ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 2445 ใต้หล้าอยู่ในกำมือ

ตอนที่ 2445 ใต้หล้าอยู่ในกำมือ

จางเจี้ยนชวนถึงกับสะดุ้งในใจเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของหลี่ชิเย่ แม้ว่าเขายังไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด แต่ว่า คำบอกเล่าเช่นนี้ของหลี่ชิเย่เสมือนดั่งได้เปิดหน้าต่างบานหนึ่งออกมาอย่างช้าๆ

 รอบรู้และเข้าใจ ใช้มันอย่างเต็มที่ อนาคตต้องทำการใหญ่ได้สำเร็จแน่นอน  หลี่ชิเย่มองดูจางเจี้ยนชวนทีหนึ่ง กล่าวเฉยเมยว่า  เสียดายมีคลังสมบัติอยู่ แต่กลับไม่มีใครไปใช้มันให้เต็มที่อีกต่อไป 

ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้ ได้มองดูคลังลับที่เต็มไปด้วยตำราตรงหน้า หัวเราะทีหนึ่งและส่ายหน้า

เวลานี้ จางเจี้ยนชวนถึงกับยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น เมื่อค่อยๆ พิจารณาถึงคำพูดของหลี่ชิเย่อย่างละเอียด เหมือนว่าเขาได้ตระหนักเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง

ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมากในอดีต สำนักเสินสิงเหมินของพวกเขาอาศัยการสืบเสาะหาข่าว และการขุดคุ้ยข่าวลับในการก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา กล่าวได้ว่า ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่ง สำนักเสินสิงเหมินพวกเขาอาศัยระบบข่าวกรองที่อยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบ กุมความลับของแดนลัทธิราชันเอาไว้เป็นจำนวนมาก และด้วยเหตุนี้เอง จึงนำมาซึ่งประโยชน์มากมายให้กับสำนักเสินสิงเหมินของพวกเขา

ในยุคสมัยนั้น จังหวะที่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นจำนวนมากนั้น สำนักเสินสิงเหมินของพวกเขาก็สามารถก่อนหน้าผู้อื่นก้าวหนึ่งอยู่เสมอๆ ส่งผลให้สำนักเสินสิงเหมินได้รับผลประโยชน์จำนวนมากจากความไม่สงบหลายครั้งนั่น และทำให้พวกเขาครองความได้เปรียบจากเหตุการณ์ไม่สงบหลายครั้งนั่น

เมื่อเป็นดังนี้ ส่งผลให้สำนักเสินสิงเหมินของพวกเขามีความแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างช้าๆ และก็ได้กลายเป็นหนึ่งในห้าแกร่งในท้ายที่สุด

แต่ว่า จากการที่สำนักเสินสิงเหมินมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จึงมีศิษย์ที่จับงานด้านนี้น้อยลงทุกที และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ข่าวกรองของสำนักเสินสิงเหมินตกต่ำมาก อีกทั้งข่าวลือที่ไม่ได้มีการบันทึกอย่างเป็นทางการและมีน้อยคนที่รู้รวมทั้งตำราโบราณที่มีเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนในคลังลับก็ไม่มีใครไปพลิกเปิดอ่านมันอีกแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไป ก็บ่งบอกว่าความลับที่กุมอยู่ในมือของสำนักเสินสิงเหมินก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ กระทั่งไม่ได้มีความได้เปรียบอีกต่อไป

แน่นอน ระดับบรรพบุรุษจำนวนมากของสำนักเสินสิงเหมินต่างมองว่า อาศัยความแข็งแกร่งในวันนี้ของสำนักเสินสิงเหมินพวกเขา เพียงพอที่จะเกรียงไกรไปทั่วหล้าอยู่แล้ว!

เวลานี้คำบอกเล่าเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ได้ทำให้ภายในใจของจางเจี้ยนชวนพลันรู้สึกตระหนักขึ้นมานิดหนึ่ง เหมือนว่าได้เห็นแสงรำไรท่ามกลางหมอกที่หนาทึบอย่างนั้น พลันจุดติดหัวใจของเขา ทำให้เขาได้มองเห็นแสงสว่างโดยพลัน เหมือนว่าสิ่งนี้ทำให้เขามีทิศทางแล้วอย่างนั้น

ช่วงเวลาผ่านมาที่รั้งอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ ยิ่งทำให้จางเจี้ยนชวนรู้สึกว่าฮ่องเต้องค์ใหม่แตกต่างกับที่เล่าลือกันอย่างสิ้นเชิง ในเวลานี้จางเจี้ยนชวนเหมือนตระหนักถึงอะไรบางอย่างลางๆ มีความเป็นไปได้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ที่ผู้คนบนโลกรู้จักไม่ใช่ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่แท้จริง นั่นเป็นเพียงปรากฎการณ์ลวงตาเท่านั้นเอง

แต่ว่า เพราะอะไรฮ่องเต้องค์ใหม่ต้องให้ผู้คนเห็นปรากฎการณ์ลวงตาเช่นนี้ กระทั่งให้แคว้นล่มสลายแผ่นดินถูกทำลาย ข้อนี้คือสิ่งจางเจี้ยนชวนไม่สามารถเข้าใจได้

การรั้งอยู่ในสำนักเสินสิงเหมินของหลี่ชิเย่กล่าวได้ว่า เสมือนดั่งเป็นพระสงฆ์ที่มีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก อาศัยตะเกียงและตำราโบราณเป็นเพื่อน อีกทั้งยังไม่สนใจเรื่องราวภายนอก กระทั่งขี้คร้านจะเอ่ยถามถึงเรื่องราวที่อยู่ภายนอกสักคำ

 ฝ่าบาทไม่อยากรู้สักนิดเกี่ยวกับสภาพการณ์ของราชวงศ์บ้างเลยรึ?  หลังจากที่เริ่มคุ้นเคยกับหลี่ชิเย่อย่างช้าๆ แล้ว จางเจี้ยนชวนที่มองเห็นหลี่ชิเย่อาศัยตะเกียงและตำราโบราณเป็นเพื่อน ไม่สนใจเรื่องราวบนโลก ถึงกับต้องเอ่ยถามด้วยความสงสัย

เนื่องจากจางเจี้ยนชวนรับผิดชอบด้านระบบข่าวกรองของสำนักเสินสิงเหมิน ดังนั้น จึงมีข่าวคราวจำนวนมากที่ถูกส่งเข้ามาจากภายนอกทุกๆ วัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปจากสำนักเสินสิงเหมิน แต่กลับรู้เรื่องเหตุการณ์ภายนอกมากมาย

 มีอะไรน่าสนใจ  หลี่ชิเย่ยิ้มออกมาตามอารมณ์ และกล่าวว่า  โต่วเซิ่นสูญเสียอำนาจ ทั่วหล้าต่างแย่งชิง แต่ทว่า ไม่ว่าใครก็ไม่ได้มา อาศัยสถานการณ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ในขณะนี้ ใครบ้างสามารถกุมอำนาจใต้หล้าได้ แล้วจะมีใครที่สามารถบัญชาการใต้หล้าได้? 

 สำนักและระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ แค่พื้นๆ ธรรมดาๆ เท่านั้นเอง ผู้ที่สามารถชิงแผ่นดินก็แค่ห้าแกร่งเท่านั้น บวกกับราชวงศ์โต่วเซิ่นที่เรียกว่าหกกองทัพใหญ่นั้นก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว! แต่ว่า ห้าแกร่งก็ดี ราชวงศ์โต่วเซิ่นก็ช่าง ไม่ว่าพวกที่ได้ชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ เทพแท้จริง และหรือปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งห้า มีใครยอมใครที่ไหน? ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำให้ผู้อื่นยอมสยบ อำนาจใต้หล้าได้แต่จับผูกเอาไว้บนหอสูงเท่านั้น และได้แต่เจรจาโดยไม่สามารถคืบหน้าไปได้  หลี่ชิเย่พูดขึ้นตามอารมณ์

ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว มองดูจางเจี้ยนชวนทีหนึ่งและยิ้มกล่าวว่า  ตาเฒ่าฟงช่วงนี้ไม่ได้โผล่หน้ามา คิดว่าคงไปที่วังหลวงกระมัง ช่วงเวลานี้ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสุงสุดทั้งห้าน่าจะแหกปากอยู่ในวังหลวงกันเต็มที่ ต่อให้พวกเขาแหกปากจนเสียงแหบเสียงแห้ง ก็ยังคงไม่มีใครยอมใครอยู่ดี 

คำพูดที่หลี่ชิเย่พูดออกมาตามใจ พลันทำให้จางเจี้ยนชวนสะเทือนหวั่นไหวอยู่ตรงนั้น อ้าปากกว้างค้างอยู่อย่างนั้น เวลานี้ไม่สามารถพูดอะไรออกมา

เนื่องจากหลี่ชิเย่ที่พูดออกมาตามอารมณ์ ก็สามารถพูดถึงสถานการณ์ใต้หล้าได้อย่างชัดเจน และพูดออกมาได้ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย

เป็นดั่งที่หลี่ชิเย่พูดเอาไว้ แม้ว่าแคว้นจะล่มสลาย แผ่นดินถูกทำลาย อำนาจสูงสุดที่ฮ่องเต้ไท่ชิงสร้างไว้พังครืนในชั่วข้ามคืน ทำให้เพียงชั่วข้ามคืนระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ก็ไม่มีเจ้าของ แต่ว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่โดยรวมไม่ว่าใครก็ไม่สามารสยบอีกฝ่าย ไม่เหมือนเช่นฮ่องเต้ไท่ชิงที่สามารถสยบทั่วหล้า และไม่เหมือนฮ่องเต้องค์ใหม่ที่มีอำนาจสืบทอดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ดังนั้น แม้ว่าพวกของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือจะตีวังหลวงจนแตก แต่ว่า ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ได้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถกุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้ตามปรารถนา

เนื่องจากหนึ่งในห้าแกร่งต่างก็ไม่ยอมให้ใครคนหนึ่งคนใดได้กุมอำนาจ เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใต้หล้า ฮ่องเต้ไท่ชิงองค์ที่สองจะไม่ปรากฏอย่างเด็ดขาด สถานการณ์ที่ดีที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ก็คือความสมดุล

ดังนั้น เวลานี้ไพร่พลของแต่ละฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันและกันอยู่ในวังหลวง ห้าแกร่ง ราชวงศ์โต่วเซิ่น กองทัพและสำนักใหญ่ต่างๆ ล้วนปรากฏตัวอยู่ในวังหลวง ทำให้วังหลวงถูกปิดล้อมทั้งนอกและในเอาไว้อย่างหนาแน่น

เวลานี้ บริเวณวังหลวงได้มีกองทัพของห้าแกร่งชุมนุมกันอยู่เป็นจำนวนมาก กระทั่งห้าปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสุงสุดก็อดกลั้นไม่อยู่ ต้องมาควบคุมด้วยตนเอง จะอย่างไรเสียการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจส่งผลกระทบถึงแผนการหมื่นปีของทุกๆ สำนัก จึงไม่มีสำนักหนึ่งสำนักใดยอมพลาดโอกาสนี้ไป ไม่ว่าจะเป็นสำนักเสินสิงเหมิน หรือหอหลินไห่เก๋อ

สำนักเสินสิงเหมินในฐานะหนึ่งในห้าแกร่งย่อมไม่สามารถไม่ปรากฎตัว ด้วยเหตุนี้เองเทพวายุจึงต้องนั่งบัญชาการด้วยตนเองที่วังหลวงเพื่อให้สำนักเสินสิงเหมินมีอำนาจเพิ่มขึ้น

เวลานี้ จางเจี้ยนชวนมองดูหลี่ชิเย่อย่างเหม่อลอย เขาเองนึกไม่ถึงว่าหลี่ชิเย่พูดออกมาตามอารมณ์ก็สามารถทำพูดถึงสถานการณ์ใต้หล้าออกมาได้อย่างชัดเจน อีกทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมาเรียกได้ว่าหลี่ชิเย่ไม่เคยก้าวเท้าออกไปไหนเลย แต่ยังคงเข้าใจสถานการณ์ใต้หล้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ

จางเจี้ยนชวนอุทานด้วยความตื่นตะลึง พูดเสียงแผ่วเบาว่า  ทูลฝ่าบาท ปรมาจารย์ท่านอยู่ที่วังหลวงนั่นเอง 

 ตะกร้าตักน้ำ สุดท้ายไม่ได้อะไรเท่านั้น  หลี่ชิเย่ส่ายหน้าหัวเราะและกล่าวว่า  ห้าแกร่งก็ดี ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสุงสุดทั้งห้าก็ช่าง สักวันก็จะต้องพบว่าเป็นการกระทำที่เหนื่อยเปล่าเท่านั้นเอง แผ่นดินนี้สมควรเป็นของใครยังคงเป็นของผู้นั้น สำหรับคนอื่นๆ ก็แค่ตัวประกอบบนเวที แค่เบี้ยบนกระดานหมากรุกเท่านั้นเอง ผู้ที่สามารถตัดสินที่พักพิงสุดท้ายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่แท้จริงนั้น คือผู้ที่เดินหมากคนนั้น  เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วได้หัวเราะขึ้นมา

จางเจี้ยนชวนฟังด้วยความฉงนสนเท่ห์ อดที่จะถามขึ้นแผ่วเบาว่า  ฝ่าบาท ใครคือผู้ที่เดินหมากคนนั้น? 

 อีกหน่อยเจ้าก็จะรู้เอง  หลี่ชิเย่หัวเราะด้วยท่าทีลึกลับ และกล่าวว่า  ปริศนามักจะอยู่เหนือความคาดคิดอยู่เสมอ เกรงว่าเมื่อมีการเฉลยออกมาแล้วผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่คาดไม่ถึง แต่ว่า มีคำโบราณว่าไว้ดีมาก ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง ใครที่เป็นผู้เดินหมากที่แท้จริงคงพูดยาก คนบางคนเข้าใจไปเองว่าตนเองนั้นเป็นคนเดินหมาก เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตนเองนั้นก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่อยู่บนกระดานเท่านั้น 

ในใจของจางเจี้ยนชวนถึงกับสะท้านทีหนึ่ง แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเข้าใจคำพูดนี้ได้ทั้งหมด และไม่รู้ว่าผู้เดินหมากที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร แต่ว่า เขาเองก็เข้าใจได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก

ตำราที่อยู่ในคลังลับแม้จะมีอยู่มากมาย หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้อ่านไปแล้วจำนวนมาก ก็อ่านดูจนเกือบจะครบแล้ว ข้อมูลข่าวสารที่ควรถูกรีดออกมา ก็ได้ถูกเขารีดออกมาหมดแล้ว เรียกได้ว่าสิ่งที่เขาต้องการได้นั้นโดยพื้นฐานก็เข้าใจหมดแล้ว

 ปฐมบรรพบุรุษพวกเจ้าได้ทิ้งศิลาจารึกไร้อักษรไว้แผ่นหนึ่งมิใช่รึ?  มาวันนี้ หลี่ชิเย่ได้เก็บตำราขึ้น และเงยหน้ามองจางเจี้ยนชวนทีหนึ่ง

จางเจี้ยนชวนพยักหน้าและกล่าวว่า  ถูกต้อง ศิลาจารึกไร้อักษรอยู่ที่ยอดเขาหลักนั่นเอง 

 เอาเถอะ ไปดูสักหน่อย  หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า  สำนักเสินสิงเหมินพวกเจ้าไม่มีอะไรที่น่าดูชมอีกแล้ว ไปดูศิลาจารึกไร้อักษรที่ว่าสักหน่อยว่ามีอะไรที่ยอดเยี่ยมกันแน่ 

จางเจี้ยนชวนถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง เขาปรนนิบัติอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่หลายวัน โดยพื้นฐานแล้วหลี่ชิเย่ไม่เคยก้าวเท้าออกจากบ้าน หรือออกไปสถานที่ไหนๆ ถึงกับต้องการไปดูศิลาจารึกไร้อักษรกะทันหัน ซึ่งทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดคิดอย่างยิ่ง

 ข้าน้อยจะไปเตรียมการให้ฝ่าบาทเดี๋ยวนี้  จางเจี้ยนชวนรีบตอบรับคำหนึ่ง และไปจัดการให้กับหลี่ชิเย่

หลังจากที่จางเจี้ยนชวนจัดการเรียบร้อยแล้วก็ได้นำเดินไปยังยอดเขาปรมาจารย์ให้กับหลี่ชิเย่ทันที เพื่อไปชมศิลาจารึกไร้อักษร

เล่าลือกันว่า ภูเขาปรมาจารย์ของสำนักเสินสิงเหมินเป็นสถานที่ที่ราชันแท้จริงเสินสิงใช้บำเพ็ญเพียร ภายหลังสถานที่แห่งนี้กลายเป็นที่ที่ศิษย์แต่รุ่นของสำนักเสินสิงเหมินมามองปฐมบรรพบุรุษด้วยความเคารพศรัทธา

ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์คือยอดเขาของภูเขาที่สูงที่สุดของสำนักเสินสิงเหมิน สูงตระหง่าน ท่ามกลางภูเขาปรมาจารย์เต็มไปด้วยตำหนักโบราณ แต่ที่ทำให้ผู้คนสนใจยังคงเป็นศิลาจารึกไร้อักษรที่ตั้งอยู่บนยอดเขานั่น

ศิลาจารึกไร้อักษรตั้งอยู่บนยอดเขาบริเวณริมหน้าผาที่สูงชัน เล่าลือกันว่า ศิลาจารึกไร้อักษรแผ่นนี้ราชันแท้จริงเสินสิงเป็นคนตั้งขึ้นมากับมือ อีกทั้งแผ่นศิลาทั้งแผ่นไม่มีตัวอักษรเลย

ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไรราชันแท้จริงเสินสิงจึงได้ตั้งศิลาจารึกที่ไร้อักษรนี้เอาไว้ มีผู้กล่าวเอาไว้ว่า ราชันแท้จริงเสินสิงต้องการทดสอบชนรุ่นหลัง โดยซ่อนเคล็ดวิชาที่ปราศจากผู้ต่อกรเอาไว้ในศิลาจารึก และก็มีผู้ที่กล่าวว่า ศิลาจารึกไร้อักษรนี้เป็นหินอุกาบาตรนอกโลก การที่ราชันแท้จริงเสินสิงนำเอาศิลาจารึกไร้อักษรมาตั้งเอาไว้ที่นี่ก็เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้บรรลุมัน

แต่ทว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักเสินสิงเหมินมา ไม่เคยมีใครสามารถบรรลุศิลาจารึกไร้อักษรแผ่นนี้ได้ หลังจากราชันแท้จริงเสินสิงแล้วสำนักเสินสิงเหมินก็เคยให้กำเนิดราชันแท้จริง และเทพแท้จริงขั้นอมตะที่ปราศจากผู้ต่อกร แต่ว่า กลับยังคงไม่มีสามารถบรรลุอะไรได้จากศิลาจารึกไร้อักษรแผ่นนี้

ภายหลังสำนักเสินสิงเหมินเคยเชิญมู่เส้าเฉิง สุดยอดอัจฉริยะบุคคลแห่งยุคของตระกูลมู่มาบรรลุศิลาจารึกแผ่นนี้ แต่ก็ไม่สามารถทำความบรรลุได้ ดังนั้นศิลาจารึกไร้อักษรแผ่นนี้จึงเป็นปริศนามาโดยตลอด

ไม่มีใครรู้ว่าศิลาจารึกไร้อักษรแผ่นนี้ได้ซ่อนความลับเช่นใดเอาไว้ และไม่มีใครรู้ว่าครั้งนั้นราชันแท้จริงเสินสิงนำเอาศิลาจารึกไร้อักษรแผ่นนี้มาตั้งเอาไว้ที่ตรงนี้มีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่

แม้ว่าไม่มีใครสามารถบรรลุศิลาจารึกไร้อักษรแผ่นนี้มาโดยตลอด แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินเดินทางมาทำความบรรลุ คาดหวังว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นบนตัวของตน

 

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท