อย่างไรก็ได้ หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ริมหน้าผา ห้อยแกว่งเท้าไปมา สองมือยันกับพื้น มองดูทะเลเมฆที่ล่องลอยอยู่ใต้เท้า
เทพวายุเพียงจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยสายตาเย็นชาทีหนึ่ง ฮ่องเต้ไท่ชิงทรงพระปรีชาเฉลียวฉลาดชั่วชีวิต และปราศจากผู้ต่อกรมาชั่วชีวิต กลับให้กำเนิดลูกชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเช่นนี้ สิ่งนี้นับว่าเป็นจุดด้อยในชีวิตของฮ่องเต้ไท่ชิงกระมัง
เวลานี้เจ้าฝึกยุทธไปถึงขั้นไหนแล้วล่ะ และฝึกเคล็ดวิชาอะไรมาบ้าง? เทพวายุมองหน้าหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมา
ขั้นที่สิบสาม ส่วนเรื่องเคล็ดวิชาน่ะหรือ ก็แค่ฝึกไปตามอารมณ์ ง่ายเกินไปไม่มีความยากอะไรเลย หลี่ชิเย่ตอบตามอารมณ์ขึ้นมา
เมื่อเทพวายุได้ฟังคำเช่นนี้แล้วแทบอยากจะกระอักเลือดออกมา แค่มองเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าหนูคนนี้มีทักษะไม่ถึงไหน แค่ผู้บำเพ็ญตนน้อยที่เพิ่งจะก้าวเข้าไปขั้นต้นเท่านั้นเอง ถึงกับพูดออกมาได้อย่างไม่ละอายว่าเคล็ดวิชาใดๆ ก็ไม่ได้มีความยากอะไร ช่างโง่เขลาและไม่หวาดหวั่นโดยแท้
ไม่มีระดับขั้นที่สิบสาม! เทพวายุพูดเสียงเย็นชาขึ้นมา
อ้อ เช่นนั้นก็ขั้นที่สามก็แล้วกัน หลี่ชิเย่ทำท่ายักไหล่ทีหนึ่ง หัวเราะและกล่าวว่า แต่ว่า คนอย่างข้าชอบขั้นที่สิบสามมาโดยตลอด ตัวเลขสิบสามมีระดับมาก เหมาะกับคนอย่างข้ามาก
เทพวายุเพียงจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยสายตาเย็นชาทีหนึ่ง ถ้าหากเจ้าหนูคนนี้เป็นศิษย์สำนักเสินสิงเหมินพวกเขาล่ะก็ เข้าจะต้องกระทืบเขาตายคาเท้าแน่นอน ทั้งโอหัง ทั้งอวดดี ยิ่งกว่านั้นยังโง่เขลาอีก เจ้าหนูลักษณะเช่นนี้สารเลวชัดๆ
ทำไมรึ เคล็ดลับโต่ว และเจ่อที่เป็นสองเคล็ดลับของราชวงศ์โต่วเซิ่น ลองดูสักหนึ่งไหม? หลี่ชิเย่เหลือบมองเทพวายุทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวขึ้นมา
เทพวายะเพียงเหลือบมองเขาทีหนึ่ง รู้สึกเคืองๆ และกล่าวเยาะเย้ยว่า เคล็ดลับโต่วและเจ่อทั้งสอง? อาศัยเจ้าน่ะหรือก็สามารถเข้าใจและนำมาใช้ได้?
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มีเคล็ดลับอยู่เก้าคำ ได้แก่ หลิน ปิง โต่ว เจ่อ เจีย เจิ้น เลี่ย เฉียน สิง ประโยคดังกล่าวนี้เป็นสุดยอดเคล็ดลับสูงสุด มีตำนานเล่าว่า สุดยอดเคล็ดลับสูงสุดประโยคนี้สร้างขึ้นโดยปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่ แต่ก็มีคนคิดว่าเป้าผูเป็นผู้ทิ้งเอาไว้ให้
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของเคล็ดลับประโยคนี้ โดยอักษรเก้าคำนี้คือรากฐานของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมด
แต่ว่า ไม่มีสำนักใดๆ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่สามารถมีเคล็ดลับเก้าคำนี้อยู่ในความครอบครองอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ สามารถมีคำใดคำหนึ่งก็นับว่าสุดยอดมากแล้ว
เฉกเช่นราชวงศ์โต่วเซิ่น มันมีคำว่า ‘โต่ว และ เจ่อ’ สองคำอยู่ในครอบครอง ดังนั้น จึงได้เรียกตัวเองว่าเป็นราชวงศ์โต่วเซิ่น
หรืออย่างสำนักเสินสิงเหมินของเทพวายุ พวกเขามีคำว่า ‘สิง’ ดังนั้น จึงได้ใช้ชื่อว่าสำนักเสินสิงเหมิน
การทีราชวงศ์โต่วเซิ่นสามารถแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ อาจกล่าวได้ว่าในระดับหนึ่งนั้นเป็นเพราะได้ครอบครอง ‘โต่ว และ เจ่อ’ เคล็ดลับสองคำดังกล่าว
ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นั้น นอกเหนือจากราชวงศ์โต่วเซิ่นแล้ว อีกหนึ่งที่มีเคล็ดลับสองคำอยู่ความครอบครองก็คือวัดจิ้งเหลียนกวาน ส่วนผู้ยิ่งใหญ่รายอื่นๆ เช่น หอหลินไห่เก๋อ ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ แคว้นว่านเจิ้น…ล้วนแล้วแต่มีเคล็ดลับเพียงคำเดียวเท่านั้นเอง
เคล็ดลับโต่ว และเจ่อสองคำนี้คือหนึ่งในรากฐานที่ใหญ่ที่สุดของราชวงศ์โต่วเซิ่น ในราชวงศ์โต่วเซิ่นทั้งหมด ผู้ที่สามารถสัมผัสของเคล็ดลับคำว่าโต่วและเจ่อนั้นมีอยู่ไม่มาก แม้แต่ฮ่องเต้ที่เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวอย่างฮ่องแต้ไท่ชิง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเคล็ดลับโต่ว และเจ่อนี้ให้กับหลี่ชิเย่ได้ตามใจปรารถนาได้
ดังนั้น เฉกเช่นหลี่ชิเย่ที่มีทักษะอ่อนด้อยเช่นนี้ เทพวายุไม่มีทางที่จะเชื่อว่าเขาสามารถเข้าใจและนำเอาเคล็ดลับโต่ว และเจ่อสองคำนี้มาใช้ได้ เกรงว่าแม้แต่โอกาสที่จะได้เห็นยังไม่มี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการฝึกแล้ว
ไม่เชื่อก็ช่างเถอะ หลี่ชิเย่ทำท่ายักไหล่ และยิ้มกล่าวอย่างตามอารมณ์
ก่อนหน้านั้นจะอาศัยอยู่ที่ใด? เทพวายุเอ่ยถามขึ้นขณะจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่
ความจริงแล้ว เทพวายุที่เป็นหนึ่งในห้าปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดก็รุ้สึกแปลกใจในชาติกำเนิดของหลี่ชิเย่ ที่พวกเขาสามารถคาดเดาได้ก็คือ หลี่ชิเย่น่าจะเป็นบุตรนอกสมรสของฮ่องแต้ไท่ชิง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ปัญหาเกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าหากหลี่ชิเย่คือบุตรนอกสมรสของฮ่องแต้ไท่ชิง แล้วมารดาของเขาคือใคร? จะอย่างไรเสียเฉกเช่นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะอย่างฮ่องแต้ไท่ชิง ผู้หญิงที่สามารถเข้าตาเขาได้ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ประเภทสามัญชนทั่วๆ ไป ต้องเป็นผู้มีประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
กระทั่งอาจกล่าวได้ว่า สำหรับบุตรนอกสมรสอย่างหลี่ชิเย่นั้น ภายในใจของห้าปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดก็รู้สึกแปลกใจ
เนื่องจากที่ทุกคนรู้มาก็คือ ฮ่องแต้ไท่ชิงมีบุตรีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือราชันแท้จริงจิ่วหนิง แต่ว่า นั่นมันเป็นเรื่องราวในยุคสมัยที่แล้ว
นับตั้งแต่ราชันแท้จริงจิ่วหนิงไปจากแดนลัทธิราชันแล้ว ฮ่องแต้ไท่ชิงก็ไม่เคยมีบุตรอีกเลย และข้างกายก็ไม่เคยมีผู้หญิง อีกทั้ง ดูจากอายุของหลี่ชิเย่แล้วก็แค่ยี่สิบกว่าเท่านั้นเอง
นี่แหละที่ทำให้ผู้คนคาดเดาว่า ช่วงยี่สิบกว่าปีก่อนหน้านี้ ได้เกิดอะไรขึ้นกับฮ่องแต้ไท่ชิงกันแน่
หล่นลงมาจากฟ้า หลี่ชิเย่ทำท่ายักไหล่และชี้ไปบนฟ้า หัวเราะและกล่าวว่า เจ้าไม่เคยได้ยินลูกรักของสวรรค์รึ? ข้าเป็นคนแบบนี้แหละ เป็นลูกรักของสวรรค์ ดังนั้น แต่ก่อนข้าย่อมอาศัยอยู่บนสวรรค์น่ะสิ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ข้าจะกลายเป็นฮ่องเต้ได้อย่างไรเล่า แล้วกลายเป็นฮ่องเต้โดยพลันได้อย่างไรเล่า ที่มีการพูดกันว่าเป็นโอรสจากการคัดเลือกของสวรรค์ คนที่ถูกพูดถึงนั่นก็คือข้า
พูดเพ้อเจ้อ! เทพแท้จริงขั้นอมตะเช่นเทพวายุก็ถูกเขายั่วโมโหจนบันดาลโทสะไม่เบา อยากจะกระทืบให้แบน กล่าวเสียงเย็นชาว่า โลกนี้ไหนเลยมีโอรสจากการคัดเลือกของสวรรค์กัน!
ก็ข้านี่แหละ หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า วันนั้น ข้าอยู่บนสวรรค์ ทันใดนั้นไม่ทันระวังแล้วตกลงมา เสียงปังดังขึ้นเสียงหนึ่ง ข้ากระแทกเข้ากับกองทัพหยินมี่ พลันที่ฝ่าบาทมาเห็นเข้า ว้าว นี่คือโอรสจากการคัดเลือกของสวรรค์นะเนี่ย จะต้องนำพาความเจริญรุ่งเรืองให้กับราชวงศ์โต่วเซิ่นได้อย่างแน่นอน ดังนั้น จึงแต่งตั้งข้าเป็นรัชทายาททันที และยกแผ่นดินที่ดีงามให้กับข้า
เทพวายุบังเกิดอารมณ์อยากจะฟาดเจ้าหนูที่ไม่เป็นโล้เป็นพายผู้นี้ให้ตายคามือจริงๆ เมื่อได้ยินคำพูดที่เพ้อเจ้อของหลี่ชิเย่ การพูดมั่วเช่นนี้แม้แต่ผีก็ไม่เชื่อ อย่าว่าแต่คนเลย
แต่ว่า เทพวายุไม่รู้จริงๆ ว่า สิ่งที่หลี่ชิเย่พูดมานั้นนับว่าเป็นความจริง ยกเว้น ‘โอรสจากการคัดเลือกของสวรรค์’ คำนี้ที่หลี่ชิเย่เพิ่มเข้าไปแล้ว อย่างอื่นล้วนแล้วแต่เกือบจะตรงตามความเป็นจริง
แล้วทำไมโอรสจากการคัดเลือกของสวรรค์อย่างเจ้าไม่สามารถทำให้แผ่นดินที่ดีงามเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา เทพวายุมองหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา อดที่จะเอ่ยวาจาเยาะเย้ยว่า เวลานี้แผ่นดินที่ดีงามของเจ้าเล่นจนจบแล้ว ดูไปแล้วโอรสจากการคัดเลือกของสวรรค์อย่างเจ้าก็ดูจะไม่ค่อยขลังสักเท่าไร
ข้อนี้เจ้าน่ะไม่รู้อะไรแล้วล่ะ หลี่ชิเย่เหลือบมองหน้าเทพวายุทีหนึ่ง กล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า นี่เป็นความเห็นของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาเช่นเจ้าเท่านั้น เป็นเพียงสามัญชนที่ไม่มีอำนาจ สิ่งที่เห็นมันก็แค่เป็นหมอกหนาทึบเท่านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงภาพที่เกิดจากความรู้สึกเท่านั้นเอง
เทพวายุถูกเจ้าหนูผู้นี้ยั่วโมโหจนบังเกิดอาการอยากจะกระอักเป็นเลือดออกมา ในฐานะที่เป็นหนึ่งในห้าปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุด ฐานะของเขาสูงส่งเพียงใดในสำนักเสินสิงเหมินและระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกตัวสั่นงันงกเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ผู้คนจำนวนเท่าไรกระทั่งไม่กล้าหายใจแรงเมื่ออยู่ต่อหน้าของเขา
แม้แต่เทพแท้จริงขั้นอมตะคนอื่นๆ ก็ต้องให้ความเคารพยิ่งเมื่อมาอยู่ต่อหน้าของเขา
แต่แล้ว เจ้าหนูคนนี้กลับไม่เห็นความสำคัญของเขา ทั้งยังตำหนิเขาเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา เป็นเพียงสามัญชนที่ไม่มีอำนาจ! เรื่องเช่นนี้นอกเหนือจากฮ่องแต้ไท่ชิงแล้ว เกรงว่าในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่คงไม่มีใครกล้าทำ แต่เจ้าหนูคนนี้กลับไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ กล่าวตำหนิต่อหน้าของเขาเลย!
ถ้าเช่นนั้น ข้ากลับอยากจะฟังความเห็นอันสูงส่งของฝ่าบาทแล้ว เทพวายุถูกทำให้โมโหไม่เบาทีเดียว ยิ้มเยาะทีหนึ่ง คำพูดนั้นเปี่ยมด้วยความประชด
ตกลง ในเมื่อเจ้ามีความจริงใจเช่นนี้ ข้าก็จะชี้แนะให้เจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน หลี่ชิเย่ทำเหมือนฟังไม่ออกถึงคำพูดที่ประชดประชัน และเป็นการเสพสุขยิ่งในลักษณะของฮ่องเต้ผู้อยู่สูงเด่นอย่างนั้น
มองเห็นท่าทางของหลี่ชิเย่ที่คิดว่าตนเองเป็นฮ่องเต้ ยังเข้าใจว่าตนเองนั้นสามารถทำได้ทุกอย่าง ทำให้เทพวายุถึงกับยิ้มเจื่อนๆ เจ้าหนูเสียสตินับว่าไม่รู้ตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
เจ้าว่าฮ่องแต้ไท่ชิงนั้นมีความแข็งแกร่งหรือไม่? ปราศจากผู้ต่อกรในยุคนี้หรือไม่? หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
เทพวายุถึงกับตะลึงงันนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ เมื่อได้สติกลับมา จึงพยักหน้าและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า ฮ่องเต้องค์ก่อนมีวิทยายุทธที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร อันดับหนึ่งในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ในแดนลัทธิราชันเองก็ไม่มีผู้ใดเทียบ
คำพูดที่เทพวายุพูดมานั้นเป็นความจริง แม้แต่ผู้ที่มีความแข็งแกร่งเฉกเช่นห้าปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดอย่างพวกเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องแต้ไท่ชิงก็ไม่กล้าทำกำเริบเสิบสานแม้แต่น้อย ฮ่องแต้ไท่ชิงแข็งแกร่งกว่าพวกเขาไม่น้อยทีเดียว
เช่นนั้นเจ้าคิดว่าผลงานของฮ่องแต้ไท่ชิงเป็นอย่างไร? ทอดสายตามองไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มีใครเทียบได้บ้าง? หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
สำหรับคำพูดนี้ เทพวายุทำท่าไตร่ตรองนิดหนึ่ง ยังคงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นธรรมยิ่งว่า หากนับเรื่องผลงาน เกรงว่าในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จะไม่มีผู้ใดเท่า ในประวัติศาสตร์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ผลงานของฮ่องเต้องค์ก่อนไล่ทันฮ่องเต้เจิ้นตี้ ต่อให้ไม่ทันก็คงห่างไม่ไกลนัก
เทพวายระมัดระวังในการเรียบเรียงคำพูด ได้ทำการวิจารณ์ประเมินผลงานของฮ่องแต้ไท่ชิงด้วยความเป็นธรรมยิ่ง
ท่ามกลางระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ แม้ว่าภายในใจของห้าผู้ยิ่งใหญ่จะมากหรือน้อยก็มีความคิดที่จะต่อต้านฮ่องแต้ไท่ชิง แต่ว่า พวกเขาไม่อาจไม่ยอมรับว่า การที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มีศักยภาพเช่นทุกวันนี้ มีฐานะในวันนี้ สามารถต่อต้านกับตระกูลมู่ และตระกูลหลี่ สิ่งนี้ในระดับที่สูงมากเป็นเพราะผลงานของฮ่องแต้ไท่ชิง
เช่นนั้น ถ้าหากข้าเป็นฮ่องแต้ เป็นฮ่องเต้ที่มีคุณธรรม หากพูดถึงเรื่องผลงาน เทียบได้กับฮ่องแต้ไท่ชิงหรือไม่? หลี่ชิเย่เอ่ยถาม
เทพวายุมองหน้าหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง ตอบอย่างมั่นใจว่า ไม่ได้!
ลองนึกดู ผลงานของฮ่องแต้ไท่ชิงสามารถเทียบเคียงกับฮ่องเต้เจิ้นตี้ ช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน เขาคือหนึ่งในราชันแท้จริงที่เจิดจ้าที่สุดและน่าทึ่งที่สุดนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่า ผลงานของฮ่องแต้ไท่ชิงนั้นยอดเยี่ยมเพียงใดแล้ว
แม้ว่าจะบรรลุความสำเร็จถึงขั้นสูงสุดก็ตาม ยังคงต้องมุมานะบากบั่นต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้าเสียอีก เวลานี้ผลงานของฮ่องแต้ไท่ชิง เรียกได้ว่าอยู่เหนือที่สุดในโลกแล้ว ผู้มาทีหลังคิดจะแซงล้ำหน้าก็จะมีความยากเย็นอย่างยิ่ง
ถ้าหากแผ่นดินล่มสลาย แล้วข้าผงาดขึ้นมา กวาดล้างเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน สร้างราชวงศ์ขึ้นใหม่ หมื่นอาณาจักรมาเฝ้า อยู่เหนือหมื่นแดน เจ้าว่าผลงานเช่นนี้เทียบกับฮ่องแต้ไท่ชิงแล้วเป็นเช่นใด? หลี่ชิเย่หัวเราะพลางและเอ่ยขึ้น
พลันที่คำพูดนี้พูดออกมาทำให้เทพวายุถึงกับงุนงง แม้ว่าเขาผู้นี้จะเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่ผ่านอุปสรรคมาจำนวนนับไม่ถ้วน ยังต้องสะดุ้งภายในใจ เนื่องจากความคิดเช่นนี้มันช่างบ้าระห่ำเหลือเกิน!
จังหวะที่เทพวายุยังไม่ทันได้ตอบนั้น หลี่ชิเย่หัวเราะพลางและกล่าวว่า ในเมื่อไม่สามารถทำให้ข้าได้สร้างสุดยอดผลงานขึ้น คงแผ่นดินนี้เอาไว้จะมีประโยชน์อันใด มิเท่ากับเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์กับโอรสจากการคัดเลือกของสวรรค์เช่นข้า
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เทพวายุจึงได้จ้องมองดูหลี่ชิเย่ แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?
เจ้าคิดว่าข้าเสียสติไปแล้วยังล่ะ? หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา
เทพแท้จริงมองดูหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นเอง เขารู้สึกว่าหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้ากับฮ่องแต้ไท่ชิงมีส่วนคล้ายกัน ใช่เป็นการพูดถึงรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาทั้งสอง แต่เป็นการกระทำของพวกเขาทั้งสอง พวกเขาทั้งสองต่างก็เป็นคนบ้า!
ลำพังอาศัยกำลังของเจ้าเพียงคนเดียว คิดจะสร้างแผ่นดินขึ้นมาใหม่ เกรียงไกรทั่วหล้า เกรงว่าคงเป็นความฝันของคนเสียสติมากกว่า เทพวายุเอ่ยขึ้นช้าๆ เว้นเสียแต่เจ้าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าฮ่องแต้องค์ก่อน!
ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ข้ายอมทำหรือไม่ยอมทำเท่านั้นเอง หลี่ชิเย่ที่มองดูทะเลเมฆใต้เท้า กล่าวด้วยท่าทีที่เอ้อระเหยขึ้นมา
………………………………………………..