ยิ่งไปกว่านั้น กำหนดแต่งงานครั้งนี้รับรู้กันทั่วหล้า นับจากนาทีนั้นเป็นต้นมาก็เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่านางคือผู้หญิงของฮ่องแต้องค์ใหม่ นี่แหละคือชะตาชีวิตของนาง! ดังนั้น นับแต่นาทีนั้นเป็นต้นไป นางเองก็รู้ว่าตนเองจะต้องแต่งงานกับฮ่องแต้องค์ใหม่ นางไม่ได้คิดที่จะไปเปลี่ยนแปลงมัน แต่ไปปฏิบัติตาม ไปปรับตัวเข้ากับมัน
แล้วเจ้าล่ะ? หลี่ชิเย่หัวเราะ และมองดูหลิ่วชูฉิงที่อยู่ตรงหน้า
สายตาของหลิ่วชูฉิงที่จ้องมองหลี่ชิเย่ถึงกับหลบและกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า คนเราไม่ควรไร้สัจจะ ในเมื่อมีสัญญาแต่งงานนี้แล้ว ข้า ข้า ข้าก็สมควรไปปฏิบัติมัน
สมควรทราบว่า สัญญาแต่งงานเจ้าไม่ได้เป็นผู้ทำขึ้น หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมายิ้มๆ พร้อมกับเอามือลูบคาง
ข้า ข้ารู้ หลิ่วชูฉิงพยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า แต่ว่า หอหลินไห่เก๋อเลี้ยงดูข้า บรรดาปรมาจารย์ได้ลงทุนลงแรงบนตัวข้าไปไม่น้อย ข้าสมควร สมควรทำอะไรเพื่อสำนักบ้าง ข้า ข้าก็สมควรไปทำ ในเมื่อท่านปรมาจารย์ได้ตกลงเรื่องการแต่งงานนี้เอาไว้ ข้า ข้าก็จะไม่ทำให้ท่านปรมาจารย์ต้องผิดคำพูด
ไม่เลว ในยุคนี้ผู้ที่ยังคงสามารถรักษาสัจจะมีอยู่ไม่มากจริงๆ โดยเฉพาะการรักษาสัจจะต่อผู้ที่ด้อยกว่า หลี่ชิเย่ถึงกับถูมือและหัวเราะ
หลิ่วชูฉิงก้มหน้าต่ำโดยไม่ได้พูดมาก ความจริงแล้ว ในหอหลินไห่เก๋อของพวกเขาก็มีอยู่ไม่กี่คนที่สนับสนุนให้นางรักษาสัญญาแต่งงานในครั้งนี้ กล่าวสำหรับหอหลินไห่เก๋อของพวกเขาแล้ว หากนางแต่งงานกับฮ่องแต้องค์ใหม่ใช่เพียงแค่บุปผาที่ปักลงบนมูลควายเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการสิ้นเปลืองผู้ที่จะเป็นเสาหลักของหอหลินไห่เก๋อของพวกเขา
แต่ว่า หลิ่วชูฉิงยังคงมาปฏิบัติตามสัญญาแต่งงานในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการติดสินใจโดยลำพังของนางเอง นางไม่ต้องการให้ปรมาจารย์และสำนักต้องลำบากใจ จึงหนีออกมาลำพังคนเดียว
ในเมื่อเจ้าต้องการปฏิบัติตามสัญญาแต่งงานในครั้งนี้ เจ้าคิดจะทำอย่างไรล่ะ? หลี่ชิเย่มองดูหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าที่แฝงด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น และจ้องมองดูหลี่ชิเย่แวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หลับตาลงและเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า เมื่อออกเรือนแล้วก็ต้องปรับตัวเข้ากับสามีและครอบครัวให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาหรือลำบากแค่ไหนก็ตาม ครั้นนางเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว น้ำเสียงเบามากจนเหมือนเสียงของยุงอย่างนั้น
หลังจากที่กล่าวจบคำ นางรู้สึกได้ถึงกกหูที่ร้อนผ่าว แต่ว่า นางยังคงพูดคำพูดของตนออกมาจนได้
อืมม ออกเรือนแล้วก็ต้องปรับตัวเข้ากับสามีและครอบครัวให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาหรือลำบากแค่ไหนก็ตาม หลี่ชิเย่พยักหน้า กล่าวชื่นชมว่า ข้าชอบผู้หญิงแบบนี้แหละ เอาเถอะ เช่นนั้นเข้ามาก็แล้วกัน
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำเอาหลิ่วชูฉิงสะดุ้งในใจทีหนึ่ง รู้สึกตื่นเต้น แต่เมื่อนึกถึงว่าวันเวลาจากนี้ไปยังอีกยาวไกล จึงได้ให้กำลังใจกับตนเอง
เวลานี้หลี่ชิเย่ได้เดินเข้าไปยังตำหนักศิลาแล้ว หลิ่วชูฉิงที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูได้รวบรวมความกล้า สุดท้ายยังคงติดตามเข้าไปภายในตำหนักศิลา
แต่ว่า เมื่อเดินเข้าไปภายในตำหนักศิลานั้น ภายในใจของหลิ่วชูฉิงก็อดที่จะตื่นเต้นนิดๆ ไม่ได้ เนื่องจากเขาหงฮวงซานที่มีขนาดใหญ่โต ตำหนักศิลาที่มีขนาดใหญ่ก็มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น นอกจากพวกเขาแล้วก็มีแต่ความเงียบสงัดไปทั่วบริเวณ
อีกอย่าง หลิ่วชูฉิงได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับชื่อเสียของหลี่ชิเย่มาไม่น้อย ผู้คนใต้หล้าล้วนแล้วแต่รู้ว่าฮ่องแต้องค์ใหม่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม ถ้าหากหลี่ชิเย่จะทำอะไรกับนางท่ามกลางป่าเขาเช่นนี้ แล้ว แล้ว แล้วควรจะทำอย่างไรดี…
เวลานี้ หลิ่วชูฉิงอดที่จะถอยอยู่บ้าง จะอย่างไรเสียนางยังคงเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เป็นสาวรุ่นที่ยังไม่ได้แต่งงาน เรื่องราวมากมายยังไม่เคยประสบพบพานมาก่อน นางจะไม่หวั่นได้รึ?
แต่ทว่า ทันใดนั้น หลิ่วชูฉิงก็ได้ให้กำลังใจตนเองเงียบๆ จะอย่างไรเสียงนางและหลี่ชิเย่ได้มีสัญญาแต่งงานกันอยู่แล้ว พวกเขาทั้งสองได้เป็นไปตามนิตินัยแล้ว ต่อ ต่อให้หลี่ชิเย่คิดจะทำอะไรบางอย่างกับนาง นั่น นั่นมันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เป็น เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว
เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว ในใจของหลิ่วชูฉิงทั้งกังวลและรู้สึกหวาดกลัวในใจอยู่หลายส่วน แต่ก็ไม่ต้องการถอยไปเช่นนี้ นางไม่ต้องการผิดคำพูดต่อผู้อื่น
สุดท้าย นางยังควสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ตามติดอยู่ด้านหลังของหลี่ชิเย่ แม้ว่าภายในใจจะเป็นกังวลไม่มีความสงบ นางยังคงยืนหยัดเดินต่อไป และปรับตัวกับมันให้ได้ ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเขา
เมื่อเดินเข้าไปภายในตำหนักศิลา หลี่ชิเย่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ยิ้มกล่าวว่า ในเมื่อเจ้าอยากจะเป็นภรรยาของข้า เช่นนั้นก็ต้องเรียนรู้ปรนนิบัติข้า เอาเถอะ ข้าจะให้โอกาสแก่เจ้า ปรนนิบัติข้าชำราะร่างกายก็แล้วกัน
หลิ่วชูฉิงตะลึงนิดหนึ่ง เมื่อได้สติกลับมาจึงกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า ข้า ข้ารู้แล้ว จากนั้นก็ไปสารวนกับการตระเตรียมสิ่งสำหรับชำระล้างกายาต่างๆ
หลิ่วชูฉิงคือองงค์หญิงของหอหลินไห่เก๋อ แม้ว่าไม่ถึงขั้นต้องให้ผู้อื่นมาปรนนิบัติทุกอย่างทั้งการแต่งตัวและอาหารการกิน แต่ทว่า ไม่เคยได้ทำงานสกปรกมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นไม่เคยปรนนิบัติผู้ใดมาก่อน
จะอย่างไรเสียนางมีชาติกำเนิดที่สูงส่ง มีสายเลือดที่สูงส่ง ทั้งยังเป็นองค์หญิงของหอหลินไห่เก๋อ ปรกติแล้วไม่ต้องให้ใครมาคอยปรนนิบัติก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ไหนเลยต้องไปปรนนิบัติผู้อื่นกันเล่า
แม้จะกล่าวว่า หลิ่วชูฉิงที่ต้องมาทำงานหยุมหยิมเช่นนี้ย่อมอดที่จะมีอุปสรรคอยู่ แต่นางยังคงยินดีที่จะทำ
ในขณะนี้ หลิ่วชูฉิงก็เปรียบเสมือนดั่งเป็นภรรยาตัวน้อยๆ ที่เชื่องๆ คนหนึ่งเริ่มวุ่นวายอยู่กับงาน ขณะที่หลี่ชิเย่นั่งอยู่ตรงนั้น และมองดูหลิ่วชูฉิงที่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานจนคล้ายเป็นลูกข่างลูกหนึ่ง เหมือนหนึ่งกำลังชื่นชมกับภาพที่งดงามซึ่งหาได้ยากยิ่งตรงหน้าอย่างนั้น
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ในที่สุดหลิ่วชูฉิงก็ได้ตระเตรียมเครื่องชำระล้างกายาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และได้ยกกาละมังน้ำอุ่นไปวางไว้ตรงหน้าหลี่ชิเย่
เริ่มได้ หลี่ชิเย่นั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว ท่าทางสงบไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างไร เพียงสั่งการออกไปด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลิ่วชูฉิงถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง นางเข้าใจว่าตนเองนั้นแค่เตรียมเครืองชำระล้างกายาให้กับหลี่ชิเย่ก็เพียงพอแล้ว ไม่นึกเลยว่ายังต้องให้ตนเองช่วยชำระล้างให้กับเขาอีก มาคราวนี้นางถึงกับรับไม่ถูก จะอย่างไรเสียนางที่อยู่ในฐานะองค์หญิงของหอหลินไห่เก๋อยังไม่เคยต้องปรนนิบัติผู้อื่นเช่นนี้มาก่อน
สุดท้ายหลิ่วชูฉิงต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เพื่อให้ในใจของตนรู้สึกสบายขึ้นบ้าง จะอย่างไรเสียเขาผู้นี้ก็คือสามีของตน เป็นผู้ชายของตน จากนี้ไปยังต้องติดตามเขาชั่วชีวิต
สุดท้ายแล้วหลิ่วชูฉิงยังคงช่วยชำระกายาให้กับหลี่ชิเย่ แม้ว่าจะเป็นการปรนนิบัติผู้อื่นเป็นครั้งแรกของนาง ท่วงท่ายังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ดั่งใจนัก แต่ว่า นางยังคงทำไปด้วยความละเอียดนุ่มนวล เหมือนภรรยาตัวน้อยๆ ที่มีเชื่อฟังและเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม
จังหวะที่หลิ่วชูฉิงเพิ่งจะทำการชำระล้างกายาให้กับหลี่ชิเย่เสร็จสิ้น หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะทีหนึ่ง เอื้อมมือไปจับคางที่ประณีตงดงามของนางเอาไว้
ท่าน ท่านคิดจะทำอะไร? หลิ่วชูฉิงถูกท่าทางที่เกิดขึ้นกะทันหันทำเอาตกใจยิ่งนัก เหมือนลูกกวางน้อยที่ตื่นตระหนก
โดยเฉพาะชื่อของหลี่ชิเย่ไม่ดีอยู่แล้ว ชื่อที่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรมได้ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ยิ่งไปกว่านั้นเคยมีข่าวเล่าลือกันว่า ขณะที่เขาอยู่ที่เมืองหลวงมุ่งฉุดคร่าผู้หญิงชาวบ้านเป็นพิเศษ ดังนั้นในใจของหลิ่วชูฉิงจึงรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก แม้แต่พูดก็ยังติดอ่าง
เจ้าว่า พวกเราชายหนุ่มหญิงสาวอยู่ด้วยกันตามลำพัง พวกเราสามารถทำอะไรได้บ้าง? หลี่ชิเย่ทำหรี่ตาทีหนึ่งและยิ้มกล่าว
เวลานี้ ในสายตาของผู้อื่นนั้น ท่าทางของหลี่ชิเย่คือมีแววตาที่กรุ้มกริ่ม เรียกได้ว่าลามกสุดๆ
คำพูดลักษณะเช่นนี้สร้างความตระหนกต่อหลิ่วชูฉิงได้อย่างแท้จริง นางถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว สีหน้าเปลี่ยนไป และพูดด้วยความตื่นเต้นว่า ท่าน ท่าน ท่านอย่าทำอย่างนี้นะ
ท่ามกลางความตื่นเต้นนางลืมไปแล้วว่า ฮ่องแต้องค์ใหม่เป็นผู้ที่มีทักษะยุทธอ่อนด้อยมาก ขณะที่นางคือยอดฝีมืออันดับต้นๆ ในบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่ของหอหลินไห่เก๋อ
ถ้าเช่นนนั้นเจ้าว่าควรจะทำอ่ย่างไรล่ะ? หลี่ชิเย่จ้องมองหลิ่วชูฉิงด้วยท่าทียิ้มแต้
ข้า ข้า ข้า…หลิ่วชูฉิงอ้าปากทำท่าจะพูด แต่พูดได้แต่คำว่าข้าไปครึ่งค่อนวัน ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทางที่เอ้อระเหยว่า พวกเราคือผู้ที่มีสัญญาการหมั้นหมาย เจ้าคือผู้หญิงของข้าแล้ว ไหนเจ้าบอกมาซิ ถ้าหากพวกเราสองคนจะมีอะไรกันสักหน่อยมันเป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่เล่า? เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลหรือไม่ล่ะ? หลิ่วชูฉิงอ้าปากจะพูด แต่พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว สุดท้ายได้แต่ก้มหน้าลง
คำพูดของหลี่ชิเย่พูดได้มีเหตุผล จะอย่างไรเสียพวกเขามีสัญญาหมั้นหมายกันแล้ว ถือเป็นสามีภรรยากันแล้ว หากพวกเขาจะมีอะไรระหว่างกันมันเป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น
แต่ทว่า จะอย่างไรเสียหลิ่วชูฉิงก็คือสาวรุ่นที่ยังไม่แต่งงาน ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน ดังนั้น จึงทำให้นางพูดอะไรไม่ออกเป็นเวลานาน
ท่าน ท่าน ท่านจะไม่ทำเช่นนี้ไม่ได้หรือ? สุดท้าย หลิ่วชูฉิงเอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
ไม่สามารถทำอะไร? หลี่ชิเย่มองดูหลิ่วชูฉิงด้วยท่าทียิ้มแต้ และกล่าวว่า เจ้าหมายถึงระหว่างพวกเราจะมีอะไรบางอย่าง หรือเป็นเรื่องอื่นๆ
หลิ่วชูฉิงถึงกับก้มหน้ามือสาระวนอยู่กับมุมชายเสื้อท่าทางตื่นเต้น หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าไปงัดเอาความกล้ามาจากไหน กล่าวน้ำเสียงโทนต่ำว่า คือเรื่องเหลว เหลวไหลเรื่องนี้ ท่าน ท่าน ท่านไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสักหน่อยหรืออย่างไร?
พูดแบบนี้ แสดงว่าเจ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวข้าแล้วสิ? หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าออกมา และจ้องมองดูหลิ่วชูฉิง
หลิ่วชูฉิงสูดลมหายใจเข้าทีหนึ่ง สุดท้ายนางเงยหน้าขึ้น และจ้องมองตรงไปยังสายตาของหลี่ชิเย่ และไม่รู้ว่านางไปงัดเอาความกล้ามาจากไหน จ้องมองหลี่ชิเย่และกล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า ข้า ข้าไม่ต้องการให้ท่าน ท่านเป็นคนประเภทนั้น จะอย่างไรเสียพวก พวก พวกเราหากเป็นสามีภรรยาล่ะก็ อนาคตยังมีหนทางที่ต้องก้าวเดินอีกยาวไกล ทักษะของท่าน ท่านอ่อนนิดหนึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด จะอย่างไรเสีย ใช่ ใช่ว่าใครๆ ก็สามารถกลายเป็นยอดฝีมือได้อยู่แล้ว…
…แต่ แต่ แต่ข้าก็ไม่ต้องการให้คุณอื่นหัวเราะเยาะว่า สามีของข้า ข้าเป็น เป็นคนเหลวไหลคนหนึ่ง ถ้าหาก ถ้าหากข้า ข้าสามารถทำได้ล่ะก็ ข้า ข้าคาดหวังให้ท่านสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไปเป็นคนที่สง่างามคนหนึ่ง ไม่ ไม่ใช่ฮ่องแต้ที่เหลวไหลคนนั้นอีกต่อไป สำหรับเรื่องอื่นๆ ยังไรก็ได้อยู่แล้ว
ขณะหลิ่วชูฉิงพูดคำพูดเหล่านี้ออกมานางรู้สึกตื่นเต้นมาก ถึงกับพูดติดอ่างอยู่บ้าง แต่นางยังคงมีความตั้งใจและยึดมั่นพูดจนจบ สิ่งนี้ก็คือคำพูดจากใจที่จริงใจที่สุด และสัตย์ซื่อที่สุดของนาง
กล่าวสำหรับหลิ่วชูฉิงแล้ว ในเมื่อมีการตัดสินใจหมั้นหมายกันแล้ว เท่ากับเป็นการลิขิตชีวิตไปแล้ว แม้ว่าความสามารถของหลี่ชิเย่จะด้อยไปสักนิดทักษะอ่อนสักหน่อย ล้วนแล้วแต่ไม่มีความสำคัญ นางยินดีทั้งนั้น แต่นางไม่คาดหวังให้สามีของตนเป็นผู้ชายที่เหลวไหลบ้ากามคนหนึ่ง
แม้ว่านางไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการหมั้นหมายในครั้งนี้ไปได้ ดังนั้น นางจึงคิดที่จะทดลองเปลี่ยนแปลงตัวของหลี่ชิเย่
พูดเช่นนี้ เจ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวข้าแล้วสิ หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
ข้า ข้าคาดหวังท่าน ท่านสามารถเป็นคนที่มีความสง่าผ่าเผ่ย ข้า ข้าก็คิดว่า ท่าน ท่านต้องทำได้แน่ ท่าทางหลิ่วชูฉิงดูตื่นเต้นมาก แต่ทว่า นางยังคงมีความกล้าพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา
อืมม…มีเหตุผลอยู่บ้าง หลี่ชิเย่ถึงกับพยักหน้า
หลิ่วชูฉิงเองก็จริงจังมาก จะอย่างไรเสียนี่คือสามีของนาง นางเป็นผู้ที่ค้อนข้างจะเรียบง่ายไม่สลับซับซ้อน และซ่อนความในใจเอาไว้ไม่อยู่ ดังนั้น จึงอดที่จะพูดคำพูดในใจออกมาไม่ได้
ที่นางเดินทางมาหาหลี่ชิเย่นั้น ไม่เพียงต้องการทำตามสัญญาหมั้นหมายเอาไว้ และยังคิดที่จะเปลี่ยนแปลงผู้ชายคนนี้
……………………………………………………………………………………………….