“ยกทัพบุกโจมตีตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ!” บรรดาแม่ทัพของกองทัพส่วนกลาง กองทัพบูรพา ทักษิณ ประจิม และอุดรที่เป็นกองทัพภาคทั้งสี่ต่างตะลึงตาค้างพูดอะไรไม่ออก
คำสั่งเช่นนี้ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี แม้แต่ขณะฮ่องเต้ไท่ชิงยังมีพระชนม์ชีพอยู่ก็ไม่เคยทำมาก่อน เวลานี้ฮ่องเต้องค์ใหม่เพิ่งจะขึ้นครองราชย์ นั่งบัลลังก์ก้นยังไม่ทันร้อนก็กล้าหาเรื่องตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือที่เป็นหนึ่งในห้าผู้ยิ่งใหญ่ นี่มันเสียสติไปแล้วชัดๆ
“ใต้เท้า นี่คงไม่ใช่เป็นการเข้าใจผิดกระมัง” แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพส่วนกลางอดที่จะเอ่ยขึ้นมาไม่ได้
“นั่นสิ ใต้เท้า นี่มันออกจะเกินไปแล้วกระมัง เพื่อผู้หญิงถึงกับให้พวกเราพี่น้องเป็นล้านไปรนหาที่ตาย ออกจะเหลวไหลเกินไปแล้ว” แม่ทัพของกองทัพบูรพาก็แสดงความไม่พอใจและบ่นอุบขึ้นมา
จางเจี๋ยตี้ทอดถอนในเบาๆ ออกมา วางป้ายพยักฆ์บนโต๊ะ กล่าวเฉยเมยว่า “มิอาจขัดพระบัญชาได้ ใต้เท้าทั้งหลายก็จงทำตามรับสั่งของฝ่าบาทก็แล้วกัน ยกทัพออกไป”
บรรดาแม่ทัพทั้งห้าที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับมองหน้ากันและกัน
“ขออวยพรให้แม่ทัพทั้งห้าประสบชัยชนะ” สุดท้ายจางเจี๋ยตี้ได้กล่าวอวยพรคำหนึ่ง แล้วหันหลังเดินจากไปทันที
“ไร้เหตุผลเหลือเกิน…” เมื่อจางเจี๋ยตี้ได้เดินจากไปแล้ว แม่ทัพทักษิณถึงกับตะโกนเสียงดังและโยนป้ายพยัคฆ์ลงบนโต๊ะอย่างแรง ร้องกล่าวเสียงดังว่า “หรือเขาไม่เข้าใจหรือว่าตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือดำรงอยู่ในสถานะเช่นใด ต่อให้ทัพใหญ่อย่างพวกเราทั้งห้าลงมือก็ไม่เห็นจะมีโอกาสชนะได้! ฮ่องเต้ทรราชนี้บ้าไปแล้วรึ?”
“ระวังคำพูดนะเนี่ย” แม่ทัพประจิมกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา “พวกเรานอกจากจะปฏิบัติตามรับสั่ง ยังจะทำอะไรได้อีก?”
ในเวลานี้ แม่ทัพทั้งห้าได้แต่มองหน้ากันและกันไม่สามามรถทำอะไรได้ คำบัญชาฮ่องเต้ลงมาแล้ว หรือพวกเขาจะขัดราชโองการอย่างนั้นรึ?
ท้ายที่สุด แม่ทัพทั้งห้าต่างส่งเสียงฮึเย็นชาออกมา นำเอาป้ายอาญาสิทธิ์พยัคฆ์แล้วหันหลังจากไปทันที
ตูม ตูม ตูม…ภายในวันเดียวกันนั่นเอง ภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่พลันปรากฎเสียงดังตูมตามขึ้นมาเป็นระลอกไม่ขาดสาย กองทัพใหญ่นับล้านพลันยกกำลังออกไป สร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อฟ้าดินโดยพลัน
กองทัพใหญ่ทั้งห้าเรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของราชวงศ์โต่วเซิ่น ทุกๆ ความเคลื่อนไหวก็จะเป็นที่จับตามองของผู้คน ยิ่งไปกว่านั้น การที่กองทัพทั้งห้าได้ยกออกไปพร้อมกันทั้งห้าทัพ ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ช่างยิ่งใหญ่เพียงใด แล้วจะไม่เป็นที่สนใจของผู้คนได้อย่างไร
“นี่ต้องการทำอะไร?” ทุกคนต่างงงงันโดยสิ้นเชิง เมื่อมองเห็นกองทัพใหญ่ทั้งห้ายกทัพออกไปวันเดียวกัน เรื่องลักษณะเช่นนี้พบเห็นได้น้อยมาก การที่ทัพทั้งห้ายกทัพออกไปพร้อมกันย่อมต้องเป็นเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“สงครามเกิดขึ้นแล้ว ไฟสงครามต้องลามไปทั่ว” แม้ว่าผู้คนจำนวนมากต่างก็ไม่รู้ว่าศัตรูของกองทัพทั้งห้าเป็นใคร และถูกทำให้ตกใจจนงงงันโดยพลัน เวลานี้ต่างก็ตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก
ในขณะนี้ ไม่รู้ว่ามีแคว้นเจ้าลัทธิจำนวนเท่าไรที่ตกใจอย่างยิ่ง เมื่อเห็นกองทัพทั้งห้ายกออกมาพร้อมกัน ในเวลานี้ภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เรียกได้ว่าต่างตื่นตระหนกระคนกับความแปลกใจ ไม่รู้ว่ามีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนเท่าไรที่ตัวสั่นงันงก เนื่องจากการยกทัพออกมาพร้อมกันทั้งห้าทัพใหญ่ ทอดสายตามองออกไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ มีแคว้นเจ้าลัทธิไม่กี่แห่งที่สามารถต้านรับพวกเขาได้
ตูม ตูม ตูม…เสียงตูมตามดังขึ้นมาเป็นระลอกไม่ขาดสาย กับการเดินทัพของกองทัพนับล้าน ฟ้าดินสะเทือนหวั่นไป ธงปลิวสะบัดปกฟ้าบังแสงตะวัน ความยิ่งใหญ่สยบไปล้านลี้ สยบแผ่นดินแคว้นต่างๆ เป็นจำนวนมาก
ยามที่กองทัพใหญ่ทั้งห้าเดินทัพผ่านไป ไม่รู้ว่ามีแคว้นเจ้าลัทธิจำนวนเท่าไรที่ต้องสั่นเทาและหมอบลง ไม่มีศิษย์คนใดกล้าก้าวเท้าออกจากสำนักแม้พียงก้าวเดียว
กองทัพทั้งห้าเดินทัพอย่างรวดเร็วไปตลอดทาง ในไม่ช้า ทุกคนต่างพบว่ากองทัพทั้งห้าเดินทัพไปในทิศทางเดียวกัน นั่นก็คือตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ!
“ยกทัพไปยังตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ…” ในพริบตาเดียวนั่นเอง ทุกคนต่างตระหนักถึงสิ่งใดแล้ว
“แม่เจ้า ฮ่องเต้องค์ใหม่จะลงมือต่อห้าผู้ยิ่งใหญ่แล้วรึ? ด้วยการเริ่มต้นจากตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือรึ?” เวลานี้ ไม่รู้ว่ามีระดับปรมาจารย์สำนักเจ้าลัทธิจำนวนเท่าไรที่ตกใจจนเซ่อไปเลย
ฮ่องเต้องค์ใหม่เพิ่งจะขึ้นนั่งบัลลังก์ ก้นยังนั่งไม่ทันร้อน อำนาจในมือก็ยังกำไว้ได้ไม่มั่นคง ถึงกับส่งกองทัพโจมตีตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ มันช่างบ้าระห่ำเหลือเกิน ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือคือหนึ่งในห้าผู้ยิ่งใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ยากจะจินตนาการได้ว่ามีความแข็งแกร่งปานใด
เวลานี้ฮ่องเต้องค์ใหม่เพิ่งจะขึ้นนั่งบัลลังก์ก็ลงมือจัดการกับตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ มันคือบ้าไปแล้วชัดๆ
ตึง ตึง ตึง…จังหวะที่กองทัพทั้งห้ายังไม่ทันได้รุดไปถึงตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ ภายในตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือก็ได้มีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นมานานแล้ว เพียงชั่วพริบตาเดียว เสียงเตือนภัยได้ดังก้องไปทั่วผืนแผ่นดินนับสิบล้านลี้ในความครอบครองของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ
ตูม ตูม ตูมภายในชั่วข้ามคืน เสียงดังตูมตามดังก้องไปทั่วตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือไม่หยุด การระดมกองทัพจากสถานที่ต่างๆ ไพร่พลนับสิบล้านถูกระดมมุ่งสู่แนวหน้า ในเวลานี้เห็นฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย เสียงฝีเท้าของม้าที่สั่นคลอนพสุธา มองเห็นธงที่ปลิวไสว ปิดแผ่นฟ้าบดบังดวงตะวัน
แม้จะเป็นตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อยเมื่อต้องเผชิญกับห้ากองทัพใหญ่ที่บุกโจมตีตระกูลของตน จึงได้รวบรวมกำลังทหารที่มีอยู่ทั้งหมดของตระกูล ไม่ว่าจะเป็นกองทัพใด หรือศิษย์คนใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่เข้าสู่ลักษณะพร้อมรบในทันที ภายในค่ำคืนเดียว ราษฎรทั่วทั้งตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือล้วนเป็นทหาร สามารถมองเห็นประกายเยือกเย็นที่แวบวับ ส่องสว่างทั่วท้องฟ้า
“แม่ทัพทั้งห้า กองทัพทั้งห้าบุกเข้ามายังดินแดนของพวกเราเพื่อการใดรึ?” ในขณะที่กองทัพทั้งห้ายังไม่ทันบุกไปถึงดินแดนของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ เจ้าบ้านแห่งตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือก็ได้ส่งเสียงผ่านอากาศเอ่ยถามต่อแม่ทัพใหญ่ของกองทัพทั้งห้าแล้ว
“เจ้าบ้านปิงฉือ ท่านรู้แล้วยังแกล้งถาม” แม่ทัพกองทัพส่วนกลางได้ร้องกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือของท่าน หลอกลวงเบื้องสูง ใช้องค์หญิงตัวปลอมแต่งเข้าวัง โทษหนักอภัยให้ไม่ได้ ฝ่าบาทมีบัญชาให้ส่งมอบตัวปิงฉือหานยวี่ คุมตัวเข้าวังปรนนิบัติ และส่งบรรณาการเป็นหญิงงามจำนวนหมื่นคน มิฉะนั้น จะทำลายล้างตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือพวกท่าน!”
สีหน้าของเจ้าบ้านเวลานี้ดูไม่จืดถึงที่สุด เมื่อได้ยินคำพูดของแม่ทัพจากกองทัพส่วนกลาง
ผู้คนจำนวนมากต่างมองหน้ากันและกันเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของแม่ทัพจากกองทัพส่วนกลาง ผู้คนจำนวนมากต่างเคยได้ยินมาว่า หลังจากที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ห้าผู้ยิ่งใหญ่อันมีตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือเป็นต้นจะต้องให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์ และคุณหนูแต่งเข้าวังเพื่อปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาท ไม่นึกเลยว่า ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือถึงกับอาศัยองค์หญิงตัวปลอมแต่งเข้าวังไป
“นี่มันเหลวไหลเกินไปแล้วกระมัง เพื่อผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับก่อศึกสงครามครั้งยิ่งใหญ่แห่งยุคขึ้น” มีเจ้าสำนักที่ถึงกับตะลึงตาค้างพูดอะไรไม่ออก และกล่าวว่า “นี่เท่ากับต้องการทำให้อำนาจฮ่องเต้ของตนต้องสูญเสียไปชัดๆ ผลักดันให้ราชวงศ์ของตนลงไปในเหวลึก ฮ่องเต้เช่น เช่นนี้ออกจะมั่วโลกีย์เกินไปแล้วกระมัง”
“อาศัยกำลังชิงตัวคุณหนูของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ แถมหญิงงามอีกนับหมื่นเป็นเครื่องบรรณาการ นับว่ามั่วโลกีย์ยิ่งเหลือเกิน ฮ่องเต้ที่มั่วโลกีย์และไร้เหตุผลเช่นนี้ เกรงว่าคงยากที่จะหาคนที่สองได้อีกแล้ว” มีระดับปรมาจารย์ของนิกายโบราณอดที่จะหัวเราะเจื่อนๆ ไม่ได้
แต่ก็มีผู้ยิ่งใหญ่บางคนเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้วถึงกับส่ายหน้า และกล่าวว่า “ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือก็บังอาจเหลือเกิน ฮ่องเต้องค์ก่อนเพิ่งจะสวรรคตก็หาญกล้าหน้าไหว้หลังหลอก นี่เท่ากับไม่เห็นฮ่องเต้องค์ใหม่อยู่ในสายตา มิน่าเล่าเขาถึงได้กริ้วนัก”
“กองทัพใหญ่ทั้งห้ารบกับตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ เสือสองตัวสู้กัน ย่อมมีตัวหนึ่งต้องได้รับบาดเจ็บ” และมีผู้ที่ดีใจที่เห็นผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน นั่งบนภูดูเสือกัดกัน คิดจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการสูญเสียทั้งสองฝ่าย
ตูม ตูม ตูมกองทัพใหญ่ทั้งห้าพลันตั้งค่ายขึ้นทันที และเข้าควบคุมสถานการณ์หลังจากที่ไปถึงยังตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือแล้ว พร้อมที่จะเข้าโจมตีต่อตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือได้ทุกเวลา
ท่ามกลางเสียงดังตูม ตูม ตูมที่ดังขึ้นมาเป็นระลอก ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือก็ยกกำลังออกมาทั้งหมด ด้วยการระดมพลนับสิบล้าน ประจันหน้ากับกองทัพใหญ่ทั้งห้าด้านนอกเขตชายแดน
กำลังทั้งสองฝ่ายที่ประจันหน้ากันด้วยจำนวนไพร่พลนับสิบล้าน เมื่อทอดสายตามองออกไปเรียกได้ว่าคราคร่ำไปด้วยผู้คน ค่ายทหารดั่งทะเลที่ท่วมมิดไปแถบหนึ่ง โดยเฉพาะประกายแวบวับจากอาวุธ ประกายเยือกเย็นที่ส่องสว่างไปทั่ว กลิ่นอายการฆ่าที่เย็นยะเยือกและดุเดือดรุนแรง เสมือนดั่งคลื่นที่ซัดเข้ามา ท่วมผืนแผ่นดินจนจมมิด
ในเวลานี้ บรรยากาศเงียบสงัดไปทั่ว กำลังทหารทุกสายต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ ศึกครั้งยิ่งใหญ่กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ตึกเครียด
อย่างไรก็ตาม หลี่ชิเย่ที่อยู่ภายในวังกลับไม่ได้รับรู้ถึงกลิ่นอายการฆ่าที่รุนแรงแม้แต่น้อย เขายังคงสบายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันทั้งวันนอกเหนือจากการฝึกฝนแล้วก็ไม่มีเรื่องอื่นใดอีก เป็นลักษณะที่สมาธิมุ่งมั่นไม่มีสิ่งใดรบกวน กระทั่งไม่ได้ใส่ใจต่อการสู้รบระหว่างกองทัพทั้งห้ากับตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือว่าจะพ่ายแพ้หรือชนะ โดยไม่ได้นำมาใส่ใจเลย
ตรงกันข้ามกับจางเจี๋ยตี้ที่ร้อนรนอย่างยิ่ง เฝ้าสังเกตทุกความเคลื่อนไหวระหว่างกองทัพทั้งห้ากับตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือทุกวินาที ขณะเดียวกันก็เฝ้าสังเกตทุกความเคลื่อนไหวของหอหลินไห่เก๋อ สำนักเสินสิงเหมินที่เป็นห้าผู้ยิ่งใหญ่รายอื่นๆ เรียกได้ว่าจางเจี๋ยตี้นั้นยุ่งจนไม่รู้จักจบจักสิ้น
“ฝ่าบาท…” จังหวะที่หลี่ชิเย่ฝึกยุทธเสร็จสิ้นและเอนนอนพักผ่อนกายาอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ เสียงร้องขอเข้าเฝ้าดังขึ้นมาด้วยท่าทีร้อนรน นางกำนัลไม่สามารถขวางเอาไว้ได้ มองเห็นปิงฉือหยิ่งเจี้ยนวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน
“ฝ่าบาท…” หลังจากพบกับหลี่ชิเย่แล้ว ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนที่สวมชุดกระโปรงได้คุกเข่าลงกับพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรนว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ ความผิดทุกอย่างอยู่ที่ตัวหม่อมฉัน ขอฝ่าบาททรงลงพระอาญากับหม่อมฉัน หม่อมฉันยินดีรับการลงพระอาญาทุกอย่าง”
เมื่อปิงฉือหยิ่งเจี้ยนพลันรู้สึกตกใจอย่างยิ่ง เมื่อได้ข่าวว่ากองทัพทั้งห้าได้บุกโจมตีตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ ดังนั้น นางจึงรีบเร่งรุดมาขอร้องต่อหลี่ชิเย่
“ลุกขึ้นเถอะ” หลี่ชิเย่ยังคงเอนนอนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย เพียงมองหน้าปิงฉือหยิ่งเจี้ยนแวบหนึ่ง
“ฝ่าบาท…” ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนถึงกับร้องอ้อนวอนด้วยการเรียกหาคำหนึ่ง แต่ทว่า หลี่ชิเย่ยังคงนอนหลับตาพักผ่อนกายาอยู่ตรงนั้นไม่ให้ความสนใจ ท่าทางเหมือนหลับไปแล้วอย่างนั้น
ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนร้องอ้อนวอนต่อหลี่ชิเย่ แต่หลี่ชิเย่ไม่หวั่นไหว สุดท้าย นางได้แต่ลุกขึ้นยืน และทิ้งมือข้างตัวยืนอยู่ตรงนั้น
เวลานี้หลี่ชิเย่ได้โบกมือ บรรดานางกำนัลที่คอยรับใช้ปรนนิบัติอยู่ข้างกายต่างทยอยกันล่าถอยออกไป
“ผ่อนคลายเส้นเอ็นให้หน่อย” หลี่ชิเย่ยังคงเอนนอนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย สั่งการออกมาตามอารมณ์
ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนตะลึงนิดหนึ่ง ไม่กล้าพูดอะไร ไปยืนอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่เงียบๆ ทำการนวดไหล่และทุบหลังให้กับหลี่ชิเย่ ขณะที่นวดไหล่ให้กับหลี่ชิเย่นั้นท่วงท่าถึงกับชะงักงันนิดหนึ่ง
แม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงตกยากมานาน แต่ก็ไม่เคยปรนนิบัติผู้ชายมาก่อน และไม่รู้จักปรนนิบัติผู้ชาย
นาทีที่แต่งเข้าวังนั้น นางเองก็เข้าใจแล้วว่าชีวิตของตนนั้นจะไม่เป็นดั่งใจ ดังนั้น จิตใจของนางสั่นเทานิดหนึ่งยังคงเชื่อฟังคำสั่งของหลี่ชิเย่ ทำการผ่อนคลายหัวไหล่และทุบหลังให้กับหลี่ชิเย่ แม้ว่าท่วงท่านั้นจะเก้งก้างไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็พยายามยิ่งที่จะไปปรนนิบัติต่อหลี่ชิเย่
อีกทั้งในเวลานี้ ภายในใจของนางถึงกับสั่นงันงก เกรงว่ามือมารของหลี่ชิเย่จะยื่นมาบนตัวของนางอย่างกะทันหัน
แม้จะกล่าวว่า ในขณะที่ตกลงแต่งเข้าวังนั้น ภายในใจของนางก็ได้มีสำนึกตัวแล้ว และได้เตรียมพร้อมสำหรับนาทีนี้ เพราะว่าสิ่งนี้คือชะตาชีวิตของนาง และก็คือแหล่งพักพิงสุดท้ายของนาง แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ย่อมอดที่จะรู้สึกตัวสั่นงันงกในใจ เฉกเช่นกระต่ายน้อยตัวหนึ่งอย่างนั้น
หลี่ชิเย่เอนนอนอยู่เงียบๆ ปล่อยให้ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนนวดผ่อนคลายไหล่และทุบหลังเหมือนนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น แม้ว่าท่าทางของนางจะไม่เป็นผู้ใหญ่และดูเก้งก้างอย่างยิ่ง ก็ไม่ได้ตำหนิ