“สามารถได้รับคำชื่นชมจากพ่อหนุ่ม ตาเฒ่ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” ผู้เฒ่าได้อัดยาสูบเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ผ่อนลมหายใจออกมาคำหนึ่ง พ่นควันออกมาเป็นวงยาวๆ นั่งสูบยาสูบอยู่ตรงนั้น
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา ผู้เฒ่าก็อดที่จะหัวเราะตามไม่ได้ เหมือนหนึ่งว่าพวกเขาทั้งสองคือสหายเก่าอย่างนั้น
หลี่ชิเย่ยิ้มๆ เดินทอดน่องอยู่ท่ามกลางป่าเขาไปตามใจปรารถนา โดยไม่ได้พูดคุยกับผู้เฒ่าให้มากความอีกต่อไป
ขณะที่หลี่ชิเย่เดินไปเรื่อยๆ เดินไปถึงด้านหน้าของถ้ำยักษ์ ที่ตรงนี้ก็คือปากทางเขาคุกหลวงดึกดำบรรพ์ มองจากปากถ้ำเข้าไปยังด้านใน มองเห็นปากทางเข้าถ้ำที่เชื่อมต่อตรงไปยังใต้พื้นดิน ลึกมากสุดจะหยั่งถึง มองเห็นแต่ความดำขลับ ประดุจดั่งปากทางเข้าถ้ำนี้คือปากทางที่สามารถเชื่อมต่อไปยังทางเข้านรกอเวจีอย่างนั้น
ส่วนที่ลึกเข้าไปของคุกหลวงดึกดำบรรพ์จะมีลักษณะดำขลับ ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นด้านในได้อย่างชัดเจน แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งมากไปกว่านี้และเปิดเนตรฟ้าขึ้น ก็ไม่สามารถส่องตรงเข้าไปยังส่วนลึกของคุกหลวงดึกดำบรรพ์ได้
ความจริงแล้ว ไม่เคยมีใครรู้ว่าภายในคุกหลวงดึกดำบรรพ์มีลักษณะเช่นใดกันแน่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ด้านในเป็นคุกใต้ดินแห่งหนึ่งหรืออะไรกันแน่?
เนื่องจากผู้ที่ถูกขังเอาไว้ในคุกหลวงดึกดำบรรพ์ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถออกมาจากคุกหลวงดึกดำบรรพ์ได้อีก ดังนั้นภายในคุกหลวงดึกดำบรรพ์มีลักษณะเช่นใดกันแน่นั้น ยังคงเป็นปริศนาตลอดมา
หลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่บริเวณปากถ้ำ กลิ่นอายที่ชั่วร้ายและทรงพลังยิ่งสายหนึ่งได้เข้ามาปะทะใบหน้า เสมือนดั่งเป็นพลังที่ทรงพลังยิ่งสายหนึ่ง กลิ่นอายชั่วร้ายทุกๆ สายที่เข้ามาปะทะใบหน้าล้วนแล้วแต่ หมือนดั่งมีดที่คมกริบเล่มหนึ่ง คล้ายสามารถเฉือนเอาเนื้อบนตัวของผู้คนออกมาได้ทีละชิ้นๆ
หลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่บริเวณปากถ้ำ มองดูคุกหลวงดึกดำบรรพ์ที่ลึกจนไม่เห็นที่สิ้นสุด เขาเพ่งสายตาออกไป โดยสายตาของเขาเสมือนดั่งต้องการทะลุผ่านความมืดมิด และตรงไปจนถึงส่วนที่ลึกที่สุดของคุกหลวงดึกดำบรรพ์อย่างนั้น
“ลึกจนมองไม่เห็นส่วนก้นเหว ไม่มีใครรู้ว่ามันลึกแค่ไหน เว้นแต่จะไปด้วยตนเองสักครั้ง” ในเวลานี้เอง ข้างๆ ปรากฏเสียงจิ๊จ๊ะดังขึ้น
ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าได้มานั่งอยู่บนก้อนหินที่อยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว กำลังสูบยาสูบดังฟืดดด ฟืดดด
หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง พยักหน้าและกล่าวว่า “เป็นความจริงที่ลึกไม่เห็นก้นเหว และหรือมันไม่มีก้นเหวอยู่แล้ว แล้วจะมองเห็นก้นเหวได้อย่างไรกันเล่า”
หลี่ชิเย่กล่าวพลางก็ได้นั่งลงบนก้อนหินที่อยู่ข้างๆ ตามอารมณ์ มองดูผู้เฒ่าทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “อาศัยกลิ่นอายชั่วร้ายมาขัดเกลา นับเป็นวิธีที่ไม่เลวอย่างหนึ่ง”
“ข้าก็แค่เป็นคนโง่เขลาคนหนึ่งที่มีวิธีโง่ๆ เท่านั้นเอง” ผู้เฒ่าอัดบุหรี่ดังฟืดดด ฟืดดดเข้าไปหลายที หัวเราะแห้งๆ ส่ายหัวไปมา และกล่าวว่า “ข้าที่เป็นคนหยาบคนหนึ่ง ไม่ได้มีพรสวรรค์อะไร และไม่มีความรู้อะไร เมื่อเปรียบกับพวกอัจฉริยะบุคคลแล้ว เรียกได้ว่ามองไม่เห็นฝุ่น แต่ก็กลับจะชื่นชอบการฝึกอย่างลึกซึ้ง รู้เหตุผลอยู่เพียงข้อหนึ่ง หากอดทนต่อความยากลำบากได้ จึงจะสามารถสำเร็จบริบูรณ์ได้ตามความปรารถนา”
“นี่ถือเป็นทฤษฎีๆ หนึ่ง” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า “ที่ฝึกอยู่นั้นหาใช่เรื่องของทักษะ แต่เป็นการฝึกจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร”
“พ่อหนุ่มชมเกินไปแล้ว” ผู้เฒ่าพุ่นควันเป็นวงกลมออกมา และกล่าวว่า “ทฤษฎีอะไรนั้นตาเฒ่าไม่เข้าใจ เพียงเตือนตนเองว่าอย่าหวั่นไหวเท่านั้นเอง โลกนี้มีวิธีการที่จะขัดเกลาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรมากมาย มนุษย์ปุถุชนธรรมดาก็สามารถทำได้ ตาเฒ่าอย่างข้าแค่คนโง่เขลาใช้วิธีของคนโง่เขลาเท่านั้นเอง หากเปลี่ยนเป็นวิธีการอื่นๆ ตาเฒ่าอย่างข้าก็ไม่อาจหลุดพ้นไปจากความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาไปได้”
“หากเปลี่ยนไปใช้วิธีการอื่นๆ เกรงว่าจะไม่ได้ผลตอบแทนเช่นนี้” หลี่ชิเย่หัวเราะ และสายตาจ้องมองไปที่ปากทางเข้าคุกหลวงดึกดำบรรพ์ เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ยืนหยัดให้ถึงที่สุด แม้กลิ่นอายชั่วร้ายจะทำให้ผู้คนสุดจะทน แต่ทว่าในนั้นนับว่ามีประโยชน์อย่างแท้จริง”
“ถูกต้อง” ผู้เฒ่าก็ไม่ปฏิเสธและยอมรับโดยดุษฎี พยักหน้าและกล่าวว่า “สิ่งนี้นับเป็นผลตอบแทนเหนือความคาดคิด แรกเริ่มทีเดียวตาเฒ่าอย่างข้าหวังเพียงแค่ขัดเกลาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเท่านั้นเอง ไม่นึกว่าจะได้รับผลตอบแทนที่เหนือความคาดคิด”
“หากว่ากันด้วยเรื่องของหลักสัจธรรมจริงๆ นี่แหละคือเส้นทางที่สง่าผ่าเผยอย่างแท้จริง” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “อาศัยจิตค้นหาพระพุทธ ที่ค้นหาคือพระพุทธ สำหรับพระธรรมนั้นเป็นผลตอบแทนนอกเหนือจากหลักสัจธรรม สิ่งนี้ก็คือข้อแตกต่างระหว่างสัจธรรมกับธรรมะ”
พ่อหนุ่มชื่นชมแล้ว” ผู้เฒ่าหัวเราะส่ายหน้า และกล่าวว่า “ตาเฒ่าไม่ได้มีความฉลาดเฉียบแหลมและสายตากว้างไกลถึงเพียงนี้ เพียงจับพลัดจับผลูเท่านั้นเอง นับเป็นโชคดีเหนือความคาดคิด”
หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง มองดูปากทางเข้าคุกหลวงดึกดำบรรพ์ แววตาดูลึกล้ำ สุดท้ายได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “วิธีการเช่นนี้สามารถทำให้เจ้ามีอายุยืน จะจับพลัดจับผลูก็ดี วางแผนเอาไว้แล้วก็ช่าง ล้วนแล้วแต่นับเป็นการเลือกที่ยอดเยี่ยม”
ผู้เฒ่านิ่งเงียบไปพักหนึ่ง หยุดการกระทำต่อกล้องยาสูบที่อยู่ในมือ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ จึงได้ฟืดดด ฟืดดดดูดยาสูบจากกล้องยาสูบ ทำให้ใบยาสูบที่กำลังจะมอดดับไปแดงวูบวาบขึ้นมาดั่งดาวแดงอีกครั้ง
“เป็นเช่นนั้นได้จริง” สุดท้าย ผู้เฒ่าที่พ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นวง พยักหน้า และกล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “ที่ตาเฒ่าสามารถอยู่มาด้วยอายุเพียงนี้ ก็อาศัยวิธีการนี้”
“ดังนั้น ฮ่องแต้ไท่ชิงจึงให้ความสนใจสถานที่แห่งนี้แล้ว” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “สิ่งที่เข้าต้องการหาใช่ของวิเศษใดๆ ที่เขาต้องการคืออายุยืนยาว! ”
ร่างกายของผู้เฒ่าถึงกับหวั่นไหวทีหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ติดตามด้วยการอัดยาสูบดังฟืดดด ฟืดดดจากกล้องยาสูบ โดยไม่พูดออกมาสักคำอีกต่อไป
“อายุยืนยาวน่ะพอแล้ว อายุวัฒนะออกจะโลภเกินไป” หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ผู้เฒ่าได้พ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นวงที่ยาวมาก อดที่จะพึมพำขึ้นมาไม่ได้
คำพูดของผู้เฒ่าที่พูดมาก็มีเหตุผลอย่างยิ่ง ฮ่องแต้ไท่ชิงเป็นฮ่องแต้มาสามยุคสมัย เรียกได้ว่า การที่สามารถมีชีวิตอยู่ในแดนลัทธิราชันรวดเดียวสามยุคสมัยก็นับว่าเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่งแล้ว หากคิดจะมีอายุได้นานมากไปกว่านี้นับว่ายากมากๆ การที่คิดจะมีชีวิตอยู่เช่นนี้ไปต่อไปเรื่อยๆ ในแดนลัทธิราชันนั้น โดยพื้นฐานแล้วเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แว้นแต่เขาได้ขึ้นไปยังแดนลัทธิเซียนแล้ว
“น่าเสียดาย ฮ่องแต้ไท่ชิงกลับไม่สามารถทำความเข้าใจได้” หลี่ชิเย่หัวเราะและเอ่ยขึ้นช้าๆ
“มีใครบ้างในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่สามารถทำความเข้าใจได้จริงๆ เล่า” ผู้เฒ่าได้พ่นควันยาสูบออกมาเป็นวง พึมพำขึ้นมาว่า “ต่อให้บรรลุได้ คิดจะให้ได้มาใช่เป็นเรื่องง่ายดาย ในอดีตเคยมีปรัชญาเมธีมากมายเท่าไรของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เคยทดลองมาแล้ว แม้แต่ระดับปฐมบรรพบุรุษก็เคยทดลองมาแต่ก็ไม่เป็นผล การที่ฮ่องแต้ไท่ชิงคิดจะให้ได้มา เป็นการฝันเฟื่องของคนปัญญาอ่อนเท่านั้นเอง”
“นับว่าตาเฒ่ามีความทะเยอทะยานสูง” หลี่ชิเย่หัวเราะ ส่ายหน้าและกล่าวว่า “เพียงแต่ คนที่จับเข้าไปขังมันก็แค่เตะหมูเข้าปากหมาเท่านั้นเอง”
ฮ่องแต้ไท่ชิงเคยจับเอาศัตรูที่แข็งแกร่งและคนที่สุดโหดไปขังเอาไว้ในคุกหลวงดึกดำบรรพ์ อีกทั้งได้ยืนหยัดทำเช่นนี้มาเป็นเวลายาวนานมาก ต่อมาภายหลังฮ่องแต้ไท่ชิงจำเป็นต้องละทิ้งไป และไม่มีการจับศัตรูที่แข็งแกร่งไปขังเอาไว้ในคุกหลวงดึกดำบรรพ์อีกเลย
“ที่ฮ่องแต้ไท่ชิงทำไปนั้นก็แค่โยนหินถามทางเท่านั้น” ผู้เฒ่าถึงกับพูดขึ้นมาว่า “เพียงแต่ถึงจะโยนผู้คนเข้าไปมากกว่านี้ก็ไม่มีคำตอบกลับมาแม้แต่น้อย และไม่ได้อะไรมาเลยสักอย่าง สุดท้ายก็ต้องเลิกล้มไป”
“ผู้ที่ถูกจับโยนเข้าไปไม่แข็งแกร่งเพียงพอเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง
ผู้เฒ่าถึงกับตะลึงนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ จึงเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ขณะที่ฮ่องแต้ไท่ชิงเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวนั้น เคยจับศัตรูผู้กล้าแข็งโยนเข้าไปจำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วเน้นที่ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะเป็นหลัก ในจำนวนนั้นมีอยู่ห้าคนที่แข็งแกร่งที่สุด”
ครั้นผู้เฒ่าได้เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว อดที่จะมองไปที่ปากทางเข้าคุกหลวงดึกดำบรรพ์ไม่ได้ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ จึงได้กล่าวต่อไปว่า “ผู้คนทั้งห้านี้ไม่ว่าจะด้านชื่อเสียงบารมีหรือว่าด้านกำลัง ไม่เห็นจะด้อยไปกว่าฮ่องแต้ไท่ชิงสักเท่าไร ในจำนวนห้าคนนี้มีผู้แข็งแกร่งสุดอยู่ผู้หนึ่ง”
“แข็งแกร่งถึงระดับไหน? ” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง
ผู้เฒ่ามองดูปากทางเข้าถ้ำด้วยภาพความทรงจำที่ลึกซึ้ง และกล่าวว่า “เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สะเทือนหวั่นไหวในแดนลัทธิราชัน ในขณะนั้นฮ่องแต้ไท่ชิงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาและเคยพ่ายแพ้ให้กับเขา ภายหลังหากไม่เป็นเพราะราชันแท้จริงจิวหนิงลงมอ เกรงว่าฮ่องแต้ไท่ชิงก็คงยากที่จะทำได้ สุดท้าย ตระกูลขุนนางโบราณหลายตระกูลในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้ร่วมมือกัน จึงสามารถจับเป็นตัวเขาเอาไว้ได้ หลังจากที่ฮ่องแต้ไท่ชิงได้จับเป็นมาได้แล้ว ก็ได้จับเขาโยนเข้าไปยังคุกหลวงดึกดำบรรพ์ เสียดาย ยังคงเป็นเหมือนดั่งโยนหินลงทะเล ไม่มีข่าวคราวกลับมาแต่อย่างใด”
“คนผู้นี้คือหนึ่งในระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนลัทธิราชันนะเนี่ย เคยมีชื่อชั้นเสมอด้วยกู่อี้เฟย ยากที่จะหาผู้ใดมาต่อกรกับเขาได้อีกแล้ว” ผู้เฒ่าเอ่ยมาถึงตรงนี้ด้วยท่าทีปลงอนิจจังอย่างยิ่ง
นาทีนี้หากมีบุคคลภายนอกมาได้ยินคำพูดเช่นนี้เข้าล่ะก็ จะต้องสะดุ้งในใจอย่างแน่นอน สมควรทราบว่า การที่ฮ่องแต้ไท่ชิงเป็นฮ่องแต้มาสามยุคสมัย เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวในหล้า ความแข็งแกร่งของเขานั้นย่อมไม่เป็นที่กังขาแล้ว ความกล้าแข็งด้านกำลังของเขา อย่าว่าแต่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เลย แม้แต่ทอดสายตาไปทั่วทั้งแดนลัทธิราชัน ก็ยากจะมีสักกี่คนที่สามารถต่อกรกับเขาได้
กระทั่งมีผู้ที่กล่าวเอาไว้ว่า ในบรรดายอดฝีมือระดับสูงสุดของแดนลัทธิราชันนั้น ฮ่องแต้ไท่ชิงสามารถจัดอยู่ในสามอันดับแรก
เวลานี้ ศัตรูผู้กล้าแข็งผู้นี้แม้แต่ฮ่องแต้ไท่ชิงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ กระทั่งต้องทุ่มสรรพกำลังในแดนลัทธิราชัน จึงสามารถจับเป็นตัวเขาได้ ช่างเป็นศัตรูผู้กล้าแข็งน่ากลัวเช่นใด
แต่ทว่า แม้แต่ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งเพียงนี้ เมื่อถูกจับโยนเข้าไปในคุกหลวงดึกดำบรรพ์แล้วยังคงไร้ซุ่มไร้เสียง ยังคงไม่มีข่าวคราวใดๆ และไม่สามารถมีชีวิตรอดออกมาจากคุกหลวงดึกดำบรรพ์ได้ เหมือนว่าเป็นการตายอย่างไร้ที่ฝัง ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าคุกหลวงดึกดำบรรพ์นั้นมีความน่ากลัวเช่นใด
“ยังคงอ่อนเกินไป” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง กล่าวเฉยเมยว่า “หากโยนระดับปฐมบรรพบุรุษคนหนึ่งเข้าไป บางทีอาจมีผลอยู่บ้าง ที่เหลือนอกเหนือจากนี้แค่ไปรนหาที่ตายเท่านั้นเอง เตะเนื้อเข้าปากหมา ไปแล้วไปลับ”
ผู้เฒ่าถึงกับตะลึงงันเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ เวลานี้ก็ไม่สามารถต่อคำขึ้นมาได้
จะมีสักกี่คนบนโลกนี้ที่สามารถจับตัวปฐมบรรพบุรุษโยนเข้าไปในคุกหลวงดึกดำบรรพ์ได้ ยกเว้นตัวของปฐมบรรพบุรุษเอง มิฉะนั้นแล้ว คนอื่นคิดจะจับปฐมบรรพบุรุษโยนเข้าไปในคุกหลวงดึกดำบรรพ์ล่ะก็ มันยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก
“มิน่าเล่า” สุดท้าย ผู้เฒ่าได้ฟืดดด ฟืดดดดูดกล้องยาสูบไปหลายอึก พ่นควันบุหรี่เป็นวงออกมาวงหนึ่ง พึมพำว่า “มิน่าเล่า แม้แต่ปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่ก็ทำไม่สำเร็จ คนอื่นๆ ทำได้แค่ฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น”
ในยุคสมัยที่ยาวไกลมาก ปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่ก็เคยทดลองหยั่งเชิงต่อคุกหลวงดึกดำบรรพ์มาเช่นกัน เสียดายก็ไม่ได้ผลแต่อย่างใด เนื่องจากแม้ตัวเขาที่เป็นถึงระดับปฐมบรรพบุรุษ ก็ไม่เห็นจะยินดีเข้าไปในปฐมบรรพบุรุษด้วยตัวเองสักครั้ง
จะอย่างไรเสีย แม้จะกล่าวสำหรับระดับปฐมบรรพบุรุษ เมื่อไรที่ก้าวเท้าเข้าไปยังคุกหลวงดึกดำบรรพ์ก็หาใช่เป็นเรื่องดี ต่อให้สามารถเอาตัวรอดกลับมาจากคุกหลวงดึกดำบรรพ์ เกรงว่าก็ต้องแลกด้วยค่าตอบแทน
“เรื่องราวในโลกไม่สามารถสมบูรณ์แบบไปทุกอย่างอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง หันหลังเดินจากไป กลับไปยังเขาหงฮวงซาน
เมื่อผู้เฒ่าเห็นหลี่ชิเย่เดินจากไปก็ได้เคาะเอาเถ้ายาสูบออกจากกล้องยาสูบ เก็บกล้องยาสูบขึ้น นำเอามีดผ่าฟืนเหน็บเอว แบกฟืนมัดใหญ่ที่ตัดเอาไว้เต็มเปี่ยม ก้าวเดินออกไปด้านนอก
ผู้เฒ่าจะมาตัดฟืนที่ตรงนี้ทุกวัน และนำฟืนที่ตัดได้แบกไปขายภายในเมือง เพื่อแลกกับข้าวสารและเกลือ จากนั้นก็จะกลับมาที่เขาจิ่วเหลียนซาน เหมือนว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์
“เดิมข้าเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ไม่ขึ้นไปยังตำหนักเซียน…” ในเวลานี้ เขาจิ่วเหลียนซานได้ปรากฏเสียงเพลงที่เปี่ยมด้วยพลังของผู้เฒ่าที่ดังก้องกังวานไปทั่ว เหมือนว่าเสียงเพลงดังกล่าวได้กลายเป็นจงหวะที่นิรันดร์ของเขาจิ่วเหลียนซาน ไปแล้ว เหมือนว่าอีกหนึ่งร้อยปีผ่านพ้น เสียงเพลงดังกล่าวนี้ยังคงดังก้องอยู่ท่ามกลางเขาจิ่วเหลียนซาน