สายลมพัดผ่านมาเบาๆ หญิงรับใช้ที่อยู่ข้างกายยังคงพัดให้กับหลี่ชิเย่อย่างเป็นจังหวะยิ่ง ขณะที่ข้างหูได้ยินเสียงต้มชาดังปุด ปุดขึ้นมาเป็นระยะๆ
เหมือนว่าเมื่อครู่ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น และบรรดาหญิงรับใช้เหล่านี้ก็ไม่รู้ว่าเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น กระทั่งเป็นไปได้ว่านี่เป็นเพียงความฝันของหลี่ชิเย่เท่านั้นเอง
แต่ มันไม่ใช่ความฝัน มันเป็นเรื่องที่ได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ
หลี่ชิเย่อดที่จะยิ้มนิดหนึ่ง และยังคงนอนอยู่กับเก้าอี้ตัวใหญ่ ไม่มีการเอ่ยถาม และไม่ได้ไปติดตาม ความจริงแล้ว เมื่อก้าวถึงระดับเช่นนี้ บรรดาหญิงรับใช้เหล่านี้ไม่สามารถรับรู้ได้อยู่แล้ว
ในเวลานี้เอง จางเจี๋ยตี้ได้เดินทางมาอย่างรีบเร่ง โค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่ และแสดงคารวะต่อหลี่ชิเย่ กล่าวว่า องค์ชาย ฝ่าบาทต้องการพบท่าน เวลานี้
ฝ่าบาทจะตายแล้วรึ? จะมอบตำแหน่งให้เดี๋ยวนี้หรือ? หลี่ชิเย่หัวเราะและเอ่ยขึ้นมา
เอ่อ… จางเจี๋ยตี้พลันอึ้งไปทันที ไม่มีคำพูดใดๆ อย่างสิ้นเชิง การที่ต้องข้องเกี่ยวกับเจ้านายลักษณะเช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าควรจะสรรหาคำพูดใดมาเปรียบเปรยกับสภาพจิตใจในเวลานี้แล้ว มันเป็นการเสียสติไปแล้วชัดๆ
แม้แต่หญิงรับใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายพลันมีสีหน้าที่ขาวซีด คำพูดลักษณะเช่นนี้คือโทษหนักฐานอกตัญญูต้องหัวหลุดจากบ่า และประหารล้างโคตร
จางเจี๋ยตี้ได้แต่หลบสายตาและกล่าวว่า ข้าน้อยไม่ทราบ เชิญองค์ชายออกเดินทาง
ตกลง เซ็งน่าดูเลย หลี่ชิเย่หัวเราะส่ายหน้า และกล่าวว่า ให้ข้าเป็นฮ่องเต้เลยก็สิ้นเรื่อง ต้องมีพิธีการหยุมหยิมมากมายเพื่ออะไร รบกวนอารมณ์สุนทรีผู้อื่นเขา
จางเจี๋ยตี้อดที่จะยิ้มเจื่อนๆ ไม่ได้ เจอะเจอเอาเจ้านายที่บ้าระห่ำเช่นนี้ เขาได้แต่อธิฐานให้ตนเองนั้นโชคดี ได้แต่ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดแล้ว
ภายใต้การนำทางของจางเจี๋ยตี้ หลี่ชิเย่ได้เดินทางมาถึงสถานที่พักของฮ่องแต้ไท่ชิง
ฮ่องแต้ไท่ชิงยังคงนอนอยู่บนเตียง ยังคงหายใจรวยริน เหมือนพร้อมที่จะสวรรคตได้ทุกเวลาอย่างนั้น สภาพของฮ่องแต้ไท่ชิงคือชีวิตที่ดุจไฟใกล้มอดดับแล้ว ไม่รู้ว่าเขาอาศัยยาวิเศษอะไรกันแน่ ทำให้ยังคงมีลมหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่ ทั้งยังมีอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
ฮ่องแต้ไท่ชิงอยู่ตรงไหน ซุนหลึ่งหยิ่งก็อยู่ที่นั่น ฮ่องแต้ไท่ชิงนอนอยู่บนเตียง ซุนหลึ่งหยิ่งยังคงยืนอยู่ที่มืด คล้ายเป็นงูพิษที่อยู่ในความมืดอย่างนั้น ขอเพียงเขาไม่ได้ลงมือ ก็จะไม่มีใครมองเห็นการดำรงอยู่ของเขา
ภายในห้องนอกเหนือจากฮ่องแต้ไท่ชิง และซุนหลึ่งหยิ่งแล้ว ยังมีผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงนี้อีกห้าคน ผู้เฒ่าทั้งห้ามีขนาดความสูงต่ำไม่เท่ากัน พลังที่แตกต่างกัน แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เหมือนกันก็คือ บนตัวของพวกเขาล้วนแล้วแต่มีพลังที่สะเทือนเลื่อนลั่นเก็บซ่อนอยู่บนตัว พวกเขาทั้งห้าดุจดั่งองค์เทพขนาดยักษ์ทั้งห้าอย่างนั้น ห้องนี้นับว่ามีขนาดกว้างขวางใหญ่โตมากพอแล้ว แต่ว่า เมื่อพวกเขาห้าคนยืนอยู่ด้วยกันทำให้ผู้คนรู้สึกแออัดเบียดเสียดเหลือเกิน ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง
ใช่ว่ารูปร่างของพวกเขาจะสูงใหญ่มากมายเช่นใด แต่เป็นเพราะพลังที่แข็งแกร่งและพาลปราศจากผู้ต่อกรที่อยู่บนตัวของพวกเขา ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเป็นเทพองค์ใหญ่อย่างนั้น
ทั้งห้าคนต่างก็เป็นขั้นอมตะที่แข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกร แม้ว่าพวกเขาเทียบไม่ได้กับฮ่องแต้ไท่ชิง แต่ก็นับว่าน่ากลัวยิ่งนัก พลังที่พวกเขามีอยู่นั้นหาใช่ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะอย่างจางเจี๋ยตี้สามารถเทียบเคียงได้
ลูกเอ๊ย เจ้ามาแล้ว คารวะผู้สูงส่งสำนักใหญ่ทั้งห้าสิ ครั้นหลี่ชิเย่มาถึงแล้ว ฮ่องแต้ไท่ชิงได้กวักมือต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวด้วยท่าทีที่เมตตาและอ่อนโยนยิ่ง
หลี่ชิเย่ยิ้มๆ มองดูผู้เฒ่าทั้งห้าที่อยู่ตรงหน้า พยักหน้าให้ จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีที่ไม่เกรงใจใคร
เทพวายุ ผู้นี้ก็คือเด็กที่ข้าเอ่ยถึงกับพวกท่าน ชื่อว่าหลี่ชิเย่ ฮ่องแต้ไท่ชิงได้กล่าวแนะนำต่อผู้เฒ่าทั้งห้าที่อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีที่เมตตาและอ่อนโยนอย่างยิ่ง และกล่าวว่า ข้ากับเขามีวาสนาต่อกันที่ลึกซึ้งยิ่งนัก
ในเวลานี้ ท่าทีที่ฮ่องแต้ไท่ชิงจ้องมองหลี่ชิเย่นั้น เรียกได้ว่าเปี่ยมด้วยเมตตาและอ่อนโยนอย่างที่สุด เป็นท่าทีที่รักแบบลุ่มหลงอย่างสิ้นเชิง คนที่ไม่รู้ความต้องเข้าใจว่าหลี่ชิเย่คือโอรสของฮ่องแต้ไท่ชิงจริงๆ ท่าทางลักษณะเช่นนี้ของเขาไม่เหมือนท่าทางที่เพิ่งจะรู้จักกับหลี่ชิเย่เพียงไม่กี่วัน
เวลานี้ สายตาของผู้เฒ่าทั้งห้าที่อยู่ตรงหน้าล้วนแล้วแต่ตกอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ ผู้เฒ่าทั้งห้าล้วนแล้วแต่เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกร อย่าว่าแต่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เลย ต่อให้ทั่วทั้งแดนลัทธิราชันก็เป็นบุคคลที่เพียงแค่กระทืบเท้าก็สยบทั่วหล้า ล้วนแล้วแต่ดำรงอยู่ในฐานะหนึ่งฝ่ามือบดบังท้องฟ้าได้ทั้งสิ้น
เวลานี้สายตาของพวกเขาทั้งห้าคนที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ได้ตกไปอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ เหมือนต้องการมองหลี่ชิเย่ให้ขาดอย่างนั้น
แต่ทว่า หลี่ชิเย่ทำเหมือนเอาหูไปนาเอาตาไปไร นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย อีกทั้งยังนั่งด้วยท่าทางอันธพาลสุดๆ ไม่มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์อย่างที่ผู้เป็นรัชทายาทสมควรจะมี หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ตรงนั้นในเวลานี้คล้ายเป็นเจ้าถิ่นอันธพาลคนหนึ่งอย่างนั้น
ท่าทีลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะทั้งห้าคนอดที่จะมองตากันและกันไม่ได้
พูดกันตามตรงนะ ขณะที่ฮ่องเต้ไท่ชิงเชิญพวกเขามาและแจ้งว่าได้แต่งตั้งรัชทายาทแล้วนั้น พวกเขาต่างรู้สึกหวั่นไหวในใจ แน่นอน เรื่องนี้ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดคิดเป็นพิเศษแต่อย่างใด จะอย่างไรเสียเวลาของฮ่องเต้ไท่ชิงเหลืออยู่ไม่มาก อายุขัยได้สิ้นสุดลงแล้วและกำลังใกล้จะสวรรคตอยู่แล้ว ดังนั้น ก่อนที่จะสวรรคตเขาจะแต่งตั้งรัชทายาทก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว
แรกทีเดียวพวกเขายังเข้าใจว่าฮ่องเต้ไท่ชิงจะสนับสนุนให้อัจฉริยะบุคคลคนใดคนหนึ่ง หรือปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งคนหนึ่งของราชวงศ์โต่วเซิ่น ขึ้นมาเป็นผู้สืบทอดของราชวงศ์โต่วเซิ่น แต่แล้วพวกเขานึกไม่ถึงก็คือ ฮ่องเต้ไท่ชิงถึงกับแต่งตั้งผู้เยาว์คนหนึ่งที่พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนมาสืบทอดบัลลังก์ของเขา
มองเห็นท่าทางที่อ่อนโยนมีเมตตาและหลงรักเช่นนี้แล้ว ปฏิกิริยาแรกที่แวบขึ้นมาของทั้งห้าคนก็คือ หลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้คือบุตรนอกสมรสของฮ่องเต้ไท่ชิง
สมควรทราบว่า คนอย่างฮ่องเต้ไท่ชิงเป็นผู้ที่แข็งกร้าวไร้ความปราณีมาโดยตลอด เป็นผู้ที่เย็นชาไร้ความรู้สึกและโหดเหี้ยมยิ่งนัก ไม่เคยได้เห็นเขาเผยท่าทีที่มีความเมตตาและอ่อนโยนบนใบหน้ามาก่อน
เวลานี้ มองดูท่าทางที่ฮ่องเต้ไท่ชิงจ้องมองหลี่ชิเย่ มันช่างอ่อนโยนเปี่ยมด้วยความเมตตา ช่างหลงรักมากเหลือเกิน ประดุจดั่งเป็นบิดาที่ได้บุตรชายยามอายุมากแล้ว และหลงรักในตัวของบุตรชายคนเล็กอย่างนั้น
ปัญหาก็คือ ผู้คนทั่วหล้าต่างก็รู้ว่าฮ่องเต้ไท่ชิงมีบุตรีเพียงคนเดียวเท่านั้น อีกทั้งเป็นเรื่องที่นมนานมากมาแล้ว เป็นความจริงที่ในยุคก่อนฮ่องเต้ไท่ชิงมีบุตรีคนหนึ่งจริงๆ แต่ บุตรีของเขามีความปราดเปรื่องน่าทึ่งปราศจากผู้เทียบเทียม ได้กลายเป็นราชันแท้จริงและไปจากแดนลัทธิราชันขึ้นไปยังแดนลัทธิเซียนในที่สุด นับจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย
เวลานี้ พวกเขาทั้งห้าคนได้เห็นท่าทีที่หลงรักอย่างยิ่งของฮ่องเต้ไท่ชิงแล้ว พวกเขาต่างเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าหลี่ชิเย่ก็คือบุตรนอกสมรสของฮ่องเต้ไท่ชิง แม้ว่าผู้คนทั่วหล้าต่างก็รู้ว่าฮ่องเต้ไท่ชิงไม่มียบุตรชาย แต่ว่า ใครจะรับประกันได้ว่าฮ่องเต้ไท่ชิงไม่มีบุตรนอกสมรสได้เล่า?
ยิ่งไปกว่านั้น การเป็นฮ่องเต้มาสามยุคสมัยของฮ่องเต้ไท่ชิงนั้นได้สร้างศัตรูไว้มากเหลือเกิน ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องการสังหารเขา บางทีการสังหารฮ่องเต้ไท่ชิงอาจจะยาก แต่หากสังหารบุตรชายของเขาล่ะ?
บางทีอาจเป็นเพราะฮ่องเต้ไท่ชิงเกรงผู้อื่นจะลอบสังหารบุตรชายของตน ดังนั้นจึงเอาตัวบุตรชายของตนซ่อนเอาไว้ ทำให้ผู้คนทั่วหล้าล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าเขามีบุตรชายอยู่คนหนึ่ง
ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะทั้งห้าจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ ดวงตาที่มากด้วยประสบการณ์คู่นั้นของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดสามารถเล็ดลอดจากสายตาคู่นั้นของพวกเขาไปได้
ในสายตาของพวกเขามองว่า ทักษะยุทธของหลี่ชิเย่อ่อนเกินไป ข้อสำคัญคือไม่มีลักษณะเช่นนั้น ทำให้มองเห็นแวบเดียวก็รู้ได้ว่าแม้เขาจะเคยฝึกยุทธ แต่ดูจากกลิ่นอายของจิตที่หย่อนยานกระจัดกระจาย ทักษะยุทธนั้นอ่อนจนมองข้ามไปได้ บนตัวของเขาไม่มีกำลังที่แข็งแกร่งสั่งสมอยู่ภายใน
ในบรรดาพวกเขาห้าคนกระทั่งมีผู้ที่อาศัยจิตเทพไปตรวจสอบหลี่ชิเย่อย่างละเอียด และปรากฏไม่พบพลังบนตัวของหลี่ชิเย่สักเท่าไร ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าการฝึกยุทธของหลี่ชิเย่สามารถมองข้ามไปได้อย่างสิ้นเชิงไปเลย แค่ศิษย์ที่รับเข้าสำนักมาใหม่คนหนึ่งยังแข็งแกร่งมากกว่าเขาเสียอีก
สุดท้าย ผู้เฒ่าทั้งห้าต่างละสายตากลับมา พวกเขาทั้งห้าต่างมองตากันและกัน ในเวลานี้พวกเขาตระหนักได้ว่าหลี่ชิเย่ไม่ใช่บุตรชายที่ฮ่องเต้ไท่ชิงเก็บซ่อนตัวเอาไว้ ถ้าหากฮ่องเต้ไท่ชิงซ่อนตัวบุตรชายของตนเอาไว้แต่แรกล่ะก็ คงจัดการบ่มฟักเขาเรียบร้อยมาแล้ว
เวลานี้พวกเขานึกถึงปัญหาข้อหนึ่ง ดูท่าการเสด็จออกเประพาสของฮ่องเต้ไท่ชิงในครั้งนี้ไม่ใช่ไปหาหมอ ไม่ใช่ไปขอยาอายุวัฒนะ แต่ต้องการไปหาบุตรชายของตน บุตรนอกสมรสของตน
ดูท่าฮ่องเต้ไท่ชิงคงเคยไปมีอะไรกับผู้หญิงมาครั้งหนึ่ง และได้บุตรชายผู้นี้ขึ้นมา
หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน เกรงว่าฮ่องเต้ไท่ชิงคงไม่ยอมรับบุตรชายผู้นี้ แต่ เวลานี้เขาแก่ชราและใกล้ตายแล้ว อำนาจในมือที่เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวอย่างไรเสียก็ต้องมีผู้ที่มาสืบทอด ดังนั้น เวลานี้เขาจึงได้นึกถึงบุตรชายที่ไม่เอาไหนคนนี้ และรับตัวบุตรชายที่ไม่เอาไหนผู้นี้กลับมาสืบทอดบัลลังก์ของเขา
ลูกเอ๊ย ท่านอาและท่านลุงทั้งห้าที่อยู่ตรงหน้าก็คือปรมาจารย์ผู้สูงส่งของหอหลินไห่เก๋อที่เป็นสำนักทั้งห้า อนาคตจำเป็นต้องอาศัยพวกเขามาสนับสนุนเจ้า เวลานี้ฮ่องเต้ไท่ชิงเอ่ยขึ้นกับหลี่ชิเย่อย่างอ่อนโยนและมีเมตตา
ปรมาจารย์ทั้งห้าที่อยู่ตรงหน้าก็คือระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดของหอหลินไห่เก๋อ ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ วัดจิ้งเหลียนกวาน แคว้นว่านเจิ้น และสำนักเสินสิงเหมิน พวกเขาเป็นผู้กุมอำนาจของสำนักใหญ่ทั้งห้า
กล่าวได้ว่า พวกเขาคือผู้อยู่ในตำแห่งสูงสุดของสำนักทั้งห้าแล้ว พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลผู้สามารถอาศัยฝ่ามือเดียวบดบังฟ้าได้ พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่เคร่งในวาจาของตน
ปรกติแล้ว พวกเขาล้วนแล้วแต่คือผู้ที่อยู่ในฐานะสูงเด่นภายในสำนักของตน อย่าว่าแต่ศิษย์ธรรมดาเลย แม้แต่ระดับบรรพบุรุษทั่วไปก็ยากจะพบเห็นพวกเขา
แต่ว่า มาคราวนี้ฮ่องเต้ไท่ชิงเรียกพบพวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้ ฮ่องเต้ไท่ชิงปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวในหล้า ใครกล้าขัดคำสั่งของฮ่องเต้ไท่ชิง?
ยิ่งไปกว่านั้น มาคราวนี้เป็นการเรียกพบก่อนฮ่องเต้ไท่ชิงจะสิ้นพระชนม์ พวกเขายิ่งต้องมาด้วยตนเองสักครั้งหนึ่ง
ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ มีสำนัก ตระกูลขุนนางโบราณ แคว้น และนิกายโบราณมากมายราวดอกเห็ด ทั้งยังมีสำนักที่แข็งแกร่งอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ว่า หากฮ่องเต้ไท่ชิงเสด็จสวรรคต ผู้ที่สามารถบงการระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้อย่างแท้จริงยังคงเป็นหอหลินไห่เก๋อ ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือที่เป็นห้าผู้ยิ่งใหญ่อย่างพวกเขา
ด้วยเหตุนี้เอง ฮ่องเต้ไท่ชิงจึงเรียกพบเพื่อฝากฝังลูกกำพร้าให้กับพวกเขา
หนทางอนาคตยากเข็ญ ลูกคนนี้ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอีกมาก ต้องให้พวกท่านช่วยสนับสนุนดูแล ฮ่องเต้ไท่ชิงตรัสอย่างคนมีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรง
ย่อมไม่ต้องสงสัย ฮ่องเต้ไท่ชิงในเวลานี้ต้องการฝากฝังบุตรกำพร้าแล้ว ต้องการให้หอหลินไห่เก๋อทั้งห้าสำนักใหญ่ช่วยสนับสนุนหลี่ชิเย่
ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย พวกกระหม่อมจะต้องดูแลองค์ชายน้อยอย่างดีแน่นอน มีหนึ่งในห้าปรมาจารย์พยักหน้ากล่าวและแสดงคารวะทันที
พวกเขาไม่รู้สึกดีใจได้รึ? ตลอดเวลาที่ผ่านมามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องการอยากได้อำนาจที่สูงสุดนี้มาก?
ถ้าหากว่าฮ่องเต้ไท่ชิงได้มอบอำนาจนี้ให้กับปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งคนใดคนหนึ่งของราชวงศ์โต่วเซิ่น หรือเป็นอัจฉริยะบุคคลคนใดคนหนึ่งล่ะก็ สำนักอื่นๆ คิดจะชิงอำนาจก็เป็นเรื่องที่ยากมาก
ถ้าหากว่าฮ่องเต้ไท่ชิงได้ยกบัลลังก์ให้กับผู้เยาว์ที่ไร้ชื่ออย่างหลี่ชิเย่ อีกทั้งยังเป็นผู้อ่อนด้อยไม่คู่ควรจะกล่าวถึง กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว มันคือสวรรค์ประทานโอกาสดีให้แล้ว
………………………………………………..