หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้ไปจากสำนักเสินสิงเหมินแล้วก็เดินทางมุ่งหน้าลงใต้โดยตลอด ข้ามเขาข้ามน้ำก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ โดยไม่ได้เร่งรีบในการเดินทาง ชื่นชมกับทิวทัศน์งดงามไปตลอดทาง
ยุคสมัยที่มีการก่อตั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นั้นยาวนานมากเหลือเกิน หลังจากผ่านการตกผลึกมายุคสมัยแล้วยุคสมัยเล่าแล้วนั้น ภาพโดยรวมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ไหนเลยจะเป็นเพียงซ่อนความยิ่งใหญ่เอาไว้ภายในเท่านั้น แต่มันได้พัฒนาตนไปอีกขั้น ความลึกล้ำของต้นกำเนิดสัจธรรมนั้นยากที่จะคาดเดาได้อีกแล้ว
ยากนักกับการที่จะรับรู้ได้ถึงท่วงทำนองแบบนั้นของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิ ในการก้าวเดินอยู่บนผืนแผ่นดินของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ยากที่จะรับรู้ถึงทำนองจังหวะจากผืนแผ่นดินทุกตารางนิ้ว เหมือนว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เป็นเพียงฟ้าดินธรรมดาๆ เท่านั้นเอง โดยไม่เหมือนดั่งเช่นระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิอื่นๆ ที่ได้รวบรวมพลังน่าเกรงขามที่ไม่มีสิ้นสุดเอาไว้ต้านใต้ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิ ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้กลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมไปแล้ว
แม้ว่าจะเคยมีผู้กล่าวเอาไว้ในห้วงพันล้านปีที่ผ่านมาว่า ทุกยุคสมัยที่แล้วมาล้วนแล้วแต่เคยมีผู้ที่สามารถควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ แต่ว่านั่นเป็นเพียงแค่ผิวเผินของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เท่านั้นเอง
กระทั่งมีผู้ที่คาดเดาว่า นอกเหนือจากจำนวนที่เป็นส่วนน้อยมากๆ แค่ไม่กี่คนนั้นในรอบพันล้านปีที่ผ่านมาแล้ว ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ไม่มีผู้ที่สามารถควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่หนึ่งหรือสองส่วนได้อีกแล้ว สำหรับพลังที่สมบูรณ์แบบของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นั้น เล่าลือกันว่าเว้นแต่ปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมได้อีกแล้ว
กระทั่งเคยมีผู้กล่าวเอาไว้ว่า ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ในยุคหลังมานี้ไม่มีผู้ที่สามารถควบคุมต้นกำเนิดสัจธรรมทั้งหมดได้อย่างแท้จริงอีกแล้ว ต่อให้เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ หรือราชันแท้จริงที่ปราศจากผู้ต่อกรที่มีความปราดเปรื่องน่าทึ่งมากกว่านี้ก็ไม่สามารถทำได้
อีกทั้งในรอบพันล้านปีที่ผ่านมานั้น ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้กลายเป็นปริศนาไปเสียแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่อยู่ที่ใดกันแน่ ทุกคนรู้แต่เพียง ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ยังคงอยู่ในผืนแผ่นดินของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เท่านั้นเอง
หลี่ชิเย่มุ่งหน้าเดินทางลงใต้โดยตลอด สุดท้ายได้ไปหยุดอยู่ตรงด้านหน้าของภูเขาลูกหนึ่ง ที่ตรงนี้มีกลุ่มของภูเขาที่ล้อมรอบประดับตกแต่ง มีเทือกเขาที่ขึ้นลงสลับ ที่ตรงนี้เสมือนดั่งเป็นทะเลที่เขียวมรกต ทั่วฟ้าดินตลบอบอวลไปด้วยพลังชีวิตที่สดใหม่น่าเกรงขามสายหนึ่ง
‘เขาจิ่วเหลียนซาน’ หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มบางๆ ขึ้น ขณะมองดูเทือกเขาที่ขึ้นลงสลับต่อเนื่องกันไปตรงหน้า เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “จะดูว่าที่ตรงนี้สามารถค้นพบสิ่งที่ต้องการหรือไม่ จะอย่างไรเสียจิ่วมี่ก็คือศิษย์ของเป้าปู๋”
หลี่ชิเย่ถึงกับหรี่ตาทั้งสองข้างทีหนึ่ง เผยรอยยิ้มเต็มใบหน้า มองดูเขาจิ่วเหลียนซานตรงหน้าที่ดั่งทะเลเขียวมรกต ตลบอบอวลไปด้วยพลังชีวิตที่ไม่มีสิ้นสุด
เขาจิ่วเหลียนซานคือสถานที่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ กระทั่งคือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในทัศนะคติของผู้คนจำนวนไม่น้อย
ถ้าหากยืนอยู่บนท้องฟ้าสูงแล้วมองลงไปด้านล่างล่ะก็ สามารถมองเห็นเขาจิ่วเหลียนซานที่งดงามอย่างยิ่ง มองเห็นภาพของเขาจิ่วเหลียนซานที่มีภูเขาล้อมรอบประดับตกแต่ง ในบรรดาภูเขาทั้งหมดมีอยู่เก้าลูกที่มียอดเขาสูงสุด ภูเขาทั้งเก้าลูกล้อมรอบเป็นวงกลม เมื่อมองจากที่สูงลงมาก็คล้ายดั่งเป็นส่วนแหลมของยอดทั้งเก้าของมงกุฎอย่างนั้น
ขณะที่ท่ามกลางภูเขาที่ล้อมรอบนั้น มีทะเลสาบขนาดที่ใหญ่มากอยู่เก้าแห่ง ทะเลสาบทุกแห่งต่างมีสีของน้ำที่แตกต่างกันออกไป ถ้าหากมองจากบนท้องฟ้า มันประดุจเป็นอัญมณีเก้าเม็ดที่มีการฝังเลี่ยมเอาไว้บนมงกุฎอย่างนั้น เมื่อเป็นดังนี้แล้ว จึงทำให้ภาพรวมของเขาจิ่วเหลียนซานงดงามยิ่งนัก
หากจะกล่าวว่า ภูเขาทั้งเก้าที่ล้อมรอบเป็นวงกลมนั้น แลดูเหมือนเป็นมงกุฎกษัตริย์ล่ะก็ ลองทอดสายตามองออกไปให้มันไกลกว่านั้นสักนิด เมื่อมองจากระยะห่างไกลก็จะพบว่า เทือกเขาจิ่วเหลียนซานที่ทอดยาวต่อเนื่องนับหมื่นลี้นั้นไม่ได้เหมือนมงกุฎ แต่เหมือนลวดโลหะที่มีขนาดยาวมากๆ เส้นหนึ่งมากกว่า ขณะที่ภูเขาทั้งเก้า และทะเลสาบทั้งเก้านั้นเป็นเพียงกระดิ่งทั้งเก้าที่ประดับอยู่บนลวดโลหะเส้นนั้นเท่านั้นเอง
หลี่ชิเย่ที่มีทีท่ายิ้มๆ ได้ก้าวเดินเข้าไปยังเขาจิ่วเหลียนซาน พลันที่เหยียบย่างเข้าไปยังเขาจิ่วเหลียนซานก็จะรับรู้ได้ทันทีถึงไอเย็นสายหนึ่งที่เข้ามาปะทะใบหน้า เมื่อต้องเผชิญกับไอเย็นลักษณะเช่นนี้แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง จากนั้นใช้ปลายลิ้นแตะที่เพดานก็จะรู้สึกถึงรสชาติที่หวานมัน ขณะที่ท่ามกลางรสชาติที่หวานมันก็เปี่ยมด้วยกลิ่นอายของทะเล
นี่เป็นเรื่องที่อัศจรรย์ เขาจิ่วเหลียนซานคือกลุ่มของขุนเขาที่ขึ้นลงสลับ กลับสามารถลิ้มลองรสชาติออกมาเป็นกลิ่นอายของทะเลได้ ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเลยจริงๆ
“น่าสนใจจริงๆ จิ่วมี่ในครั้งนั้นได้หลอมกลั่นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหนนะเนี่ย” หลี่ชิเย่หัวเราะพลางและเอ่ยขึ้น แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป
แม้จะกล่าวว่า เขาจิ่วเหลียนซานจะประกอบด้วยเหล่าขุนเขาที่ขึ้นลงสลับ ภูเขาที่สูงตระหง่าน แต่ทว่า เขาจิ่วเหลียนซานใช่ว่าจะปราศจากผู้คนเลยสักทีเดียว กระทั่งเรียกได้ว่าเขาจิ่วเหลียนซานหาใช่เป็นชื่อที่ใช้เรียกเทือกเขาเทือกหนึ่งเท่านั้น
เขาจิ่วเหลียนซานก็เป็นหนึ่งในสำนักที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการสืบทอดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เช่นเดียวกัน ทั้งยังเป็นสำนักที่เก่าแก่โบราณและลึกลับมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ กระทั่งมีผู้กล่าวเอาไว้ว่า เขาจิ่วเหลียนซานก็คือสำนักที่เป็นสายตรงซึ่งจัดตั้งและสืบทอดต่อกันมาโดยปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่
เขาจิ่วเหลียนซานเองไม่เคยปฏิเสธ และยอมรับสำหรับคำกล่าวลักษณะเช่นนี้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีใครทราบว่าเขาจิ่วเหลียนซานมีความแข็งแกร่งเพียงใด และทุกคนก็ไม่รู้ว่าเขาจิ่วเหลียนซานมีธาตุแท้ภายในเช่นใด ทุกคนรู้เพียงว่านับตั้งแต่มีการบันทึกเรื่องราวของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เป็นต้นมา เขาจิ่วเหลียนซานก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว อีกทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาจิ่วเหลียนซานจะไม่ก้าวก่ายทุกเรื่องราวของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ และศิษย์ของเขาจิ่วเหลียนซานก็ไม่เคยเข้าสู่ยุทธภพ เขาจิ่วเหลียนซานคงท่าทีความเป็นกลางตลอดพันล้านปีที่ผ่านมา
จากกาลเวลาที่เคลื่อนผ่านไป เขาจิ่วเหลียนซานค่อยๆ กลายเป็นพื้นที่บรรพชนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่อย่างช้าๆ กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในความคิดของผู้คนจำนวนไม่น้อย ดังนั้น พันล้านปีที่ผ่านมาจึงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เคยมาศึกษาธรรมและบำเพ็ญตนที่เขาจิ่วเหลียนซาน อีกทั้งทุกๆ ราชวงศ์ที่กุมอำนาจปกครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ก็จะมาทำพิธีเคารพสวรรค์บูชาบรรพชน เพื่อเป็นการประกาศถึงความถูกต้องด้านฐานะของตนต่อใต้หล้า
เนื่องเพราะเหตุนี้เอง เคยมีผู้กล่าวเอาไว้ว่า ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่อยู่ที่เขาจิ่วเหลียนซานนั่นเอง เรื่องนี้เท็จจริงเป็นอย่างไรนั้น ไม่เคยมีใครทราบมาโดยตลอด
แม้จะมีผู้บอกว่า ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่อยู่ในเขากัวชางซานนั่นเองแหละ แต่ทว่า สำหรับคำกล่าวเช่นนี้ทางราชวงศ์โต่วเซิ่นเองไม่เคยมีการตอบอย่างตรงไปตรงมา เพียงตอบแบบคลุมเครือไม่ยอมรับและก็ไม่ปฏิเสธ
แต่ว่า ระดับบรรพบุรุษจำนวนไม่น้อยที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยืนยาวแล้ว ยิ่งจะมีความรู้สึกว่าต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ไม่ได้อยู่ที่เขากัวชางซานของราชวงศ์โต่วเซิ่น แต่อยู่ที่เขาจิ่วเหลียนซาน
แน่นอนที่สุด กล่าวสำหรับด้านการปกครองของราชวงศ์โต่วเซิ่นแล้ว การที่ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ไม่ได้อยู่ที่เขากัวชางซานก็ไม่ได้ส่งผลกระทบแต่อย่างใด จะอย่างไรเสียภายในใจของทุกคนต่างให้การยอมรับมานานแล้วในมุมมองที่ว่าว่า เขาจิ่วเหลียนซานคือพื้นที่บรรพชน
แม้ว่าเขาจิ่วเหลียนซานจะเป็นสำนักๆ หนึ่ง แต่ว่าศิษย์ในแต่ละรุ่นจะมีจำนวนไม่มาก ในแต่ละรุ่นจะมีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น ขณะที่เขาจิ่วเหลียนซานนั้นทอดยาวต่อเนื่องนับหมื่นลี้ ดังนั้น เมื่อศิษย์จำนวนมากกระจายไปตามที่ต่างๆ ก็จะทำให้เขาจิ่วเหลียนซานดูจะมีผู้คนบางตา ทั่วทั้งเขาจิ่วเหลียนซานแลดูเงียบเหงา ไม่ได้มีลักษณะของความเป็นสำนักที่คึกคักและเจริญรุ่งเรือง
แต่ว่า พูดไปแล้วก็นับเป็นเรื่องแปลก เขาจิ่วเหลียนซานที่วิเวกวังเวงเช่นนี้กลับสามารถสืบทอดต่อมายุคแล้วยุคเล่า ไม่รู้ว่ามีสำนักจำนวนเท่าไร และการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ที่ไม่หยุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ รวมทั้งบุคคลที่เป็นผู้กล้าจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแล้วแต่หายวับไปกับตา ขณะที่เขาจิ่วเหลียนซานกลับยังคงดำรงอยู่
“ท่านเป็นใคร? ” เมื่อหลี่ชิเย่เดินขึ้นไปถึงตีนเขาแห่งหนึ่ง บริเวณทางเข้ามีบ้านไม้ทำขึ้นมาแบบง่ายๆ และหยาบๆ ตั้งอยู่หลังหนึ่ง ขณะที่ประตูก็หาใช่ประตูศิลาที่น่าเกรงขามแต่อย่างใด แค่เอาไม้สามท่อนมาค้ำเอาไว้ชั่วคราว ดูเอียงกะเท่เล่ ดูไปแล้วเหมือนพร้อมจะล้มลงทุกเมื่อ
ประตูทางเข้าที่อาศัยเพียงท่อนไม้ตอกขึ้นมาเป็นการชั่วคราวเช่นนี้ ด้านบนมีแผ่นไม้ขนาดเล็กๆ แผ่นหนึ่ง บนแผ่นไม้เขียนตัวอักษรหวัดๆ ไว้ว่า ‘เขาจิ่วเหลียนซาน’ โดยลักษณะการเขียนเหมือนดั่งเป็นการเขียนยันต์ กระทั่งคนที่เพิ่งหัดเขียนตัวหนังสือยังสามารถเขียนได้ดีกว่านี้เสียอีก
ประตูทางเข้าสำนักที่ทำขึ้นมาแบบง่ายๆ และหยาบๆ ป้ายสำนักที่น่าเกลียดยิ่ง นี่แหละคือเขาจิ่วเหลียนซาน ถ้าหากเวลานี้ไม่ได้ยืนอยู่ด้านนอกเขาจิ่วเหลียนซาน ยังทำให้ผู้อื่นต้องสงสัยว่านี่คือสำนักปลอมๆ ใช่หรือไม่อย่างไร
จังหวะที่หลี่ชิเย่ก้าวขึ้นมาถึงหน้าประตูสำนัก ผู้ที่เรียกเขาไว้เป็นชายวัยกลางคนๆ หนึ่ง ชายวัยกลางคนดังกล่าวสวมชุดชาวบ้านธรรมดา แม้ว่าเสื้อผ้าของเขาจะซักจนสะอาดเลี่ยม แต่ก็มีรอยปะอยู่หลายแห่ง อีกทั้งชายวัยกลางคนดังกล่าวดูไปแล้วไม่เหมือนเป็นผู้บำเพ็ญตน แต่เหมือนชาวนาธรรมดาคนหนึ่งมากกว่า
“ฮ่องแต้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ฮ่องแต้ที่กุมอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว” หลี่ชิเย่ยิ้มแต้กล่าวกับชายวัยกลางคนผู้นี้
ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้แสดงท่าทางตระหนกเมื่อได้ยินหลี่ชิเย่แจ้งว่าตนเองคือฮ่องแต้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ เพียงมองหน้าเขาอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นถามว่า “มีหลักฐานหรือไม่”
“มีอยู่สิ่งหนึ่งพอดี” หลี่ชิเย่จัดการโยนพระราชลัญจกรของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ให้กับเขาไปตามอารมณ์
ชายวัยกลางคนผู้นี้มองดูพระราชลัญจกรอันนี้แล้วทำการลงบันทึกทันที พร้อมกับพูดว่า “ฮ่องแต้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ฮ่องแต้องค์ใหม่” เขาไม่ได้ไปตรวจสอบว่า พระราชลัญจกรอันนี้ของหลี่ชิเย่จริงหรือเท็จ สรุปคือ ลงบันทึกตัวตนหลี่ชิเย่ในสมุดบันทึกไว้แล้ว
“ไม่ทราบว่าฝ่าบาทมาทำอะไรที่เขากัวชางซานล่ะ? บรรลุธรรม? ท่องเที่ยวและหรือตามล่าสิ่งแปลกๆ? ” ชายวัยกลางคนจดบันทึกต่อไปด้วยการเอ่ยถามขึ้นมา
“เดินดูเรื่อยเปื่อย ถ้าหากอามรณ์ดีก็ถือโอกาสฝึกปรือเก้าเคล็ดลับอะไรนั่นไปตามอารมณ์” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหย
เมื่อชายวัยกลางคนได้ฟังคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง อดที่จะพินิจพิเคราะห์หลี่ชิเย่เพิ่มขึ้น
ถ้าหารมีบุคคลภายนอกได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ล่ะก็ ต้องเข้าใจว่าหลี่ชิเย่เสียสติไปแล้ว ถือโอกาสฝึกปรือเก้าเคล็ดลับไปตามอารมณ์ คำพูดเช่นนี้เป็นคำพูดที่โอหังจนไม่รู้ว่าโอหังอย่างไรแล้ว นับแต่อดีตที่ผ่านมา ผู้ที่สามารถฝึกเก้าเคล็ดลับได้ก็มีอยู่เพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นเอง ทั้งยังไม่แน่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จด้วยซ้ำ
เวลานี้ ฮ่องแต้ชั่วที่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรมอย่างหลี่ชิเย่ถึงกับหาญกล้าบอกว่าจะฝึกปรือเก้าเคล็ดลับไปตามอารมณ์ นี่มันอวดดีมากเหลือเกิน เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ
“ถือโอกาสฝึกเก้าเคล็ดลับไปตามอารมณ์” แม้ว่าหลี่ชิเย่จะพูดออกมาด้วยท่าทีเอ้อระเหย แต่ว่า ชายวัยกลางคนผู้นี้กลับถือเป็นเรื่องจริงจัง เขาได้ทำการจดบันทึกถ้อยคำๆ นี้ของหลี่ชิเย่ลงในสมุดบันทึกจริงๆ จังๆ
แน่นอน หลี่ชิเย่นั้นอย่างไรก็ได้ แม้ว่าชายวัยกลางคนจะทำการจดบันทึกคำพูดคำนี้ลงในสมุดบันทึก เพียงยิ้มนิดหนึ่งเท่านั้น
“ไม่ทราบว่าฝ่าบาทต้องการไปพักอาศัยอยู่ที่ใด? ” ชายวัยกลางคนผู้นี้ทำการบันทึกต่อไป
“สถานที่ที่ใกล้คุกหลวงดึกดำบรรพ์มากที่สุด” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ และเอ่ยขึ้นมา
“สถานที่ที่ใกล้คุกหลวงดึกดำบรรพ์มากที่สุด? ” ชายวัยกลางคนผู้นี้ตะลึงอีกครั้ง ถึงกับจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยท่าทางประหลาดใจ เมื่อได้สติกลับมาแล้วจึงเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาทแน่ใจรึ? ”
“ยืนยัน” หลี่ชิเย่ตอบ
““สถานที่ที่ใกล้คุกหลวงดึกดำบรรพ์มากที่สุดก็คือเขาหงฮวงซานแล้ว ที่นั่นยังคงมีตำหนักโบราณของพวกเราอยู่หลายหลังซึ่งว่างอยู่ ฝ่าบาทสามารถพักอาศัยอยู่ที่นั่น” ชายวัยกลางคนกล่าวต่อหลี่ชิเย่
“ไม่มีปัญหา” หลี่ชิเย่ไม่เลือกแม้แต่นิดเดียว สำหรับเรื่องของที่พักอยู่แล้ว ยิ้มกล่าวขึ้นมาตามอารมณ์
“ฝ่าบาทพักที่เขาหงฮวงซาน” ชายวัยกลางคนผู้นี้ได้ลงบันทึกทุกอย่างลงไปตามความเป็นจริง
………………………