หลี่ชิเย่ที่มองดูผลสัจธรรมที่หนักอึ้งลูกนี้แล้ว ถึงกับเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา นี่คือผลสัจธรรมผลที่สองของต้นโลกดึกดำบรรพ์ เขาได้ตั้งชื่อให้กับมันว่า ‘ผลสัจธรรมลูกโอ๊ก’ มันคือผลสัจธรรมที่มีอานุภาพรุนแรงมาก อีกทั้งยังพาลมากอีกด้วย
ได้เวลาผลสัจธรรมผลที่สามแล้วล่ะ ซึ่งจะเป็นหนึ่งอุปสรรคนะเนี่ย หลี่ชิเย่บ่นพึมพำขึ้น ขณะมองดูผลสัจธรรมผลที่สองที่สุกงอมแล้วว่า นี่จะเป็นการเปิดศักราชที่ใหม่ทั้งหมด เมื่อไรที่ผลสัจธรรมผลที่สามสุกงอม ผลสัจธรรมผลต่อๆ มาก็จำเป็นต้องอาศัยขอบเขตที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าไปให้การสนับสนุนแล้ว
เวลานี้ผลสัจธรรมผลที่สองของต้นโลกดึกดำบรรพ์ได้สุกงอมไปแล้ว สมควรแก่เวลาที่ผลสัจธรรมผลที่สามจะถือกำเนิดขึ้นและหลังจากที่มันได้สุกงอมแล้ว ไม่ว่าจะกล่าวสำหรับหลี่ชิเย่หรือว่าต้นโลกดึกดำบรรพ์ก็ตาม สิ่งนี้ล้วนแล้วแต่คือความท้าทายอย่างหนึ่ง
กล่าวสำหรับการริเริ่มที่หลี่ชิเย่ทำให้ต้นโลกดึกดำบรรพ์ได้มีการเริ่มต้นขึ้นนั้น หลังจากที่ต้นโลกดึกดำบรรพ์ได้เติบโตจนกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงใหญ่เทียมฟ้าแล้วนั้น มันจะมีผลสัจธรรมอยู่ในครอบครองถึงสิบสองผลด้วยกัน
ขั้นตอนระหว่างนี้ไม่เพียงเป็นความท้าทายต่อต้นโลกดึกดำบรรพ์กับการที่จะเจริญเติบโตขึ้นเท่านั้น แม้แต่การกำเนิดของผลสัจธรรมทุกๆ ผลก็เป็นความท้าทาย อีกทั้ง การกำเนิดและสุกงอมของผลสัจธรรมแต่ละผล ความกดดันและความท้าทายที่จะต้องเผชิญก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ความกดดันที่ต้องแบกรับต่อผลสัจธรรมที่เพิ่มขึ้นแต่ละผลล้วนแล้วแต่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
จะอย่างไรเสีย ผลสัจธรรมแต่ละผลตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นจนกระทั่งสุกงอม และขณะผลสัจธรรมแต่ละผลที่ห้อยอยู่บนต้น ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องอาศัยพลังโลกดึกดำบรรพ์มาให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ต้องอาศัยพลังโลกดึกดำบรรพ์มาให้การหล่อเลี้ยงอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของผลสัจธรรมผลหนึ่งจึงจำเป็นต้องอาศัยพลัง และกำลังของโลกดึกดำบรรพ์เพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่งมาหล่อเลี้ยงมัน
ขณะเดียวกัน จังหวะที่ต้องหล่อเลี้ยงผลสัจธรรมทุกผลอยู่นั้น ตัวของต้นโลกดึกดำบรรพ์เองยังคงต้องมีการเจริญเติบโต พลัง และพลังชีวิตทุกอย่างล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยพลังที่แข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรของตัวหลี่ชิเย่เองมาให้การสนับสนุน
สิ่งนี้กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว การเปิดระบบการฝึกที่ใหม่ทั้งหมดนั้น ไม่เพียงต้องรับกับแรงกดดันจากพลังสยบจากโลกเก่า ขณะเดียวกันยังจำเป็นต้องอาศัยพลังที่มากพอไปขับเคลื่อนโลกใหม่ที่มีการบุกเบิกขึ้นมา
กล่าวสำหรับตลอดขั้นตอนแล้ว ไม่เพียงต้องอาศัยพลังที่แข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกร ไม่เพียงต้องแบกรับแรงกดดันที่ปราศจากผู้เทียบเทียมเท่านั้น ขณะเดียวกัน ก็ต้องอาศัยจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงเดวงหนึ่งที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง มิฉะนั้นแล้ว ช่วงของการเปลี่ยนผ่านระหว่างโลกใหม่และโลกเก่านั้น ถ้าหากไม่สามารถแบกรับพลังที่ปราศจากสิ่งเทียบเทียมนี้เอาไว้ได้ เมื่อใดที่จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรพังทลายลง ไม่เพียงทำให้สัจธรรมแตกสลายเท่านั้น โครงสร้างของโลกทั้งโลกก็ต้องถูกทำลายจนพินาศย่อยยับ และตัวเองก็ต้องตายพร้อมกับกายเนื้อจิตวิญญาณแตกสลายไป ทั้งผลจากการบำเพ็ญเพียรย่อมสลายไปพร้อมกันด้วย โดยหายวับไปกับตาในชั่วพริบตานับจากนั้นเป็นต้นไป
ถ้าหากว่าตัวตาย และกายเนื้อจิตวิญญาณแตกสลายไป ผลจากการบำเพ็ญเพียรสลายไปพร้อมกันด้วย และหายวับไปกับตาในชั่วพริบตานับจากนั้นเป็นต้นไป สิ่งนี้ยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวมากที่สุด ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เมื่อใดที่จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรสั่นคลอน และตกไปอยู่ในฝ่ายอธรรมนับแต่นั้นเป็นต้นไปล่ะก็ นี่แหละจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุด
สามารถทำลายโลกเก่า เริ่มต้นโลกใหม่ คนผู้นี้จะต้องเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวปราศจากผู้เทียบเทียม ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนก็ต้องเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะยืนอยู่จุดสูงสุด เมื่อใดที่ผู้ดำรงอยู่ในสถานะเช่นนี้ตกไปอยู่ในฝ่ายอธรรม มันจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ส่งผลให้ยุคสมัยดังกล่าวจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกตลอดไป ชีวิตตกต่ำอยู่ในความชั่วร้ายเป็นนิรันดร์
แต่ว่า ต่อให้หลี่ชิเย่ต้องแบกรับกับพลังที่น่ากลัวยิ่งกว่านี้ เขาก็ยังคงสงบนิ่งเหมือนเดิม ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งไม่อาจสั่นคลอนได้
นับแต่อดีตเป็นต้นมา ไม่เพียงแค่การเปลี่ยนทดแทนของยุคสมัย ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นการแทนที่ของศักราชแต่ละศักราช ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาที่ยาวไกลยิ่งนัก มียอดอัจฉระยะบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุคและอยู่ในจุดสูงสุด มีผู้ยิ่งใหญ่ที่มีกล้าหาญเด็ดเดี่ยวปราศจากผู้เทียบเทียม ซึ่งบรรดาผู้ดำรงอยู่ในฐานะเช่นนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ผู้ดำรงอยู่ในสถานะเช่นนี้ล้วนแล้วแต่ปราดเปรื่องน่าทึ่งอย่างยิ่ง อัจฉริยะบุคคบนโลกเทียบกับพวกเขาแล้ว เสมือนดั่งเป็นฝุ่นผงเท่านั้นที่ไร้ค่าคู่ควรจะกล่าวถึง
ท่ามกลางความปราดเปรื่องน่าทึ่งที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองเช่นนี้ หลี่ชิเย่มักจะเทียบกับพวกเขาไม่ได้เสมอๆ แต่ว่าหลี่ชิเย่ กลับมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่งที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้นับแต่อดีตเป็นต้นมา นี่แหละคือต้นทุนที่มากที่สุดของเขา ความมั่นใจที่สูงที่สุดของเขา อนาคตไม่ว่าจะยากเข็ญเพียงใดก็ตามเขาก็สามารถก้าวไปทีละก้าว หนึ่งก้าวหนึ่งฟ้าดิน ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคใดๆ ก็ล้มเขาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติใดๆ ก็สั่นคลอนเขาไม่ได้
เขาก็คือหลี่ชิเย่ จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่งที่ไม่หวั่นไหวนับแต่อดีตเป็นต้นมา!
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว หลี่ชิเย่จึงได้สติกลับมาจากการเข้าฌาน ในเวลานี้แม้ว่าเขาได้เรียกคือนต้นโลกดึกดำบรรพ์แล้ว แต่บนตัวของเขายังคงมีประกายที่แผ่การจายลงมาเล็กน้อย ทุกๆ ประกายเสมือนหนึ่งนำมาซึ่งความหวังที่ใหม่ทั้งหมดให้กับโลกอย่างนั้น เป็นการนำเอาแสงอรุโณทัยที่ใหม่ทั้งหมดให้กับโลกอย่างนั้น
นาทีนี้ ทุกๆ ความเคลื่อนไหวของหลี่ชิเย่ล้วนแล้วแต่ประกอบด้วยพลังที่ทำลายฟ้าดินให้พินาศย่อยยับ มีพลังที่ทำให้ศักราชต้องแตกสลาย
ประกายแสงค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ หลี่ชิเย่เรียกคืนกลิ่นอายที่น่ากลัวปราศจากผู้ต่อกร กลับคืนสู่สภาพดั้งเดิม ค่อยๆ ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนดั่งเป็นก้อนหินที่ซ่อนฝังหยกไว้ภายในซึ่งเป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่ได้ผ่านการแกะสลักแม้แต่น้อย
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้เก็บออกพลังทั้งหมดแล้วถึงกับยิ้มบางๆ ขึ้นมา นาทีนี้ความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของเขานั้นมีเพียงผู้ยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดเท่านั้น จึงสามารถมองเห็นได้บ้าง
ขณะที่หลี่ชิเย่ก้าวเดินออกมาจากห้องด้านใน จางเจี้ยนชวนได้รออยู่ด้านนอกด้วยความเคารพอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้พบกับหลี่ชิเย่พลันรู้สึกดีใจ รีบเร่งเดินเข้าไปหาและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า ฝ่าบาท เจ้าสำนักและบรรดาบรรพบุรุษได้มาเฝ้า
อ้อ มากันไม่น้อยเวลน่ะสิ เมื่อหลี่ชิเย่ได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา
มาไม่น้อยทีเดียว จางเจี้ยนชวนลังเลนิดหนึ่ง สุดท้ายได้เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า ขอฝ่าบาทได้โปรดให้อภัยบ้าง
หลี่ชิเย่มองหน้าจางเจี้ยนชวนทีหนึ่งแล้วถึงกับเผยรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมา กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า พูดแบบนี้แสดงว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแล้วสิ
เรื่อง เรื่อง เรื่องนี้ข้าน้อยแค่คาดเดาสุ่มๆ ไปเท่านั้นเอง จางเจี้ยนชวนหัวเราะแห้งๆ ทีหนึ่ง จากนั้นเอ่ยขึ้นแผ่วเบาว่า ท่านปรมาจารย์ยังคงอยู่ที่เมืองหลวง ข้า ข้าน้อยก็ไม่กล้ายืนยันเอง
แม้ว่าจางเจี้ยนชวนจะพูดเช่นนี้ แต่ ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบระบบข่าวกรองของสำนักเสินสิงเหมิน เรื่องหลายๆ เรื่องเขามักจะไวต่อความรู้สึกอยู่เสมอๆ ดังนั้น เวลานี้เขาสามารถจับอะไรบางอย่างได้อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป อีกทั้งตัวเขาเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
หลี่ชิเย่หัวเราะนิดหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ให้ความสนใจ จางเจี้ยนชวนไม่กล้าพูดอย่างอื่น รีบนำทางให้กับหลี่ชิเย่
เมื่อพวกของหลี่ชิเย่ไปถึงห้องโถงนั้น ที่ห้องโถงได้มีผู้คนนั่งกันอยู่เต็มไปหมด ผู้ที่สามารถนั่งอยู่ในห้องโถงได้ล้วนแล้วแต่เป็นบรรพบุรุษระดับบุคคลสำคัญของสำนักเสินสิงเหมินทั้งสิ้น ยกเว้นบรรดาบรรพบุรุษที่นั่งอยู่ภายในห้องโถงแล้ว ด้านนอกห้องโถงก็มีศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินที่ยืนมือทิ้งข้างลำตัวอีกเป็นจำนวนมาก
ครั้นหลี่ชิเย่มาถึงแล้ว สายตาทุกคนต่างตกไปอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ทันที สายตาที่มองไปบนตัวหลี่ชิเย่ของทุกคนแตกต่างกันไป มีบางคนที่เชิดใส่ มีคนที่เยาะเย้ย และมีคนที่อยากรู้อยากเห็น…
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้มาถึงแล้ว เทียนเฮ่อเจินเหริน เจ้าสำนักเสินสิงเหมินได้ยิ้มพลางแสดงคารวะแบบจีนกับหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า ฝ่าบาท รบกวนการฝึกของท่านแล้ว
ในขณะนี้ เทียนเฮ่อเจินเหรินก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ขนาดใหญ่ เพียงแสดงความเกรงใจต่อหลี่ชิเย่ด้วยการแสดงคารวะแบบจีนเท่านั้น ไม่ได้ลุกขึ้นยืนให้การต้อนรับ
หากเป็นอดีต ขณะหลี่ชิเย่ยังคงเป็นฮ่องแต้องค์ใหม่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่อยู่นั้น พวกของเทียนเฮ่อเจินเหรินต้องคุกเข่าลงกับพื้นในทันที
เพียงแต่ เวลานี้ฮ่องแต้องค์ใหม่กลายเป็นฮ่องแต้สิ้นชาติเสียแล้ว เทียนเฮ่อเจินเหรินก็ดี ระดับบรรพบุรุษของสำนักเสินสิงเหมินก็ช่าง กระทั่งศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินล้วนแล้วแต่ไม่มองฮ่องแต้องค์ใหม่นี้อยู่ในสายตาแล้ว ในสายตาของพวกเขามองว่า ฮ่องแต้องค์ใหม่เป็นเพียงฮ่องแต้สิ้นชาติเท่านั้นเอง เป็นเพียงผู้ที่ไร้ญาติขาดมิตรคนหนึ่ง เป็นฮ่องแต้ชั่วที่ไร้ความสามารถเท่านั้นเอง
หลี่ชิเย่นั่งลงและกวาดสายตามองออกไปยังผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทีหนึ่ง มองเห็นธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาและคุณชายเฮ่อเฟยก็ยืนอยู่ข้างกายของเทียนเฮ่อเจินเหริน
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาเพียงจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยแววตาที่เมินเฉยเท่านั้นเอง และเผยแววตาที่เชิดใส่อยู่บ้าง ส่วนคุณชายเฮ่อเฟยนั้น เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปาก แววตาที่จ้องมองหลี่ชิเย่เผยปณิธานฆ่าออกมา
จางเจี้ยนชวนในเวลานี้ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกแล้ว ยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ ในขณะนี้ต่อให้เขามีใจแต่ก็ปราศจากเรี่ยวแรงอีกแล้ว ไม่เพียงเจ้าสำนักเสินสิงเหมินที่อยู่ ณ ที่ตรงนี้ แม้แต่บรรดาบรรพบุรุษก็อยู่ตรงนี้ด้วย ตัวเขาซึ่งเป็นเพียงศิษย์รุ่นที่สามคนหนึ่ง ดูจะตำแหน่งต้อยต่ำคำพูดไร้น้ำหนักเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าบรรพบุรุษที่อยู่ตรงหน้าเสียแล้ว
มากันหมดแล้ว หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ตรงนั้น ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย
ฝ่าบาทอาศัยอยู่ในสำนักมานาน บรรดาเหล่าบรรพบุรุษก็ไม่ได้พบกับฝ่าบาทเลยสักครั้ง วันนี้จึงพากันมาพบเป็นพิเศษ เทียนเฮ่อเจินเหรินรีบยิ้มกล่าวขึ้นมา
ความจริงแล้ว มีบรรพบุรุษบางคนเคยพบเห็นหลี่ชิเย่มานานแล้ว พวกเขาเคยติดตามเทพวายุไปเฝ้าในขณะที่หลี่ชิเย่ขึ้นครองราชย์ เพียงแต่หลี่ชิเย่ไม่เคยเก็บเอาพวกเขามาใส่ใจ ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องแต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ในวันนั้นแขกเหรื่อมีเป็นจำนวนมาก แล้วจะมีใครไปจดจำแต่ละคนเอาไว้เล่า
ผู้นี้คือบรรพบุรุษเมฆาฟ้าแลบ เป็นผู้ที่มีท่าร่างรวดเร็วที่สุดของสำนักเสินสิงเหมินพวกเรา ผู้นี้คือบรรพบุรุษมังกรเจียวหลงเขาเดียว เป็นบรรพบุรุษผู้รับผิดชอบถ่ายทอดการบำเพ็ญตนของสำนักเสินสิงเหมินพวกเรา ผู้นี้คือบรรพบุรุษสวรรค์ลิขิต เป็นบรรพบุรุษผู้… เทียนเฮ่อเจินเหรินที่มีรอยยิ้มเต็มใบหน้าทำการแนะนำทีละคนๆ ต่อหลี่ชิเย่
เอาล่ะ พิธีการที่ตามมารยาทเช่นนี้ไม่ต้องก็ได้ จังหวะที่เทียนเฮ่อเจินเหรินกำลังทำการแนะนำทีละคนๆ อยู่นั้น หลี่ชิเย่โบกมือกล่าวตัดบทและเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายว่า วิธีการที่จอมปลอมเช่นนี้ไม่ต้องมาแสดงต่อหน้าข้า มีเรื่องอะไรก็รีบว่ามา มีลมรีบผาย ทุกคนต่างก็มีงานยุ่งไม่ต้องอ้อมค้อม
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา พลันทำให้สีหน้าของบรรดาบรรพบุรุษที่อยู่ในเหตุการณ์แปรเปลี่ยนไป มีแววตาของบรรพบุรุษจำนวนไม่น้อยพลันดูน่าเกรงขามทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินที่อยู่ด้านนอก ต่างจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ
ระดับบรรพบุรุษของสำนักเสินสิงเหมินที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่มีฐานะที่สูงส่ง ไม่เพียงแต่ภายในสำนักเสินสิงเหมินพวกเขาเท่านั้น ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมด กระทั่งแดนลัทธิราชันทั้งหมด ก็นับเป็นบุคคลที่มีไม่ธรรมดา
การที่เทียนเฮ่อเจินเหรินทำการแนะนำพวกเขาให้หลี่ชิเย่ได้รู้จักเท่ากับเป็นการให้เกียรติแก่หลี่ชิเย่ เวลานี้หลี่ชิเย่กลับกล่าวตัดบทโดยไม่เกรงใจ เท่ากับไม่ให้เกียรติต่อพวกเขา ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเสียเลย
จะให้สำนักเสินสิงเหมินของพวกเขากล้ำกลืนความอัปยศกับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของพวกเขามองว่า หลี่ชิเย่ในเวลานี้เป็นเพียงผู้ที่ไร้ญาติขาดมิตรคนหนึ่ง ซ้ำยังต้องอาศัยสำนักเสินสิงเหมินของพวกเขามาให้การคุ้มครอง เวลานี้ยังกล้าโอหังอวดดีถึงขนาดนี้!
ในเวลานี้ สายตาจำนวนมากพลันจ้องไปที่ตัวของหลี่ชิเย่ ท่ามกลางแววตาเหล่านี้เปี่ยมด้วยความโกรธ ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งบริเวณพลันกลับกลายเป็นตึงเครียดขึ้นทันที
เรื่องนี้…เทียนเฮ่อเจินเหรินหัวเราะเจื่อนๆ ทีหนึ่ง สายตาเพ่งตรงไปข้างหน้า เวลานี้ตัวเขาที่มีรอยยิ้มเต็มใบหน้าก็ดูจะเริ่มเย็นชาขึ้นมาแล้ว
ในเวลานี้เทียนเฮ่อเจินเหรินได้พยักหน้ากับธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวา
พวกเราที่มาวันนี้มีอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาก้าวเดินออกมา และกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า พวกเรามีความต้องการเพียงหนึ่งเดียว เจ้ามอบสัญญาแต่งงานออกมา ขอเพียงเจ้ายินดีมอบมันออกมา สำหรับเจ้าแล้วเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ไม่มีความเสียหายแม้แต่น้อย