คำบัญชาของฮ่องเต้ไท่ชิง ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตามอย่างเด็ดขาดเต็มร้อย ไม่มีใครกล้าไม่ทำเต็มที่ กล่าวได้ว่านี่แหละคือการบ่งชี้ถึงอำนาจที่เด็ดขาดของฮ่องเต้ไท่ชิง
ดังนั้น หลังจากที่หลี่ชิเย่อาศัยอยู่ในตำหนักใหญ่แล้ว จึงได้รับการปฏิบัติดูแลสูงสุด เรียกได้ว่าเสื้อมายื่นมือออกไป อาหารมาอ้าปาก อยู่ดีกินดี อยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามใจ เรียกว่ามีความรู้สึกเป็นสุขยิ่งที่ดั่งเรียกลมเรียกฝนได้
เรียกได้ว่าหลังคำบัญชาของฮ่องเต้ไท่ชิงแล้ว สิ่งที่หลี่ชิเย่ได้รับการปฏิบัติดูแลนั้นไม่สามารถจินตนาการได้เลย พูดคำพูดที่ไม่น่าฟังก็คือ แม้หลี่ชิเย่ต้องการกินดีมังกรนึ่งหรือผัดดีหงส์ล่ะก็ บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาก็ต้องคิดหาทางไปทำให้สำเร็จให้จงได้
คำบัญชาของฮ่องเต้ไท่ชิงในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ มีผลอย่างแน่นอนตั้งแต่ระดับบนลงไปถึงระดับล่าง เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเด็ดขาดเต็มร้อย ไม่มีใครกล้าทำแบบขอไปที และไม่มีใครกล้าทำเมินเฉยแม้แต่น้อย
ดังนั้น การอาศัยอยู่ที่ตำหนักของหลี่ชิเย่ก็คล้ายดั่งเป็นองค์รัชทายาทองค์หนึ่งอย่างนั้น เพลิดเพลินไปกับการปฏิบัติดูแลขั้นสูง เป็นการเสพสุขในระดับขององค์จักรพรรดิ นับว่าเป็นสิ่งที่หวังจะให้ได้มาของผู้คนไม่รู้จำนวนเท่าไร
แม้จะกล่าวว่า ผู้บำเพ็ญตนนั้นไม่ได้แสวงหาเรื่องการเสพสุข แต่ว่า เมื่อถึงระดับหนึ่งแล้วมันก็จะไม่ใช่เพียงแค่เสพสุขเท่านั้น แต่เป็นอำนาจ เป็นอำนาจที่สูงสุดอย่างหนึ่ง อำนาจที่สามารถทำทุกสิ่งได้ตามอำเภอใจ
ในฐานะแขกผู้มีเกียรติของฮ่องเต้ไท่ชิง ย่อมมีอำนาจเช่นนี้อย่างแน่นอน ทำให้ผู้คนรู้สึกคือใต้หนึ่งคนเหนือหมื่นคนอย่างนั้น เป็นอำนาจที่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวให้กับแดนลัทธิราชัน!
หลี่ชิเย่อาศัยอยู่ภายในตำหนักก็ไม่มีเรื่องใดๆ เขานั่งทำสมาธิเข้าฌานอยู่ในห้อง ปล่อยจิตให้ล่องลอยไป
ในเวลานี้เอง ดอกที่สองของต้นโลกดึกดำบรรพ์ได้ติดผลแล้ว และผลสัจธรรมผลที่สองกำลังจะสุกงอม เมื่อผลสัจธรรมผลที่สองสุกงอมก็จะนำมาซึ่งการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่ใหม่ทั้งหมดให้กับหลี่ชิเย่ อีกทั้งผลสัจธรรมผลนี้จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับผลสัจธรรมผลแรก
ความจริงแล้ว ต้นโลกดึกดำบรรพ์ของหลี่ชิเย่นั้น ทุกครั้งที่ติดผลก็จะแตกต่างกัน ผลสัจธรรมแต่ละผลก็จะมีความยอดเยี่ยมพิสดารที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง มีอภินิหารที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองของตน ดังนั้น ขณะที่ผลสัจธรรมแต่ละผลสุกงอมนั้น ก็คล้ายดั่งช่วยหลี่ชิเย่ในการบุกเบิกฟ้าดินใหม่ ดุจดั่งเปิดโลกแห่งสัจธรรมอีกโลกหนึ่งที่ใหม่ทั้งหมดขึ้นมาอย่างนั้น
ผลสัจธรรมทุกๆ ผลของหลี่ชิเย่ล้วนแล้วแต่มีอภินิหารที่ยอดเยี่ยมปราศจากผู้เทียบเทียม อีกทั้งอภินิหารเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนไม่สามารถเอื้อมถึงได้ชั่วชีวิต สิ่งนี้คือการเริ่มต้นของศตวรรษที่ใหม่ทั้งหมด มีความยอดเยี่ยมสูงสุดอยู่ในครอบครอง
หลี่ชิเย่อาศัยอยู่ภายในตำหนัก โดยระหว่างทางก็ไม่ได้ไปพบฮ่องแต้ไท่ชิงอีกเลย
ว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องแปลก สำหรับหลี่ชิเย่ที่เป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ฮ่องแต้ไท่ชิงกลับไม่ได้ถามสถึงประวัติความเป็นมาของหลี่ชิเย่ และไม่ได้ไปสืบถึงเบื้องหลังของหลี่ชิเย่ พลันดูเหมือนว่าจะให้ความสำคัญต่อหลี่ชิเย่เป็นพิเศษเช่นนี้แหละ
หลี่ชิเย่เองก็ดูจะเอ้อระเหยและเป็นธรรมชาติยิ่งสำหรับท่าทีของฮ่องแต้ไท่ชิง ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อยนิด ไม่ตระหนกวิตกอะไร เหมือนว่าสิ่งนี้เป็นเพียงเรื่องที่เล็กน้อยมากไม่คู่ควรจะกล่าวถึงอย่างนั้น
สภาพร่างกายของฮ่องแต้ไท่ชิงดูจะไม่ดีเอาเสียเลย เขานอนอยู่บนเตียงนอนโดยไม่ได้ก้าวออกไปด้านนอกแม้เพียงครึ่งก้าว กระทั่งลุกขึ้นจากเตียงไม่ไหวเสียด้วยซ้ำ ขณะที่ผู้ที่อยู่ข้างกายของเขาตลอดเวลาก็คือซุนหลึ่งหยิ่ง
ท่าทีของหลี่ชิเย่ดูแปลกโดยแท้ เขารู้เรื่องนี้ดีแต่ทำเหมือนไม่เห็นกับสภาพของฮ่องแต้ไท่ชิง เหมือนมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ไม่รับรู้ไม่ถามถึงทั้งสิ้น เรื่องที่เกี่ยวกับฮ่องแต้ไท่ชิงเขาไม่เคยถามถึงแม้เพียงครึ่งประโยค
ฮ่องแต้ไท่ชิงต้องการกลับไปยังราชสำนัก ดังนั้น วันรุ่งขึ้นกองทัพหยินมี่จึงเร่งออกเดินทางต่อเพื่อกลับไปยังราชสำนัก
แม้ว่า การออกประพาสของฮ่องแต้ไท่ชิงจะมีกองทัพนับล้านติดตามไปด้วย และโดยสารมากับพระราชวังขนาดยักษ์ แต่ทว่า ความเร็วในการเดินทัพของกองทัพกลับรวดเร็วจนน่าตกใจ เรียกได้ว่าดั่งสายฟ้าแลบ แค่เพียงวันเดียวเท่านั้นก็สามารถก้าวข้ามพื้นที่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่กว่าครึ่งค่อน
การเดินทัพของกองทัพหยินมี่ที่มีไพร่พลนับล้านในเวลาเดียวกัน อานุภาพนั้นช่างยิ่งใหญ่เช่นใด ดังนั้น เมื่อกองทัพเร่งรุดเดินทางมุ่งหน้ากลับไปยังราชสำนักดั่งสายฟ้าแลบนั้น เสียงอึกทึกดั่งฟ้าร้องที่ดังขึ้นเป็นระลอกสร้างความแตกตื่นไปทั่วหล้า และสร้างความตระหนกให้กับผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน
ความจริงแล้ว ขอเพียงเป็นการเสด็จประพาสของฮ่องแต้ไท่ชิง ไม่ว่าจะมีกองทัพนับล้านร่วมเดินทางไปด้วย หรือว่าเสด็จโดยลำพังล้วนแล้วแต่สร้างความแตกตื่นไปทั่วหล้าอยู่แล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน และมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่เฝ้าสังเกตทุกๆ ความเคลื่อนไหวของเขา จะอย่างไรเสีย ฮ่องแต้ไท่ชิงคือผู้ทรงอำนาจมากที่สุดของแดนลัทธิราชันในยุคปัจจุบัน มีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ในมือ สยบทุกคนทั่วหล้า! จะไม่ให้ผู้คนเฝ้าสังเกตได้อย่างไรเล่า
ยิ่งไปกว่านั้น หลายปีมานี้สภาพของฮ่องแต้ไท่ชิงไม่สู้จะดีนัก ขณะที่ราชวงศ์โต่วเซิ่นไม่ได้มีการแต่งตั้งรัชทายาทตลอดมา ทำให้ทุกความเคลื่อนไหวของฮ่องแต้ไท่ชิงเป็นที่จับตาดูยิ่งขึ้น ผู้คนจำนวนมากต่างเฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงแม้เพียงน้อยนิดของฮ่องแต้ไท่ชิง
สมควรทราบว่า เวลานี้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่คือหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนลัทธิราชัน อีกทั้งราชวงศ์โต่วเซิ่นในเวลานี้เป็นผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมด
โดยเฉพาะในมือของฮ่องแต้ไท่ชิง อำนาจของเขาได้ก้าวไปถึงจุดสูงสุดแล้ว รวบรวมกำลังทั้งหมดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เอาไว้ในมือ
เมื่อไรที่ฮ่องแต้ไท่ชิงเสด็จสวรรคต ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าอำนาจดังกล่าวนี้เป็นที่คลั่งไคร้ เป็นที่กระหายอยากของผู้คนจำนวนมากเท่าไร
ขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นใครที่ได้สืบทอดอำนาจต่อจากฮ่องแต้ไท่ชิง ไม่เพียงมีความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาของราชวงศ์โต่วเซิ่น เปลี่ยนแปลงชะตาของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมด กระทั่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสถานการณ์ทั้งหมดของแดนลัทธิราชัน
เมื่อไรที่มีการถ่ายโอนอำนาจก็จะทำให้สถานการณ์ในแดนลัทธิราชันเกิดการเคลื่อนไหว และอาจมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้แดนลัทธิราชันทั้งหมดกระเพื่อมไม่สงบ
ดังนั้น ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ต่างนิ่งเงียบเมื่อมองเห็นการเสด็จกลับมาของฮ่องแต้ไท่ชิง คู่สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนที่เฝ้ามอง ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต้องการรู้ถึงสภาพของฮ่องแต้ไท่ชิง
ท่ามกลางระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ยังไม่ต้องพูดถึงพรรคขนาดใหญ่และสำนักเก่าแก่ที่มีอยู่นับพันนับหมื่น แม้แต่หอหลินไห่เก๋อ ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ วัดจิ้งเหรียนกวาน แคว้นว่านเจิ้น สำนักเสินสิงเหมินที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ต่างไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ แต่ละคู่สายตาต่างให้ความสนใจต่อการเดินทัพอย่างรวดเร็วของกองทัพหยินมี่
เมื่อกองทัพหยินมี่เดินทัพผ่านมา ไม่ว่าผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นพรรคขนาดใหญ่หรือตระกูลขุนนางโบราณใดๆ ก็จะหลีกทางออกห่าง อีกทั้งขณะที่กองทัพดังกล่าวยังมาไม่ถึง พรรคขนาดใหญ่หรือตระกูลขุนนางโบราณที่ตั้งอยู่ด้านหน้าล้วนแล้วแต่ทยอยกันจัดการเปิดเส้นทาง ไม่ว่าผู้ใด ไม่ว่าการเดินทางใดๆ ก็ต้องหลีกทางให้กับกองทัพหยินมี่
สิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องรอให้ฮ่องแต้ไท่ชิง ชี้แนะหรือสั่งการใดๆ ขอเพียงกองทัพหยินมี่ปรากฏ แคว้นเจ้าลัทธิที่ตั้งอยู่ด้านหน้าภายในรัศมีแสนหรือล้านลี้ก็จะทำการเปิดทางให้โดยอัตโนมัติ รักษาความเป็นระเบียบของเส้นทาง
อีกทั้งหากไม่ได้รับอนุญาตหรือคำบัญชาของฮ่องแต้ไท่ชิง บรรดาแคว้สเจ้าลัทธิตลอดเส้นทางผ่านล้วนแล้วแต่ไม่กล้ามาเฝ้า ยิ่งกว่านั้นก็ไม่กล้ามาถวายเครื่องบรรณาการ เว้นแต่ได้รับคำบัญชาจากฮ่องแต้ไท่ชิง มิฉะนั้นล่ะก็ จะเป็นสำนักใดๆ หรือสิ่งจัดตั้งเพื่อการสืบทอดต่างก็ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม แม้แต่หอหลินไห่เก๋อ ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่กล้ากระทำการโดยพละการเช่นกัน
นี่แหละคืออำนาจบารมีของฮ่องแต้ไท่ชิง ขอเพียงฮ่องแต้ไท่ชิงยังมีชีวิตอยู่เขาก็จะครอบครองอำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ว่าผู้ใด หรือกลุ่มอำนาจใดๆ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ก็ตาม ล้วนแล้วแต่ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม!
แม้ว่าไม่มีผู้ใดกล้ากระทำการบุ่มบ่าม ไม่มีผู้ใดกล้ากระทำการโดยพละการ ยามที่ได้เห็นกองทัพหยินมี่แล้ว ยังคงมีระดับเทพแท้จริงหรือบรรพบุรุษจำนวนไม่น้อยของแคว้นเจ้าลัทธิที่วิพากวิจารณ์กันลับๆ
“ไม่ทราบว่าฝ่าบาทได้ยาอายุวัฒนะมาหรือไม่” มีระดับเทพแท้จริงที่กล่าววิจารณ์เป็นการส่วนตัว
ภายใต้อำนาจบารมีที่เด็ดขาดของฮ่องแต้ไท่ชิง ระดับผู้เยาว์ทั่วไปไม่กล้าไปวิพากวิจารณ์อยู่แล้ว มีเพียงบรรดาระดับบรรพบุรุษ กระทั่งระดับบรรพบุรุษที่เป็นเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ขึ้นไปจึงกล้าวิพากวิจารณ์เรื่องนี้กันลับๆ
“เกรงว่าคงแคว้งแล้วล่ะ” ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่สายตาแหลมคมเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ถ้าหากได้ยาอาวุวัฒนะมาต่ออายุได้ เกรงว่ากองทัพหยินมี่ในเวลานี้คงเหมือนกำลังเดินเล่นในสวนหลังบ้านของตนแล้ว เวลานี้กองทัพหยินมี่เดินทางกลับราชสำนักอย่างพายุเช่นนี้ เกรงว่าใกล้แล้วล่ะ”
ไม่ว่าใครก็ฟังแล้วเข้าใจกับคำพูดเช่นนี้ ระดับเทพแท้จริงจำนวนไม่น้อยกระทั่งขั้นอมตะ ต่างรู้สึกหวั่นไหวในใจ ไม่รู้ว่ามีผู้ปราศจากผู้ต่อกรจำนวนเท่าไรที่รู้สึกฮึกเหิมในใจ
ถ้าหากฮ่องแต้ไท่ชิงสวรรคตจริง เช่นนั้นแล้วทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จะคึกคักขนาดไหน เกรงว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังเริ่มต้นขึ้น กำลังจะมาถึง
“ลองนับเวลาดูก็ใกล้แล้วล่ะ ต่อให้ฝืนลิขิตสวรรค์มากกว่านี้ก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว” ระดับบรรพบุรุษตระกูลขุนนางโบราณผู้หนึ่งเอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
ฮ่องแต้ไท่ชิง เป็นฮ่องเต้มาสามยุคสมัย ได้อยู่บนโลกใบนี้มาสามยุคเต็มๆ อาศัยวิธีการที่ฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่งของตนและยาอายุวัฒนะมาต่ออายุของตนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ว่า ไม่ว่าใครก็มีชีวิตอมตะไปไม่ได้ ไม่ว่าใครก็หลีกหนีเวลาที่เคลื่อนผ่านไปไม่ได้ เว้นแต่จะผนึกร่างของตนเอาไว้
มิฉะนั้นล่ะก็ เพราะเหตุใดจึงมีขั้นอมตะและราชันแท้จริงจำนวนมากที่แข็งแกร่งจนได้ในระดับหนึ่งแล้วจะไปจากแดนลัทธิราชัน เข้าสู่แดนลัทธิเซียน กระทั่งเข้าไปยังอาณาจักรที่ไม่เป็นที่รู้จักของผู้คน ก็เพื่อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้น
ฮ่องแต้ไท่ชิงได้ฝืนมาแล้วถึงสามยุคสมัยแล้ว นับว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์แล้ว ดังนั้นหลายปีมานี้อายุขัยของฮ่องแต้ไท่ชิงได้สิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนต่างรู้ว่าฮ่องแต้ไท่ชิงดั่งไฟที่ใกล้จะมอดดับแล้ว เพียงแต่พยายามยืนหยัดอย่างเต็มที่เท่านั้นเอง
มาคราวนี้ ฮ่องแต้ไท่ชิงได้ไปขอยาอายุวัฒนะ แต่ว่า ดูไปแล้วเวลานี้เขาคงไม่ได้ยาอายุวัฒนะมา ไม่สามารถต่ออายุขัยได้เป็นผลสำเร็จ
ทุกคนต่างรับรู้ได้ว่าอายุขัยของฮ่องแต้ไท่ชิงแห้งเหือดไปแล้วตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน กำลังใกล้สวรรคตเต็มที ดังนั้น เวลานี้ระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งจำนวนมากนับนิ้วดูก็รู้แล้วว่าเวลาของฮ่องแต้ไท่ชิงเหลือไม่มากแล้ว
ถ้าหากฮ่องแต้ไท่ชิงสวรรคต เรื่องเช่นนี้ใช่เพียงสร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่สร้างความหวั่นไหวไปทั่วทั้งแดนลัทธิราชัน
สมควรทราบว่า ฮ่องแต้ไท่ชิงได้เป็นฮ้องเต้มาสามยุคสมัย และได้รวมอำนาจทั้งหมดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เอาไว้ในมือเสียแน่น กล่าวได้เต็มปากว่าฮ่องแต้ไท่ชิงคือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ เขาเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่
ทุกสิ่งทุกอย่างภายในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิล้วนแล้วแต่ถูกเขากำเอาไว้ในมือแน่น อย่าว่าแต่หอหลินไห่เก๋อ ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือที่เป็นระดับผู้ยิ่งใหญ่เลย แม้แต่ราชวงศ์โต่วเซิ่นก็ไม่มีใครได้รับการแบ่งปันอำนาจจากมือของเขาไปได้แม้แต่น้อย
ถ้าฮ่องเต้ไท่ชิงสวรรคตในชั่วข้ามคืน อำนาจสูงสุดที่เป็นของคนๆ เดียวก็จะปราศจากเจ้าของภายในคืนเดียว ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ ฮ่องเต้ไท่ชิงไม่มีบุตรชาย และไม่ได้มีการแต่งตั้งองค์รัชทายาท! ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีการเจาะจงผู้สืบทอด
หากว่าอำนาจที่สูงสุดของคนเพียงคนเดียวปราศจากเจ้าของภายในค่ำคืนเดียวล่ะก็ ต้องนำมาซึ่งลมคาวฝนเลือดที่น่ากลัวเพียงใด ก่อเกิดการแย่งชิงอำนาจที่น่ากลัวมากมายเช่นใด
ยังไม่ต้องพูดถึงหอหลินไห่เก๋อ ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ แคว้นว่านเจิ้นที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่อยากได้มากกับอำนาจที่สูงสุดเพียงผู้เดียวเช่นนี้ แม้แต่ภายในราชสำนักโต่วเซิ่นเองก็จะมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยากได้มากกับอำนาจสูงสุดที่เป็นของคนผู้เดียวเช่นนี้เหมือนกัน
เพียงแต่ฮ่องเต้ไท่ชิงยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครกล้าทำการบุ่มบ่าม ขอเพียงเขาลงมือก็จะสังหารสิ้นนับสิบล้าน ยิ่งไปกว่านั้นข้างกายของเขายังมีกองทัพหยินมี่ ยังมีซุนหลึ่งหยิ่ง!
พูดได้อย่างเต็มปากว่า ขอเพียงฮ่องเต้ไท่ชิงยังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาจะหายใจรวยรินแล้วก็ตาม ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนฐานะของเขาได้ ขอเพียงเขายังมีลมหายใจอยู่ เขาก็ยังคงเป็นผู้ที่มีอำนาจบารมีสูงสุดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่!
สมควรทราบว่า ในช่วงระยะเวลาสามยุคที่ผ่านมา มีผู้คนจำนวนมากมายเท่าไรที่ต้องการช่วงชิงอำนาจที่อยู่ในมือของฮ่องเต้ไท่ชิง แต่ว่า ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จ อีกทั้งบรรดาแคว้นเจ้าลัทธิที่เคยช่วงชิงอำนาจเหล่านั้น จุดจบของพวกเขาน่าอนาถยิ่งนัก
เวลานี้ฮ่องเต้ไท่ชิงใกล้จนสวรรคตแล้ว ดังนั้น ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่อยากได้มาครอบครองมาก กระทั่งมีอยู่ไม่น้อยได้ตระเตรียมกำลังเอาไว้ลับๆ ทุกคนต่างรอคอยการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้ไท่ชิง ทันทีที่ฮ่องเต้ไท่ชิงสิ้นพระชนม์ก็จะมีผู้ที่ออกมาชิงอำนาจโดยพลัน
“บางที พายุฝนฟ้าคะนองกำลังจะมาแล้ว” ระดับบรรพบุรุษอดพึมพำขึ้นมาไม่ได้
สมควรทราบว่า ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นอกเหนือจากราชวงศ์โต่วเซิ่นแล้ว ยังมีหอหลินไห่เก๋อ แคว้นว่านเจิ้นที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ กำลังของพวกเขาหากพูดถึงในแดนลัทธิราชันแล้ว กระทั่งแข็งแกร่งกว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ถ้าหากไม่มีผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะเช่นฮ่องเต้ไท่ชิงที่สยบพวกเขาเอาไว้ พวกเขาลงมือชิงอำนาจไปนานแล้ว!
แน่นอนที่สุด หลี่ชิเย่ที่อยู่ภายในพระตำหนักไม่ได้รับรู้ถึงบรรยากาศที่เป็นคลื่นใต้น้ำที่พลุ่งพล่านนี้แม้แต่น้อย และไม่ได้รับรู้ถึงปณิธานการฆ่าที่มีอยู่ทุกย่างก้าวนั่น ต่อให้สามารถรับรู้ได้ เขาก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน สิ่งที่มันไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับเขา
…………………………………………………..