแล้วชัดๆ
สมควรทราบว่า เขาเพิ่งได้รู้จักกับหลี่ชิเย่เมื่อวานนี้เอง
“เช่นนั้นดูจะน่าสนใจ น่าสนุก” หลี่ชิเย่อดที่จะเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าขึ้นมา และกล่าวว่า “ตกลง ข้าจะเป็นองค์รัชทายาทนี้”
“เช่นนั้นก็ดี เจ้ากลับไปก่อน” หลังจากพูดคำพูดเหล่านี้แล้ว ฮ่องเต้ไท่ชิงแทบจะหายใจไม่ทันแล้ว เหนื่อยจนต้องหลับตาลง ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า ฮ่องเต้ไท่ชิงไม่ไหวแล้ว ใกล้จะสิ้นพระชนม์แล้ว
“ตกลง” หลี่ชิเย่เองก็ตอบรับตามอารมณ์ ท่าทีสงบนิ่งและอิสระเสรี และไม่ได้แสดงคารวะด้วยการคุกเข่า และไม่ได้แสดงความเคารพเต็มรูปแบบต่อฮ่องเต้ไท่ชิง เดินจากไปในลักษณะเช่นนี้
ภาพนี้ได้สร้างความตระลึงจนอ้าปากตาค้างให้กับบ่าวรับใช้ข้างกายฮ่องเต้ไท่ชิง เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นคนที่ผิดแปลกเช่นนี้
องค์รัชทายาทของราชวงศ์โตว่เซิ่นนะเนี่ย เป็นผู้ที่ได้กุมอำนาจสูงสุด หลี่ชิเย่กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ในเวลานี้ บ่าวรับใช้บางคนเหมือนตระหนักอะไรได้บางอย่าง หรือว่า เจ้าหนูเทิ่มผู้นี้ยังไม่รู้ว่ารัชทายาทของราชวงศ์โตว่เซิ่นบ่งบอกถึงสิ่งใด เขายังไม่ได้ตระหนักว่าอำนาจที่อยู่ในมือของตนนั้นช่างน่ากลัวเช่นใด!