หลังจากลงบันทึกทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ชายวัยกลางคนผู้นี้ได้ยื่นป้ายไม้ให้หลี่ชิเย่แผ่นหนึ่งเพื่อห้อยไว้ที่เอว และกล่าวว่า “ฝ่าบาท เขาหงฮวงซานอยู่ทางใต้สุดของเขาจิ่วเหลียนซาน ท่านเดินมุ่งหน้าไปทางใต้ตลอดจนสุดทางก็สามารถมองเห็นแล้วล่ะ ภูเขาลูกที่สูงที่สุดซึ่งตั้งอยู่ใต้สุดก็คือเขาหงฮวงซานแล้ว ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับมันก็คือคุกหลวงดึกดำบรรพ์”
กล่าวจบ ยังพูดเสริมขึ้นว่า “ฝ่าบาทอย่าทำป้ายไม้หาย เมื่อมีป้ายไม้นี้แล้วสามารถท่องไปทั่วเขาจิ่วเหลียนซานได้อย่างอิสระเสรี”
ว่าไปแล้วก็นับเป็นเรื่องแปลก ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้มีการตรวจสอบความถูกต้องด้านฐานะของหลี่ชิเย่ และไม่ได้ตรวจสอบว่าหลี่ชิเย่เป็นฮ่องแต้จริงหรือไม่ แต่กลับกำชับหลี่ชิเย่ว่าอย่าทำป้ามไม้สูญหาย นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจจริงๆ
หลี่ชิเย่ยิ้มๆ อำลาชายวัยกลางคนผู้นี้แล้วก็เดินเข้าไปในเขาจิ่วเหลียนซาน จังหวะที่ก้าวเดินเข้าไปในสำนักเขายังได้หันไปเงยหน้ามองดูแผ่นป้ายที่แขวนอยู่บนประตูแผ่นนั้น ถึงกับเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าขึ้นมา
หลี่ชิเย่เดินเข้าไปในประตูของสำนัก จากบริเวณประตูไปยังเขาหงฮวงซานยังมีระยะทางอีกยาวไกล หลี่ชิเย่ไม่ได้รีบร้อนต้องการเร่งเดินทางแม้แต่น้อย แต่เป็นการเดินไปหยุดพักไปพลาง เป็นการชื่นชมทิวทัศน์ที่งดงามของเขาจิ่วเหลียนซานอย่างละเอียดไปในตัว
เขาจิ่วเหลียนซาน คือขุนเขาที่สูงที่สุดเก้าลูกและมีทิวทัศน์ที่งดงามเฉพาะตัว ต่างมีทิวทัศน์ที่งดงามที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง อีกทั้งขุนเขาที่สูงที่สุดทั้งเก้าลูกล้วนแล้วแต่มีทะเลสาบเคียงข้างแห่งหนึ่ง เสมือนดั่งเป็นไข่มุกที่เคียงคู่อย่างนั้น ยิ่งเป็นการทำให้ขุนเขาทั้งเก้าแลดูงดงามมีเพียงหนึ่งไม่มีสองชัดเจนขึ้น อีกทั้งน้ำที่อยู่ในทะเลสาบทั้งเก้ายังมีสีที่แตกต่างกันไปแต่ละแห่ง มีทั้งสีคราม เขียวอ่อน เขียวมรกต…
เรียกได้ว่าเขาจิ่วเหลียนซานงดงามจนชื่นชมกันไม่หวั่นไม่ไหว หุบเขาลึกที่เงียบสงัดและยอดเขาประหลาด ทำให้ผู้ที่มาถึงแล้วถึงกับดูเพลินจนลืมกลับบ้าน
ท่ามกลางเขาจิ่วเหลียนซานที่มีภูเขาสูงตระหง่าน นอกเหนือจากหุบเขาลึกที่เงียบสงัดและยอดเขาประหลาดแล้ว ยังมีตำหนักโบราณและอารามเก่าแก่เป็นหลังๆ บรรดาตำหนักโบราณและอารามเก่าแก่ หอคอยบ้านช่องห้องหอเหล่านี้ บ้างปลูกสร้างเอาไว้บนยอดเขาสูง บ้างปลูกไว้ข้างหน้าผา และบ้างปลูกสร้างอยู่กลางหน้าผาที่สูงชัน…ซึ่งตำหนักโบราณและอารามที่แปลกและเอกลักษณ์เฉพาะเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นทิวทัศน์ที่งดงามที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองของเขาจิ่วเหลียนซานไป
ตำหนักโบราณและอารามเก่าแก่ของเขาจิ่วเหลียนซานมีอยู่จำนวนไม่น้อยที่ว่างไร้ผู้พักอาศัย พื้นที่ทั้งหมดของเขาจิ่วเหลียนซานมีขนาดใหญ่มากเกินไป ตำหนักโบราณและอารามเก่าแก่ที่มีอยู่ในเขาจิ่วเหลียนซานมีจำนวนมากถึงกว่าพันหลัง ขณะที่ศิษย์ของเขาจิ่วเหลียนซานมีจำนวนจำกัด การที่มีตำหนักโบราณและอารามเก่าแก่จำนวนไม่น้อยว่างเปล่าก็นับเป็นเรื่องปรกติ
แม้ว่าตำหนักโบราณและอารามเก่าแก่บางหลังเคยมีผู้พักอาศัยมาก่อน แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าต้องเป็นศิษย์ของเขาจิ่วเหลียนซาน ความจริงแล้วศิษย์ที่มีอยู่ทั่วทั้งเขาจิ่วเหลียนซานไม่ได้มีมากมาย แม้ว่าไม่เคยมีใครทำการรวบรวมเอาไว้อย่างสมบูรณ์ แต่มีผู้กล่าวเอาไว้ว่า ทั่วทั้งเขาจิ่วเหลียนซานมีศิษย์ไม่เกินหนึ่งพันคน
ถ้าหากจะมีสำนักสักแห่งในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมดมีศิษย์อยู่ไม่เกินหนึ่งพันคนล่ะก็ เท่ากับเป็นสำนักที่ไร้อันดับ เฉกเช่นราชวงศ์โต่วเซิ่น สำนักเสินสิงเหมิน ศิษย์ของพวกเขากระจายไปทั่วแผ่นดินมากถึงหลายแสนคน หรือกระทั่งมากกว่านี้
ท่ามกลางเขาจิ่วเหลียนซาน นอกเหนือจากมีศิษย์ของเขาจิ่วเหลียนซานเองที่พักอาศัยอยู่ ยังมีแขกที่เป็นบุคคลภายนอกมาพักอาศัยอยู่ด้วย โดยบรรดาแขกที่เป็นบุคคลภายนอกเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีชาติกำเนิดมาจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งสิ้น
อีกทั้งแขกที่มาพักอาศัยอยู่ในเขาจิ่วเหลียนซานนั้น ส่วนใหญ่จะมีเพียงเป้าหมายเดียว คือ บรรลุสัจธรรม!
บางคนยินดีที่จะมาพักอาศัยอยู่ที่เขาจิ่วเหลียนซานรวดเดียวเป็นเวลาหลายๆ ปี กระทั่งหลายสิบปี หรือหลายร้อยปี พวกเขาที่มาล้วนแล้วแต่ต้องการบรรลุสัจธรรม ส่วนใหญ่แล้วต้องการบรรลุแก่นแท้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ นั่นก็คือเก้าเคล็ดลับ!
ทุกคนใต้หล้าต่างก็รู้ว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มีเก้าเคล็ดลับ แต่ว่า กลับไม่เคยมีสำนักใดๆ สามารถมีเก้าเคล็ดลับที่สมบูรณ์อยู่ในความครอบครอง
เฉกเช่นราชวงศ์โต่วเซิ่น สำนักเสินสิงเหมิน หอหลินไห่เก๋อ…พวกเขาล้วนแล้วแต่ได้ครอบครองเพียงส่วนหนึ่งของเก้าเคล็ดลับเท่านั้นเอง
ในจำนวนนั้น ผู้ที่ได้ครอบครองเก้าเคล็ดลับมากที่สุดก็คือราชวงศ์โต่วเซิ่น กับวัดจิ้งเหลียนกวาน โดยราชวงศ์โต่วเซิ่นได้ครอบครอง ‘เคล็ดลับโต่วมี่’ กับ ‘เคล็ดลับเจ่อมี่’ สองเคล็ดลับ ขณะที่วัดจิ้งเหลียนกวานก็ได้ครอบครอง ‘เคล็ดลับเจียมี่’ กับ ‘เคล็ดลับเลี่ยมี่’ สองเคล็ดลับ สำหรับพวกของสำนักเสินสิงเหมิน พวกเขาแค่ครอบครองเคล็ดลับคนละหนึ่งเคล็ดลับเท่านั้นเอง
มาวันนี้ ต่อให้ราชวงศ์โต่วเซิ่น และวัดจิ้งเหลียนกวานยินดีนำเอาเก้าเคล็ดลับที่ตนครอบครองมาแบ่งปัน ก็ยังคงไม่สามารถรวบรวมได้ครบถ้วนสมบูรณ์อยู่ดี
เนื่องจาก ‘เคล็ดลับเฉียนมี่’ ที่เป็นหนึ่งในเก้าเคล็ดลับนั้นได้หายสาบสูญไปนาน และไม่เคยปรากฎขึ้นมาเป็นเวลานานมากๆ แล้ว
ถ้าหากจะกล่าวว่า มีสถานที่ใดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่สามารถรวบรวมเก้าเคล็ดลับได้ครบถ้วนสมบูรณ์ล่ะก็ คงมีสถานที่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเขาจิ่วเหลียนซาน
เล่าลือกันมาโดยตลอดว่า ในเขาจิ่วเหลียนซานได้ซ่อนเก้าเคล็ดลับเอาไว้ โดยที่ตำนานดังกล่าวไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ อีกทั้งเขาจิ่วเหลียนซานเองไม่เคยปฏิเสธในเรื่องนี้
ดังนั้น จึงมีผู้ที่มายังเขาจิ่วเหลียนซานเพื่อบรรลุสัจธรรมมาโดยตลอด เนื่องจากตามตำนานเล่าว่าเก้าเคล็ดลับถูกซ่อนอยู่ในท่วงทำนองของเขาจิ่วเหลียนซาน ขอเพียงสามารถบรรลุท่วงทำนองของเขาจิ่วเหลียนซาน ก็สามารถบรรลุเก้าเคล็ดลับได้
แม้ว่าไม่มีใครทราบว่าตำนานนี้เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ แต่ยังคงมีผู้ที่เชื่อในตำนานดังกล่าวในพันล้านปีที่ผ่านมา
อีกทั้งในอดีตนานมากที่ผ่านมา ได้เคยมีศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จำนวนมากมาบรรลุสัจธรรมที่เขาจิ่วเหลียนซาน น่าเสียดาย ผู้คนจำนวนมากต่างกลับบ้านมือเปล่าโดยไม่ได้รับอะไรกลับไปเลยแม้แต่น้อย
ลองนึกดู บางคนมาพักอาศัยอยู่ที่เขาจิ่วเหลียนซานรวดเดียวก็คือหลายร้อยปี กระทั่งนานมากว่านี้อีก แต่ก็ไม่ได้รับผลอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว มันช่างเป็นเรื่องที่เสียอารมณ์เช่นใด? เป็นการมาเสียเวลาเปล่า
ดังนั้น จากยุคสมัยแต่ละยุคที่ผ่านพ้นไป ความสนใจที่จะมาบรรลุสัจธรรมที่เขาจิ่วเหลียนซานของทุกคนจึงนับวันยิ่งลดน้อยถอยลง มีผู้มาบรรลุที่เขาจิ่วเหลียนซานน้อยลงเรื่อยๆ
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ยังคงมีศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่เชื่อในตำนานเรื่องนี้ ยังคงมีศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ส่วนน้อยเดินทางมายังเขาจิ่วเหลียนซานเพื่อบรรลุสัจธรรมในทุกปี
ความจริงแล้ว นับแต่อดีตที่ผ่านมา เคยมีผู้คนจำนวนมากที่เคยมาบรรลุสัจธรรมที่เขาจิ่วเหลียนซาน หนึ่งในจำนวนนั้นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดต้องยกให้ราชันแท้จริงเจิ้นตี้ และราชันแท้จริงจิ่วหนิงแล้ว สำหรับราชันแท้จริงเสินสิงนั้นก็เคยมาบรรลุสัจธรรมที่เขาจิ่วเหลียนซานเช่นกัน
ในบรรดาผู้เดินทางมาบรรลุสัจธรรมที่เขาจิ่วเหลียนซานนั้น ผู้ที่เป็นที่วิพากวิจารณ์มากที่สุดในภายหลังต้องยกให้ราชันแท้จริงเจิ้นตี้ และราชันแท้จริงจิ่วหนิง เนื่องจากภายหลังได้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเล่าลือว่าราชันแท้จริงเจิ้นตี้ และราชันแท้จริงจิ่วหนิงคือผู้ที่บรรลุเก้าเคล็ดลับได้ทั้งหมดที่เขาจิ่วเหลียนซาน และพวกเขาได้กลายเป็นสองผู้บรรลุเก้าเคล็ดลับสืบต่อจากปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่ได้
แต่ทว่า เกี่ยวกับตำนานเรื่องนี้นั้น มีทั้งผู้ที่เชื่อและไม่เชื่อ
ในบรรดาคำคาดเดายุคหลังจำนวนมาก เห็นว่าราชันแท้จริงเจิ้นตี้ไม่ได้ฝึกปรือเก้าเคล็ดลับจนครบถ้วนบริบูรณ์ ส่วนราชันแท้จริงเจิ้นตี้สามารถฝึกปรือมาแล้วกี่เคล็ดลับยังคงเป็นปริศนา กระทั่งมีระดับบรรพบุรุษได้กล่าวเอาไว้ว่า เนื่องเพราะราชันแท้จริงเจิ้นตี้ไม่ได้ฝึกเก้าเคล็ดลับจนครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง จึงทำให้เขาสามารถออกจากขอบเขตของเก้าเคล็ดลับ แล้วสร้าง ‘คัมภีร์ไท่ชิงตัน’ ขึ้นมาได้
ดังนั้นระดับบรรพบุรุษจำนวนมากในยุคหลังจึงเชื่อว่า ในประวัติศาสตร์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ยกเว้นปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่แล้ว ผู้ที่ได้ฝึกปรือเก้าเคล็ดลับอย่างครบถ้วนบริบูรณ์มีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือราชันแท้จริงจิ่วหนิง! ”
ในยุคหลังนี้สามารถยืนยันได้โดยสิ้นเชิงก็คือ แรกเริ่มทีเดียวราชันแท้จริงจิ่วหนิงก็ได้ฝึกปรือสี่เคล็ดลับในจำนวนเก้าเคล็ดลับ นอกจาก ‘เคล็ดลับโต่วมี่’ กับ ‘เคล็ดลับเจ่อมี่’ สองเคล็ดลับของราชวงศ์โต่วเซิ่นแล้ว นางยังเคยเขาไปเป็นศิษย์ของวัดจิ้งเหลียนกวาน และได้รับอนุญาตจากวัดจิ้งเหลียนกวานให้ฝึกปรือ ‘เคล็ดลับเจียมี่’ กับ ‘เคล็ดลับเลี่ยมี่’ สองเคล็ดลับที่วัดจิ้งเหลียนกวานมีอยู่ในครอบครอง
ภายหลังเล่าลือกันว่า ราชันแท้จริงจิ่วหนิงได้มาบรรลุเคล็ดลับอื่นๆ อีกห้าเคล็ดลับที่เขาจิ่วเหลียนซานนี่เอง กลายเป็นหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่ได้ฝึกปรือเก้าเคล็ดลับจริงๆ นอกเหนือจากปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่
สำหรับผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะเฉกเช่นราชันแท้จริงเสินสิงก็แค่ได้บรรลุ ‘เคล็ดลับสิงมี่’ เท่านั้นเอง อีกทั้ง ‘เคล็ดลับสิงมี่’ ที่ราชันแท้จริงเสินสิงบรรลุมาได้นั้น มีผู้คิดว่าเขาไปบรรลุได้มาจากเขาจิ่วเหลียนซาน แต่ก็มีผู้กล่าวว่า เขาอาศัยผู้บำเพ็ญตนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทำบรรลุขึ้นมาได้
ไม่ว่าเขาจิ่วเหลียนซานจะซ่อนเก้าเคล็ดลับเอาไว้จริงหรือไม่อย่างไร ยังคงมีศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เดินทางมาบรรลุทุกยุคสมัยที่ผ่านมา
ด้วยเหตุนี้เอง จึงสามารถมองเห็นผู้บำเพ็ญตนบางส่วนที่มาจากแต่ละสำนัก แต่ละที่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ในบรรดาผู้บำเพ็ญตนเหล่านี้มีทั้งระดับบรรพบุรุษ และมีอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ ในบรรดาพวกเขาบางคนมาอาศัยอยู่ที่นี้รวดเดียวหลายร้อยปี และมีบางส่วนอาศัยอยู่เพียงไม่กี่วันก็จากไปอย่างเร่งรีบ
ศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่เดินทางมาบรรลุที่เขาจิ่วเหลียนซานกระทั่งมีจำนวนมากกว่าศิษย์ของเขาจิ่วเหลียนซาน เพียงแต่เขาจิ่วเหลียนซานมีขนาดกว้างขวางใหญ่โตเกินไป การเข้าพักเพิ่มขึ้นอีกหลายพันคนก็ยังคงมีความรู้สึกว่าปลอดผู้คน
ดังนั้น การที่หลี่ชิเย่เดินทางมุ่งหน้าไปทางใต้ตลอดทาง สามารถเจอะเจอผู้คนก็ไม่มาก ต่อให้ได้พบผู้คนแล้วจริงๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นประเภทกักตนฝึกปรือ และหรือประเภทรีบมารีบกลับ จะมีใครบ้างที่ไปให้ความสนใจในตัวของหลี่ชิเย่ที่ดูเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นกันเล่า
หลี่ชิเย่เดินทางมุ่งหน้าลงใต้ตลอดทาง สุดท้ายเดินทางไปถึงเขาหงฮวงซาน ขึ้นไปบนยอดเขา บนยอดเขามีตำหนักศิลาอยู่หลายหลัง โดยที่ตำหนักศิลาเหล่านี้ไม่มีผู้มาพักอาศัยเป็นเวลานานแล้ว ทั่วทั้งเขาหงฮวงซานดูเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก
เขาหงฮวงซานตั้งอยู่ด้านทิศใต้สุดของเขาจิ่วเหลียนซาน และเป็นหนึ่งในขุนเขาที่สูงที่สุด มันสูงเสียดทะลุเมฆา ดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง
แต่ทว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของเขาจิ่วเหลียนซานเอง หรือว่าแขกที่มาบรรลุสัจธรรมก็ตาม มีน้อยคนนักที่ยินดีจะมาพักอาศัยที่เขาหงฮวงซาน
สิ่งนี้นอกเหนือจากเขาหงฮวงซานที่มีความหนาวเย็นมากยิ่งกว่าเขาลูกอื่นๆ อีกแปดลูกแล้ว ที่เขาหงฮวงซานยังมีกลิ่นอายชั่วร้ายที่ทรงพลังยิ่งสายหนึ่ง โดยที่กลิ่นอายชั่วร้ายสายนี้ดุจดั่งทะลุผ่านมาจากยุคดึกดำบรรพ์ที่โบราณยิ่งอย่างนั้น แม้พันล้านปีผ่านไป กลิ่นอายชั่วร้ายสายนี้ยังคงไม่ยอมสลายไป
การอาศัยอยู่บนยอดเขาที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายบีบคั้นเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อการฝึกปรือเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมาบรรลุธรรมที่นี่ด้วยจิตที่สงบได้เลย
การยืนอยู่บนเขาหงฮวงซานแล้วมองไปยังที่ที่ห่างไกล ยามที่มองไปทางด้านทิศใต้ก็จะพบว่า ด้านหลังเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ นี่ก็คือหนึ่งในเก้าทะเลสาบใหญ่ของเขาจิ่วเหลียนซาน มันอยู่เคียงข้างกับเขาหงฮวงซาน ขณะที่ด้านหน้าเป็นเหวลึก
เหวลึกดังกล่าวดูไปแล้วไม่ได้ใหญ่มากเป็นพิเศษ บางทีใช้คำว่าถ้ำยักษ์มาเปรียบอาจจะดูเหมาะสมกว่า
มองดูจากระยะห่างไกล ถ้ำยักษ์นี้เหมือนเป็นปากขนาดใหญ่ปากหนึ่ง เหมือนเป็นมารร้ายตัวหนึ่งที่เพิ่งจะคืบคลานขึ้นมาจากนรกอเวจี หลังจากที่มันขึ้นมาได้แล้วก็อ้าปากกว้างของมันทันที ต้องการกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนพื้นทั้งหมด
การที่เขาหงฮวงซานมีกลิ่นอายชั่วร้ายที่น่าเกรงขามสายหนึ่งก็เพราะมาจากถ้ำยักษ์นี่เอง เหมือนว่าถ้ำยักษ์ดังกล่าวได้พวยพุ่งเอากลิ่นอายชั่วร้ายที่รุนแรงยิ่งขึ้นมาจากส่วนที่ลึกลงไปใต้พื้นดินมากที่สุด และบังเอิญที่กลิ่นอายชั่วร้ายดังกล่าวพุ่งตรงไปยังเขาหงฮวงซาน
สิ่งนี้ถือว่าเป็นความโชคดีที่เขาหงฮวงซานซึ่งสูงตระหง่านทะลุเมฆาได้กั้นขวางกลิ่นอายชั่วร้ายที่มาจากถ้ำยักษ์เอาไว้ มิฉะนั้นแล้ว หากกลิ่นอายชั่วร้ายพุ่งเข้าไปยังเขาจิ่วเหลียนซานล่ะก็ เกรงว่าเขาจิ่วเหลียนซานอาจไม่ได้มีความงดงามเช่นนี้แล้ว เกรงว่าถึงเวลานั้นทั่วทั้งเขาจิ่วเหลียนซานก็จะกลายเป็นดินแดนชั่วร้ายที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายรุนแรง
ขณะเที่ถ้ำยักษ์นี้มีชื่อที่สร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนยิ่ง นั่นคือคุกหลวงดึกดำบรรพ์!
ส่วนที่ว่าเพราะอะไรถ้ำยักษ์นี้ถูกตั้งชื่อว่าเป็นคุกหลวงดึกดำบรรพ์ แต่ไม่เรียกว่าเป็นคุกใต้ดินนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครทราบ เนื่องจากนับแต่มีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ขึ้น ถ้ำยักษ์นี้ก็ได้อยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดมา
อีกทั้ง ในยุคสมัยที่เก่าแก่มากๆ ถ้ำยักษ์นี้ก็มีชื่อว่า ‘คุกหลวงดึกดำบรรพ์’ ไม่เคยมีใครรับรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ตั้งชื่อนี้ให้กับมัน
……………………………………….