หลี่ชิเย่ที่เอนนอนอยู่ตรงนั้น เหมือนนอนหลับสนิทไปแล้วอย่างนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้ไปแตะต้องตัวปิงฉือหยิ่งเจี้ยนเลยสักครั้ง ยิ่งไม่ได้ไปลวนลามนาง
การที่หลี่ชิเย่ไม่ได้แตะต้องตัวเองเลยสักครั้ง และไม่ได้ยี่นมือมารมายังตน ทำให้ภายในใจของปิงฉือหยิ่งเจี้ยนถึงกับรู้สึกโล่งอกลับๆ ไปที แต่ก็รู้สึกแปลกๆ ในใจ
การแต่งเข้าวัง นางก็คือคนของหลี่ชิเย่แล้ว หลี่ชิเย่สามารถทำตามอำเภอใจกับนางได้ทุกอย่าง นางไม่มีปัญญาจะต่อต้าน ได้แต่คล้อยตามและสอดรับ แต่ว่า หลี่ชิเย่กลับไม่มีพฤติกรรมที่ไม่อยู่ในกฎในเกณฑ์ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเคยเป็นจอมมารน้อยที่โดดเด่นด้านชื่อเสียงไม่ดี เป็นอันธพาลน้อยที่แย่งชิงหญิงสาวชาวบ้านโดยเฉพาะ
การที่หลี่ชิเย่ไม่แตะต้องตัวเอง ทำให้ภายในใจของปิงฉือหยิ่งเจี้ยนรู้สึกแปลกๆ รู้สึกอ้างว้างอยู่บ้าง เป็นรสชาติที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง
เจ้าแต่งเข้ามาแทนปิงฉือหานยวี่ ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือตกลงให้ผลประโยชน์อะไรให้เจ้า? หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนถึงกับชะงักนิดหนึ่ง เมื่อถูกหลี่ชิเย่ถามขึ้นมาเช่นนี้ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ นางจึงได้เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า ปรมาจารย์รับปากจะให้กิจการบางอย่างแก่พวกเรา ให้ตระกูลพวกเรามีที่พักพิง
นั่นมันก็แค่มีสถานที่ที่ให้มีชีวิตรอดได้แห่งหนึ่งเท่านั้นเอง หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า จะไม่สามารถเอื้อมไปถึงอำนาจของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือได้ตลอดกาล
ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายพูดเสียงอ่อยว่า มีสถานที่สำหรับเอาชีวิตรอดได้ก็นับว่าไม่เลวแล้วล่ะ ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ภายในใจอดที่จะสลดนิดหนึ่งไม่ได้
ครั้งนั้นหลังจากที่ปิงฉืออ๋าวฟ่างพ่ายแพ้สงคราม พวกเขาที่เป็นสายของปิงฉืออ๋าวฟ่างถูกกำจัดอย่างสิ้นเชิงในตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ราชันแท้จริงพั่วปิงล่ะก็ ไม่แน่นักสายของพวกเขาอาจจะถูกตระกูลของตนเองเข่นฆ่าจนไม่เหลืออีกแล้ว
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม คนในตระกูลของพวกเขาถูกตระกูลตัวเองเนรเทศ ไม่มีที่ที่จะยืน ไม่มีที่ที่จะอยู่ ได้แต่ร่อนเร่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ
มาคราวนี้ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือให้นางแต่งเข้าวังแทนปิงฉือหานยวี่ นางเองไม่อาจไม่ตัดสินใจเลือก เพื่อหาที่อยู่ที่เป็นหลักแหล่งให้กับตระกูลของตนที่ถูกเนรเทศ
การที่ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือจะถูกทำลายหรือไม่ มันเกี่ยวข้องกับเจ้ามากมายอย่างไร? หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนตะลึงงันนิดหนึ่ง สุดท้ายพูดเสียงแผ่วเบาว่า มัน มันจะอย่างไรเสียก็คือตระกูลของพวกเรา และเป็นสิ่งที่มาจากกำลังกายกำลังสมองของบรรพบุรุษแต่ละรุ่น ดังนั้น ขอ ขอฝ่าบาทถอนรับสั่ง…
เรื่องราวบนโลกดั่งเกมหมากรุก เป็นสิ่งที่เจ้าไม่รู้และดูไม่เข้าใจอยู่แล้ว หลี่ชิเย่กล่าวตามอารมณ์ว่า เจ้าก็อยู่ข้างกายของข้า คอยปรนนิบัติข้าก็พอแล้ว
ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนอ้าปากจะพูด แต่ ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี สุดท้ายได้แต่หุบปากและทอดถอนใจภายในใจทีหนึ่ง
นางเป็นเพียงบุคคลที่ไม่มีความสำคัญคนหนึ่งเท่านั้นเอง นางก็คล้ายดั่งเป็นแหนที่อยู่ภายใต้สายน้ำที่เชี่ยวกรากไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในครั้งนั้นบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งอย่างปิงฉือเอ๋าฟ่างยังต้องพ่ายแพ้การศึกและเสียชีวิต นางที่เป็นเพียงบุคคลไม่มีความสำคัญคนหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้?
ด้านนอกตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ กองทัพทั้งสองฝ่ายตั้งประจันหน้ากัน บรรยากาศตึงเครียดจนถึงขีดสุด
ฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะนะ มีผู้อดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นกองทัพใหญ่ตั้งประจันหน้ากัน กลิ่นอายการฆ่ารุนแรง สถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุด
เรื่องนี้พูดยาก ระดับบรรพบุรุษได้วิเคราะห์ว่า แม้ว่าตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือจะแข็งแกร่ง แต่ว่า กองทัพทั้งห้าก็ใช่ย่อย ทั้งสองฝ่ายยกออกมาทั้งหมด ใครจะเป็นฝ่ายกำชัยยังพูดยาก ถ้าหากกองทัพหยินมี่ยังอยู่ล่ะก็ ขณะกองทัพทั้งห้าประชิดเมืองเกรงว่าตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือคงไม่กล้าต่อต้าน ต้องยอมแพ้แต่โดยดีทันที เวลานี้ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือได้บังเกิดใจเป็นอื่นแล้ว ไม่ได้มองราชวงศ์โต่วเซิ่นอยู่ในสายตาอีกแล้ว
ทุกคนรู้สึกว่ามีเหตุผลเมื่อได้ฟังคำพูดของระดับบรรพบุรุษผู้นี้ ขณะที่ฮ่องเต้ไท่ชิงยังอยู่ แม้ว่าตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือแข็งแกร่งมากกว่านี้ก็ต้องยอมก้มหัวให้ ฮ่องเต้ไท่ชิงสั่งให้ไปทางขวา ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือไม่กล้าไปทางซ้ายอย่างเด็ดขาด ไม่กล้าต่อต้านราชวงศ์โต่วเซิ่นอยู่แล้ว
เวลานี้ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ซุนหลึ่งหยิ่งถอนตัวไม่ยุ่งกับโลกภายนอก กองทัพหยินมี่หายสาบสูญ ดังนั้น ภายในใจของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือจึงมั่นใจเต็มเปี่ยม ไม่มองฮ่องเต้องค์ใหม่อยู่ในสายตา และไม่ได้ใส่ใจในราชวงศ์โต่วเซิ่น ด้วยเหตุนี้เอง จึงไม่ยินยอมให้คุณหนูของตระกูลตนเองแต่งเข้าวัง ด้วยการไปตามหาองค์หญิงตกยากมาแต่งเข้าวังแทน
ถ้าหากซุนหลึ่งหยิ่ง และกองทัพหยินมี่ยังอยู่ ต่อให้ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือแข็งแกร่งมากกว่านี้ ยังคงต้องให้ปิงฉือหานยวี่แต่งเข้าวังแต่โดยดี
ตูม ตูม ตูม…จังหวะที่กองทัพใหญ่ทั้งห้ากำลังประจันหน้ากับทัพของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉืออยู่นั้น พลันปรากฏกองทัพอีกทัพหนึ่งขึ้นมา ดั่งคลื่นยักษ์ที่โหมสาดซัดเข้ามา ฝุ่นฟุ้งตลบจนปิดฟ้าบังตะวัน
กองทัพใหญ่ลักษณะเช่นนี้ที่ดั่งคลื่นยักษ์ที่โหมสาดซัดพุ่งเข้ามา ผืนแผ่นดินสั่นไหว ท้องฟ้าสั่นเทา เสมือนดั่งสั่นคลอนฟ้าดินอย่างนั้น ขณะที่กองทัพยังเคลื่อนพลมาไม่ถึง แต่กลิ่นอายการฆ่าก็ได้ตลบอบอวลระหว่างฟ้าดินไปแล้ว
แคว้นว่านเจิ้น เป็นทัพของแค้วนว่านเจิ้น! มองเห็นทัพใหญ่ที่มีไพร่พลนับสิบล้านยกเข้ามาดั่งคลื่นยักษ์ที่บ้าคลั่ง
ผู้ชมจำนวนนับไม่ถ้วนต่างสะดุ้งภายในใจ กองทัพนี้ก็คือกองทัพที่มาจากแค้วนว่านเจิ้น การส่งทหารเข้ามาในจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มที่สุดอย่างกะทันหัน จะไม่ทำให้ผู้คนทั้งหมดต้องตกใจได้อย่างไร
แคว้นว่านเจิ้นก็คือหนึ่งในห้าผู้ยิ่งใหญ่ ศักยภาพไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ แค้วนว่านเจิ้นเชี่ยวชาญในเรื่องของค่ายกล ได้รับกายยกย่องว่ามีค่ายกลที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร ดังนั้น เมื่อไรที่กองทัพแค้วนว่านเจิ้นตั้งเป็นค่ายกลขึ้นมาล่ะก็ไร้เทียมทาน ปราศจากผู้ต่อกร
แคว้นว่านเจิ้นยกทัพมาเพื่อช่วยฮ่องเต้ หรือว่าช่วยตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือเล่า? พลันที่มองเห็นแค้วนว่านเจิ้นส่งกองทัพเข้ามาดั่งคลื่นที่บ้าคลั่งมายังตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ สร้างความกระวนกระวายให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยในเวลานี้
ตึง ตึง ตึงเสียงฆ้องดังก้องฟ้าดินขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือหรือกองทัพทั้งห้าต่างส่งสัญญาณเตือนภัยขึ้นมา ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่รู้ว่าการส่งกองทัพมาของแค้วนว่านเจิ้นอย่างกะทันหันจะเป็นมิตรหรือศัตรู ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ในท่าทีของการป้องกัน
ตูม…เสียงดังสนั่นขึ้นมา จังหวะที่กองทัพนี้กำลังบุกเข้ามาดั่งคลื่นที่บ้าคลั่งนั้น ทันใดนั่นเอง ปรากฎประกายราชันสายหนึ่งพุ่งทะลุขึ้นสู่ท้องฟ้า ท่ามกลางเสียงตูมที่ดังสนั่น เห็นแสงราชันสายหนึ่งบานเบ่ง เสมือนหนึ่งได้เปิดโลกใหม่ขึ้นมาโลกหนึ่งอย่างนั้น
ทันใดนั้นเอง มองเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาจากแสงราชันที่พวยพุ่งขึ้นมานั่น เดิมทีขณะที่เขาก้าวเดินออกมานั้นปราศจากซุ่มเสียง แต่เหมือนว่ามีเสียงปังเสียงหนึ่งดังขึ้น การก้าวเดินออกมาของเขาเสมือนดั่งได้เหยียบลงบนหัวใจของทุกคนอย่างนั้น ก้าวนี้ของเขาแข็งแกร่งทรงพลังอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนถึงกับสั่นเทาทีหนึ่ง
ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดสีเหลือง แม้ว่าจะไม่ใชฮ่องเต้องค์หนึ่ง แต่มองดูโดยรอบแล้วจิตแห่งความเป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่ไพศาล เสมือนดั่งเป็นฮ่องเต้องค์หนึ่งนั่นเอง ขณะลืมตาทั้งสองข้างคล้ายทะลุทะลวงสัจธรรมสูงสุดได้อย่างนั้น มีแววตาที่มีพลังสยบจิตวิญญาณของผู้คนได้
ราชันแท้จริงปาเจิ้น… ระดับปรมาจารย์สำนักเจ้าลัทธิจำนวนไม่น้อยร้องผวาออกมาเมื่อมองเห็นชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า กล่าวด้วยความสะดุ้งตกใจว่า ฮ่องเต้ของแค้วนว่านเจิ้น!
ราชันแท้จริงปาเจิ้น! ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่เหม่อลอยขณะมองดูชายหนุ่มผู้นี้ พึมพำขึ้นมาว่า อายุน้อยแต่ยอดเยี่ยมมาก อายุเพียงเท่านี้ก็เป็นถึงราชันแท้จริง มิน่าเล่าจึงเป็นที่เชื่อมั่นของทุกคน มองว่าเป็นผู้ที่มีโอกาสแซงล้ำหน้าฮ่องเต้ไท่ชิงได้มากที่สุดในยุคนี้
ราชันแท้จริงปาเจิ้น… ไม่รู้ว่ามีธิดาศักดิ์สิทธิ์ องค์หญิงจำนวนเท่าไรอดที่จะร้องเสียงแหลมขึ้นมาไม่ได้ เมื่อมองดูชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ขณะที่จ้องมองดูตัวเขานั้น ปรากฎแววตาเสน่หา จิตเสน่หากระเพื่อม หลงใหลและมัวเมา
ราชันแท้จริงปาเจิ้นคือราชันแท้จริงชั้นสองลัคนา เขาคืออัจฉริยะบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุคของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ และมีพรสวรรค์สูงสุดในกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลายเป็นราชันแท้จริงตั้งแต่อายุยังน้อย เวลานี้ได้ทำการบุกเบิกลัคนาได้สองลัคนา กลายเป็นราชันแท้จริงสองลัคนา
แม้ว่าในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มีราชันแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งกว่าราชันแท้จริงปาเจิ้นอยู่ไม่น้อย แต่ว่า เมื่อเทียบกับเทพแท้จริงขั้นอมตะรุ่นอาวุโสแล้ว ราชันแท้จริงปาเจิ้นกลับมีพลังแฝงที่เข็งแกร่งยิ่งกว่า กล่าวได้ว่าพลังแฝงของเขานั้นเหนือและล้ำหน้ากว่าคนอื่นๆ อยู่มากทีเดียว กระทั่งผู้คนจำนวนมากต่างเข้าใจว่า มีความเป็นไปได้ที่ราชันแท้จริงปาเจิ้นอาจจะล้ำหน้ากว่าฮ่องเต้ไท่ชิงได้ในอนาคต
แม้ว่าราชันแท้จริงปาเจิ้นคือฮ่องเต้ของแค้วนว่านเจิ้น และยังเป็นราชันแท้จริงด้วย แต่ว่า ขณะฮ่องเต้ไท่ชิงยังมีชีวิตอยู่นั้น เขาเองก็ไม่กล้าเรียกตัวเองเป็นฮ่องเต้ ต่อหน้าฮ่องเต้ไท่ชิงเขาเรียกตัวเองว่ากระหม่อม
การเรียกตัวเองว่ากระหม่อมต่อหน้าฮ่องเต้ไท่ชิงหาใช่เป็นเรื่องแปลกแต่อย่างไร อย่าว่าแต่ราชันแท้จริงปาเจิ้นที่เป็นราชันแท้จริงสองลัคนาเลย ต่อให้เป็นราชันแท้จริงสี่หรือห้าลัคนาเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ไท่ชิงก็ไม่มีประโยชน์ ฮ่องเต้ไท่ชิงนั้นมีความแข็งแกร่งมากเหลือเกิน เขาข่มกระทั่งตระกูลมู่ และตระกูลหลี่ได้ ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าศักยภาพของเขานั้นน่ากลัวเพียงใดแล้ว
ฮ่องเต้องค์ไหม่ไร้ความสามารถ มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม ก่อกรรมใต้หล้า ฉุดคราหญิงชาวบ้าน ทำร้ายผู้จงรักภักดี ชอบสร้างผลงานฝักใฝ่สงคราม ทำร้ายผู้ยริสุทธิ์ ทำร้ายราษฎร… ในเวลานี้มองเห็นราชันแท้จริงปาเจิ้นที่เหินฟ้าเข้ามา เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า ในฐานะที่เป็นผู้จงรักภักดีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทุกๆ คน ล้วนแล้วแต่มีหน้าที่ปกป้องรักษาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ จะไม่ยอมให้ฮ่องเต้โหดที่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรมทำร้ายใต้หล้าเด็ดขาด!
พลันที่ราชันแท้จริงปาเจิ้นพูดเช่นนี้ออกมา ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ เวลานี้ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า ขณะราชันแท้จริงปาเจิ้นพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาก็คือจะใช้กำลังทหารปราบปรามฮ่องเต้องค์ใหม่ ต่อต้านราชวงศ์โต่วเซิ่น!
ตูม ตูม ตูมท่ามกลางเสียงดังตูมตาม กองทัพของแค้วนว่านเจิ้นพลันปิดกั้นทางหนีของกองทัพทั้งห้าเอาไว้ กลายเป็นการตีขนาบข้างซ้ายขวากับทัพของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ
เกรงว่ากองทัพทั้งห้าต้องจบสิ้นลงแล้ว มีผู้อดที่จะพึมพำขึ้นมาเมื่อมองเห็นกองทัพทั้งห้าถูกข้าศึกล้อมทั้งหน้าทั้งหลัง
เวลานี้ สีหน้าของแม่ทัพทั้งห้าทัพต่างก็หนักแน่นจริงจังยิ่งนัก
ฝ่าบาท แย่แล้ว ในเวลานี้เอง จางเจี๋ยตี้ปรากฏตัวต่อหน้าหลี่ชิเย่เสมือนดั่งสายฟ้าแลบ รายงานสถานการณ์ล่าสุดต่อหลี่ชิเย่ ฝ่าบาท แค้วนว่านเจิ้นส่งทัพร่วมมือกับตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ ตีขนาบซ้ายขวาต่อกองทัพทั้งห้า เกรงว่ากองทัพทั้งห้าจะต้องพ่ายแพ้ราบคาบ…
เจี๋ยตี้ เรื่องนี้มีอะไรไม่ดี และมีอะไรที่น่าตกใจระคนกับแปลกใจ หลี่ชิเย่หัวเราะและส่ายหน้า ไม่ได้ให้ความสำคัญแม้แต่น้อย ยิ้มกล่าวว่า ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่อยู่แล้ว กองทัพหยินมี่ก็ไม่มีแล้ว เวลานี้ไม่สังหารข้ายังจะรออะไรอีก หรือจะรอให้ข้าปีกกล้าขาแข็งแล้วค่อยมาสังหารข้ารึ? แน่นอน ย่อมต้องฉวยโอกาสที่ข้านั่งบัลลังก์ยังไม่ทันมั่นคงดี จัดการสังหารข้าเสียก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน
แต่ว่า ฝ่าบาท หากทัพทั้งห้าสู้ไม่ได้ เกรงว่า… จางเจี๋ยตี้กล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา
ไม่ ฉากเด็ดเพิ่งจะเริ่มต้นนะเนี่ย หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า เจ้าคอยดูต่อไปก็แล้วกัน ยังมีฉากเด็ดที่สนุกและอันตรายมากกว่าจะแสดงแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าจะมีความอดทนไปรอดูหรือไม่
เรื่องนี้… เมื่อจางเจี๋ยตี้เห็นท่าทางของหลี่ชิเย่ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย เขายังจะพูดอะไรได้อีก พลันที่เขาทราบข่าวก็รู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์แย่แล้ว อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ แต่หลี่ชิเย่กลับอย่างไรก็ได้อย่างสิ้นเชิง
ฮ่องเต้องค์ใหม่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม ทำร้ายผู้จงรักภักดี ก่อกรรมกับราษฎร… ขณะที่ทุกคนต่างเข้าใจว่ากองทัพทั้งห้าจะต้องพ่ายแพ้ภายใต้การล้อมปราบของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือกับแค้วนว่านเจิ้นนั้น
แต่ว่า ในเวลานี้เอง แม่ทัพใหญ่ของกองทัพส่วนกลางได้อ่านแถลงการระดมพลปราบปราม ความว่า …ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เป็นของร้อยเผ่าพันสำนัก เป็นของทุกๆ คน ในฐานะที่เป็นทหารคนหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ จะไม่อนุญาตให้มีฮ่องเต้ที่เป็นทรราชมาทำร้ายระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ทรราชใดก็ตามหากเป็นศัตรูกับทั่วหล้า เป็นศัตรูกับอาณาประชาราษฎร์ ล้วนแล้วแต่สมควรถูกปราบปราม…
ในเวลานี้ คำแถลงการณ์ของแม่ทัพใหญ่ของกองทัพส่วนกลางได้ดังก้องไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ และได้แพร่กระจายไปทั่วทุกๆ แคว้นเจ้าลัทธิในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ภายในระยะเวลาอันสั้น
กองทัพใหญ่ทั้งห้าแปรพักตร์! ภายในชั่วข้ามคืน ข่าวที่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวเช่นนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ เสมือนดั่งเป็นพายุฝนฟ้าคะนองที่พุ่งเข้าโจมตีไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่
ไม่รู้ว่ามีแคว้นเจ้าลัทธิจำนวนเท่าไรที่หวั่นไหวหลังจากได้ทราบข่าวนี้แล้ว ไม่รู้ว่ามีระดับปรมาจารย์จำนวนเท่าไรที่รู้สึกใจหายใจคว่ำ
กองทัพใหญ่ทั้งห้าก่อกบฏ ปราบปรามฮ่องเต้องค์ใหม่ เวลานี้ภายในใจของผู้คนจำนวนมากต่างสะดุ้ง เมื่อได้รับทราบคำแถลงการณ์ระดมพลเพื่อปราบปราม ทิศทางลมเปลี่ยนแปลงได้เร็วมากเหลือเกิน จนผู้คนจำนวนมากปรับตัวไม่ทัน
………………………………………….