หญิงสาวบังเกิดความคับแค้นใจขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ อดที่จะมองดูหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง แต่ก็รีบก้มหน้าลงตามเดิมไม่กล้าพูดอะไรออกมา
จอมมารน้อยในร่างมนุษย์มีชื่อเสียงโด่งดังด้านไม่ดี ทุกคนต่างรู้ว่าเขาก็คือเสเพลน้อย ฉุดคร่าหญิงสาวชาวบ้านกลางวันเสกๆ ลวนลามหญิงชาวบ้าน มีเรื่องอะไรที่ไม่กล้าทำ เวลานี้นางอดที่จะรู้สึกโชคดีที่ไม่เข้าตาของจอมมารน้อยในร่างมนุษย์
หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่งและละสายตากลับมา เคาะดาบและกระบี่ที่แขวนไว้บนผนังเบาๆ และกล่าวว่า “แม้ว่าวัตถุดิบจะด้อย ฝีมือก็งั้นๆ แต่ว่า ฝีมือด้านกรรมวิธีการขึ้นรูปนั้นมาจากผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง”
“เหอะ เหอะ เหอะคุณชายใหญ่พูดเล่นแล้วล่ะ พวกเราเป็นเพียงร้านซอมซ่อเล็กๆ เท่านั้น อาศัยขายของที่ไม่ค่อยได้เรื่องนิดหน่อยเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ฝีมือผู้เชี่ยวชาญมีชื่อเสียงอะไรมาจากไหนกัน ล้อเล่นแล้ว ล้อเล่นแล้ว” เมื่ออาเถี่ยได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้พลันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป จึงรีบรับบทสนทนาเอาไว้
“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่เคาะเบาๆ ที่ตัวดาบและกระบี่ หัวเราะเอ้อระเหยและกล่าวว่า “ถ้าหากข้าดูไม่ผิดล่ะก็ นี่คือฝีมือของตระกูลปิงฉือกระมัง ฝีมือตระกูลปิงฉือที่แท้จริง”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา สีหน้าของหญิงสาวและอาเถี่ยเปลี่ยนไปมากทีเดียว ต่างถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวพร้อมกัน
ในเวลานี้เอง พวกเขาทั้งสองต่างมองตากันและกันทีหนึ่ง อย่างไรก็ตามหลี่ชิเย่ไม่ได้มองดูพวกเขามากนัก มือไพล่หลังมองดูดาบและกระบี่เหล่านั้น ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “เป็นฝีมือที่แท้มาก ขาดแต่ความลึกซึ้งความชำนาญ ถ้าหากได้วัตถุดิบที่ดี หมั่นซ้อมมือเข้าไว้ นับว่ายังมีพรสวรรค์ด้านหลอมกลั่นอยู่ไม่น้อยทีเดียว”
เวลานี้ไม่เพียงแต่พวกหญิงสาวสองคนที่ตกใจ แม้แต่จางเจี๋ยตี้ก็รู้สึกเหนือความคาดคิดอย่างยิ่ง เขาเองไม่นึกไม่ฝันว่าหลี่ชิเย่ถึงกับมีความรู้ด้านการหลอมกลั่นของตระกูลปิงฉือ ซึ่งข้อนี้นับว่าเหนือความคาดคิดของเขาไปมากทีเดียว
เมื่ออาเถี่ยได้สติกลับมาจึงรีบกล่าวว่า “ข้าน้อยไม่เข้าใจคุณชายใหญ่พูดถึงอะไร ตระกูลปิงฉืออะไรนั่นข้าน้อยไม่เคยได้ยินมาก่อน ฝีมือเล็กน้อยด้านนี้เป็นฝีมือที่คุณหนูได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษเพื่อใช้หากินเท่านั้นเอง”
“พูดเช่นนี้ คุณหนูพวกเจ้าก็คือทายาทของราชันแท้จริงพั่วปิงน่ะสิ” หลี่ชิเย่กล่าวและหัวเราะออกมา
สีหน้าของหญิงสาวและอาเถี่ยแปรเปลี่ยนไปมากอีกครั้งเมื่อหลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา ถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว อดที่จะใจหายใจคว่ำไม่ได้
จางเจี๋ยตี้ถึงกับมองไปที่หลี่ชิเย่ ลำพังอาศัยดูจากดาบและกระบี่ที่แขวนอยู่บนผนัง เขาดูไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของราชันแท้จริงพั่วปิง แต่ว่าหลี่ชิเย่กลับพูดได้ถูกต้องทันที เขาถึงกับแอบตกใจกับสิ่งนี้ สมควรทราบว่าเขาคือขั้นอมตะคนหนึ่ง ความเฉียบแหลมด้านสายตาหาใช่คนทั่วไปสามารถเทียบเคียงได้อยู่แล้ว
ราชันแท้จริงพั่วปิงคือราชันแท้จริงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของตระกูลปิงฉือ เขามีชื่อเสียงเลื่องลือด้านการหลอมสร้างอาวุธ หากว่ากันเรื่องของการหลอมสร้างอาวุธล่ะก็ มีไม่กี่คนในหล้าที่สามารถเทียบเคียงกับเขาได้ แม้ว่าเขาจะเป็นราชันแท้จริง ตามตำนานเล่าว่าเขาสามารถสร้างอาวุธที่เทียบเคียงกับอาวุธปฐมบรรพบุรุษได้
จากการที่ตระกูลปิงฉือได้เคยให้กำเนิดราชันแท้จริงที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ จึงได้วางรากฐานให้กับตระกูลปิงฉือได้มีฐานะที่มั่นคง และทำให้ตระกูลปิงฉือกลายเป็นหนี่งในห้าผู้ยิ่งใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่
“ข้าน้อยไม่เคยได้ยินชื่อราชันแท้จริงพั่วปิงอะไรนั่น และไม่รู้จักตระกูลปิงฉืออะไร” อาเถี่ยหัวเราะแห้งๆ และกล่าวปฏิเสธทันที
หลี่ชิเย่ไม่ได้หันหลังกลับไปมองแม้แต่แวบเดียว กล่าวเฉยเมยขึ้นมาว่า “ขืนยังคงพูดจาเพ้อเจ้อต่อหน้าข้าอีก เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะแบกนังหนูกลับไปอุ่นเตียง”
คำพูดของหลี่ชิเย่พลันทำให้สีหน้าของหญิงสาวและอาเถี่ยแปรเปลี่ยนไป อาเถี่ยไม่กล้าพูดอะไรอีกพลันปิดปากเสียแน่น
หลี่ชิเย่ไม่ได้สนใจพวกเขาอีกต่อไป เพียงเคาะเบาๆ ที่อาวุธแต่ละเล่ม
ในเวลานี้เอง เสียงฝีเท้าดังขึ้นเป็นระลอก คนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าร้านเหล็ก คนกลุ่มนี้ทั้งหมดอยู่ในชุดทะมักทะแมง บนแขนเสื้อปักกระบี่ทองเอาไว้เล่มหนึ่ง ท่าทีของคนกลุ่มนี้ดูดุดัน พลันที่มองเห็นก็รู้ว่าไม่ได้มาดีแน่นอน
คนกลุ่มนี้นำโดยชายหนุ่มคนหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้มีลมปราณที่คึกคักมีชีวิตชีวา คู่ดวงตาที่ดูไม่เป็นมิตร พลันที่มองเห็นก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร เมื่อคนกลุ่มนี้เดินเข้าร้านเหล็กก็ตรงเข้าหาหญิงสาวทันที เดินชนอุตลุด ทำเอาดาบและกระบี่จำนวนไม่น้อยร่วงลงพื้น
สีหน้าของหญิงสาวและอาเถี่ยถึงกับเปลี่ยนไป เมื่อมองเห็นชายหนุ่มนำเอาคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในชุดทะมักทะแมงบุกเข้ามา ต่างมองตากันและกัน
“ลูกพี่ลูกน้องหญิง ไม่พบกันมาระยะหนึ่งแล้ว” ชายหนุ่มผู้นี้หัวเราะเสียงดังและกล่าวต่อหญิงสาวผู้นี้
หญิงสาวถึงกับเม้มมุมปาก และสะบัดหางม้าทีหนึ่ง ท่าทางเย็นชาและกล่าวว่า “ไม่นึกเลยว่าเจ้าก็มาที่เมืองกัวชางเฉิงเหมือนกัน”
“มิกล้า ข้าก็แค่มีธุระนิดหน่อยมาที่ตี้เฉิงเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มผู้นี้หัวเราะและกล่าวว่า “แต่ว่า ก่อนที่ข้าจะมา เหล่าบรรพบุรุษภายในตระกูลได้ฝากฝังข้าเป็นพิเศษว่า อย่าลืมเรื่องเก็บค่าเช่า ดังนั้น ข้าได้แต่มาสักครั้งแล้วล่ะ”
หญิงสาวถึงกับเม้มที่มุมปาก ไม่พูดไม่จาอยู่นานเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้
“ลูกพี่ลูกน้องหญิง ดูเวลาแล้วมันก็ได้เวลาแล้ว ข้าเชื่อว่าลูกพี่ลูกน้องหญิงสมควรเตรียมไว้พร้อมแล้ว ที่ควรเก็บรวบรวมก็น่าจะเก็บรวบรวมครบแล้วกระมัง” ชายหนุ่มยิ้มกล่าว
“นี่มันกิจการดั้งเดิมของบรรพบุรุษพวกเราอยู่แล้ว” สีหน้าของหญิงสาวเย็นชา กล่าวน่าเกรงขามออกมา
“ลูกพี่ลูกน้องหญิง นั่นมันเรื่องเก่าแก่นมนานมาแล้ว หลังจากมีการจำนองแล้วมันก็กลายเป็นสมบัติของตระกูลแล้ว” ชายหนุ่มยิ้มกล่าวว่า “การที่ตระกูลยินดีให้ลูกพี่ลูกน้องหญิงได้เช่าก็นับว่าเป็นการคำนึงถึงสัมพันธ์เก่าก่อน เห็นแก่หน้าของปรมาจารย์แล้วล่ะ”
“ลูกพี่ลูกน้องหญิงก็ควรจะรู้ว่า สัมพันธ์ส่วนตัวก็คือสัมพันธ์ส่วนตัว เรื่องงานคือเรื่องงาน จะอย่างไรเสียตระกูลของพวกเราเป็นตระกูลใหญ่ ธุรกิจก็ใหญ่ ถ้าหากทุกคนต่างคำนึงถึงความสัมพันธ์เก่าก่อน ทุกคนเล่นแต่ความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่นนั้นแล้วกฎของตระกูลจะเอาไปไว้ที่ไหน? ทุกสิ่งย่อมต้องมีกฎมีเกณฑ์ ตระกูลใหญ่มิต้องยุ่งไปหมดหากไม่มีกฎเกณฑ์?” ชายหนุ่มหัวเราะและกล่าวขึ้นมา
“เหอะ เหอะ เหอะนายน้อยเกา ผ่อนผันให้อีกสักหลายวัน คุณหนูรวบรวมมาได้แล้ว เพียงแต่เงินยังไม่ได้รับการชำระเท่านั้น เมื่อได้รับการชำระแล้วก็จะมอบให้นายน้อยเกาทันที” อาเถี่ยรีบเข้ามาประนีประนอมเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้แล้ว
“ผ่อนผันให้อีกหลายวัน?” ชายหนุ่มผู้นี้ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าไม่มีเวลามาผ่อนผันอีกหลายวัน พรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางกลับไปที่ตระกูลแล้ว ถ้าหากข้าไม่ได้รับเงินจำนวนนี้ จะให้ข้าอธิบายกับผู้เฒ่าในตระกูลได้อย่างไร!”
“เจ้าต้องการอะไร…” สีหน้าของหญิงสาวพลันเปลี่ยนไป อดที่จะพูดเสียงแข็งด้วยความโกรธออกไป
“ลูกพี่ลูกน้องหญิง ข้าไม่ต้องการอะไร พวกเราทำตามหน้าที่” ชายหนุ่มผู้นี้กล่าวว่า “พวกเราได้แต่ให้ลูกพี่ลูกน้องหญิงเก็บข้าวเก็บของเสีย แล้วไสหัวไปให้พ้นทันที ทางตระกูลต้องการยึดคืนกิจการนี้ จากนี้ไปลูกพี่ลูกน้องหญิงไม่สามารถรั้งอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป และจะไม่เช่าให้กับเจ้าอีก จะอย่างไรเสียนี่เป็นการทำผิดสัญญาก่อนของลูกพี่ลูกน้องหญิง”
“ปิงฉือเกา เจ้าอย่าได้รังแกกันให้มากนัก!” สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดคำนี้ ร้องกล่าวเสียงดังออกไป
ชายหนุ่มที่มีชื่อว่าปิงฉือเกาส่ายหน้าและกล่าวว่า “ลูกพี่ลูกน้องหญิง ใช่ว่าข้าไม่มีน้ำใจ และใช่ว่าข้าจะรังแกกันมากเกินไป ข้าก็แค่ทำตามกฎระเบียบเท่านั้นเอง ลูกพี่ลูกน้องหญิงควรจะดีใจที่ข้าปิงฉือเการับงานนี้มา หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นไม่แน่นักจะมีอารมณ์ดีขนาดนี้ ลูกพี่ลูกน้องหญิงว่าอย่างนั้นหรือไม่?”
สีหน้าของหญิงสาวเวลานี้ซีดเผือด ที่ตรงนี้คือกิจการของบรรพบุรุษ นางย่อมไม่ต้องการย้ายออกไปเช่นนี้ จะอย่างไรเสียหากวันนี้ย้ายออกไป เกรงว่าคงจะสูญเสียกิจการนี้ตลอดไป
“ลูกพี่ลูกน้องหญิง พวกเจ้าจะขนย้ายกันเอง หรือจะให้พวกเราลงมือขนให้ล่ะ?” ปิงฉือเกาหัวเราะกล่าว
เวลานี้ หญิงสาวถึงกับกำหมัดแน่น สีหน้าขาวซีด อกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความโกรธแค้นอย่างยิ่ง สุดท้าย นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ให้เวลาข้าอีกสองวัน ขอเวลาแค่เพียงสองวัน ข้าก็จะเอาเงินชำระให้กับตระกูล!”
“ไม่ได้” ปิงฉือเกาส่ายหน้าและกล่าวว่า “ลูกพี่ลูกน้องหญิง ใช่ว่าข้าแล้งน้ำใจ ข้าเองก็มีธุระด่วนติดตัว พรุ่งนี้ก็จะกลับไป ดังนั้น ข้ารออีกสองวันไม่ได้ ลูกพี่ลูกน้องหญิงสมควรรู้กฎระเบียบของตระกูล ถ้าหากศิษย์คนใดคนหนึ่งไม่สามารถปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วง ผลยากจะคาดคิด อนาคตอันรุ่งโรจน์ของข้าก็ต้องถูกทำลาย”
“ข้าขอแค่สองวัน!” หญิงสาวกำหมัด ในขณะนี้น้ำเสียงของนางออกแนวขอร้อง เวลานี้นางไม่มีทางเลือก
“สองวันก็ไม่ได้” ปิงฉือเกาส่ายหน้า หยุดนิดหนึ่งและกล่าวว่า “แต่ว่า เรื่องนี้ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง”
“มีวิธีอะไร?” หญิงสาวถึงกับเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่ามีโอกาสพลิกสถานการณ์
“ขณะที่ข้ามานั้น ผู้เฒ่าในตระกูลได้เคยสั่งไว้ว่า เห็นแก่บรรพบุรุษแล้ว ลูกพี่ลูกน้องหญิงสามารถไถ่ถอนกิจการนี้คืนไปได้ ขอเพียงลูกพี่ลูกน้องหญิงไถ่ถอนคืน กิจการนี้ก็จะเป็นของลูกพี่ลูกน้องหญิงตลอดไป” ปิงฉือเกากล่าวขึ้นมา
ไถ่ถอนคืน…ภายในใจของหญิงสาวรู้สึกหวั่นไหว เรื่องเช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่นางปรารถนาอยู่แล้ว อดที่จะพูดขึ้นว่า “ไถ่ถอนคืนอย่างไร!”
“เรื่องนี้น่ะหรือ” ปิงฉือเกาเอามือลูบคางทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ปรมาจารย์ของตระกูลกล่าวไว้แล้วว่า ได้ยินมาว่ายังมีทักษะอยู่หน้าหนึ่ง ขอเพียงลูกพี่ลูกน้องหญิงส่งมอบทักษะหน้าดังกล่าวออกมา กิจการที่ตรงนี้ก็จะเป็นของลูกพี่ลูกน้องหญิงแล้ว แน่นอน ทางตระกูลไม่ให้ลูกพี่ลูกน้องหญิงต้องเสียเปรียบ ทางตระกูลถือโอกาสมอบกิจการส่วนหนึ่งที่อยู่ในเมืองหลวงให้ด้วย ให้ลูกพี่ลูกน้องหญิงไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่ครึ่งชีวิตหลังจากนี้”
พลันที่พูดคำๆ นี้ออกมา หญิงสาวและอาเถี่ยต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาก ทั้งสองต่างก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดอะไร พวกเราก็ไม่ได้มีทักษะหน้าหนึ่งที่ว่า ครั้งนั้นสิ่งที่ควรมอบให้ ผู้อาวุโสก็ได้มอบให้ไปแล้ว ไม่ได้มีแอบซ่อนอะไรเอาไว้แม้แต่น้อย”
“ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงก็หมดหนทางแล้วล่ะ” ปิงฉือเกาหัวเราะเยาะ และกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอเชิญลูกพี่ลูกน้องหญิงย้ายออกไป”
สีหน้าของหญิงสาวพลันผันแปรสับเปลี่ยนไปด้วยความโกรธกังวล หมัดที่กำไว้ถึงกับสั่นเทา แต่นางก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
“ถ้าหากลูกพี่ลูกน้องหญิงไม่ยอมย้าย” ปิงฉือเกาทำท่ายักไหล่ทีหนึ่ง และกล่าวว่า “พวกเรา ช่วยขนย้ายให้กับคุณหนูหน่อย” กล่าวพลางยิ้มเยาะทีหนึ่ง
“เจ้ากล้ารึ?” หญิงสาวถึงกับร้องกล่าวเสียงดังขึ้นมา
“มีอะไรไม่กล้า?” ปิงฉือเกายิ้มเยาะทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ลูกพี่ลูกน้องหญิง พวกเจ้าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ครั้งนั้นความผิดที่สายของพวกเจ้ากระทำเป็นโทษหนัก เหล่าปรมาจารย์ไม่ได้ลบชื่อสายของพวกเจ้าออกไป ถือว่าเป็นการเห็นแก่ราชันแท้จริงพั่วปิงแล้ว ลูกพี่ลูกน้องหญิงคิดว่ายังจะมีคนในตระกูลช่วยพูดให้กับสายของพวกเจ้าอย่างนั้นรึ? ลูกพี่ลูกน้องหญิง สิ่งนี้หาใช่ข้าซ้ำเติม แต่เป็นเพราะสายของพวกเจ้าจบสิ้นกันแล้ว!”
หญิงสาวถึงกับยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น ใบหน้าซีดเผือด
“ขน…” ปิงฉือเกาโบกมือ พูดเสียงดังออกมา
“แมลงวันมาจากไหนกัน ทำเสียงหึ่งหึ่งไม่หยุด รบกวนอารมณ์สุนทรีของข้า” ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ที่ดูชมอาวุธที่แขวนอยู่บนผนังตลอดมาได้เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย และหันหลังกลับมาช้าๆ
ปิงฉือเกาไม่ได้มองหลี่ชิเย่สักแวบหนึ่งขณะที่นำพาศิษย์บุกเข้ามาในร้าน
………..