“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง” หลิ่วชูฉิงจึงได้รู้ว่าตนเองนั้นคิดไปเองเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ ถึงกับใบหน้าร้อนผ่าว อายจนต้องก้มหน้าลง
นาทีนี้หลิ่วชูฉิงก็คล้ายดั่งเป็นภรรยาที่เชื่อฟัง ก้มหน้าและหลับตาลง ทำจิตให้ไปรับรู้อย่างละเอียด เหมือนรับรู้อะไรได้บางอย่าง
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หลิ่วชูฉิงลืมตาขึ้น กล่าวด้วยความตื่นตระหนกระคนกับความดีใจว่า “มันมีอยู่นะ คล้ายมีกลิ่นอายอะไรสักอย่างกำลังดังก้องอยู่อย่างนั้น แต่ก็จับไม่อยู่ เหมือนมีเสียงดังขึ้นมาอย่างนั้น เป็นเสียงที่สดใสไพเราะมาก”
“มีความรู้สึกแบบนี้ก็ถูกต้องแล้วล่ะ” หลี่ชิเย่หัวเราะ พยักหน้าและกล่าวว่า “มิฉะนั้นล่ะก็ คาถาที่เจ้าฝึกมาก็เสียเปล่าแล้ว สมควรทราบว่า เวลานี้เจ้าได้ฝึกสองในเคล็ดวิชาจิ่วหมี่ทั้งเก้าอยู่”
“สองในเคล็ดวิชาจิ่วหมี่ทั้งเก้า” หลิ่วชูฉิงมีท่าทีตะลึงเป็นอันดับแรก เมื่อได้สติกลับมาแล้วร้องเสียงหลงดังขึ้นมาว่า “ท่านบอกว่า ท่านบอกว่า คาถาที่ท่านถ่ายทอดให้ข้าคือ คือ คือหนึ่งในเก้าเคล็ดวิชาจิ่วมี่! ”
ในขณะที่ร้องเสียงหลงดังขึ้นมานั้น หลิ่วชูฉิงเองก็รีบเอามือป้องปากเอาไว้ เหลียวซ้ายแลขวาทีหนึ่งด้วยเกรงว่าจะมีคนอื่นได้ยิน โชคดีที่ข้างๆ ไม่มีใคร จึงทำให้นางหายใจด้วยความโล่งอก ถึงกับตบเบาๆ กับหน้าอกที่อวบอิ่มและดันเสื้อจนนูนสูงขึ้นมานั่น
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา มองดูท่าทางที่ดูระมัดระวังและน่ารักนั่น รู้สึกหลงรักขึ้นมาน้อยๆ ดีดเบาๆ ที่ดั้งจมูกน้อยๆ ที่โด่งทีหนึ่ง และกล่าวว่า “หากไม่ใช่หนึ่งในเก้าเคล็ดวิชาจิ่วมี่ หรือเจ้าคิดว่าคืออะไร”
“เรื่อง เรื่อง เรื่องนี้ไม่เหมาะสมกระมัง” หลิ่วชูฉิงถึงกับลังเลขึ้น จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความกังวล และกล่าวว่า “ท่าน ท่านถ่ายทอด ‘เคล็ดวิชาโต่วมี่’ และ ‘เคล็ดวิชาเจ่อมี่’ สองในเคล็ดวิชาจิ่วหมี่ทั้งเก้าให้กับข้าโดยพละการ เกรงว่านี่ นี่จะนำมาความยุ่งยากอย่างยิ่งให้กับท่าน ข้า ข้า ข้าจะฝึกมันไม่ได้นะ ข้ายังคงไม่ฝึกมันแล้ว” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ถึงกับมีท่าทางที่ทุกข์ใจ
เคล็ดวิชาจิ่วมี่คือเคล็ดวิชาที่สุดยอดที่สุด แข็งแกร่งและลึกซึ้งยอดเยี่ยมที่สุด เป็นพื้นฐานของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมด ยิ่งกว่านั้นยังเป็นแกนหลักของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่
ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ที่กระหายอยากจะได้เก้าเคล็ดวิชาจิ่วมี่ เคล็ดวิชาใดวิชาหนึ่งก็ได้
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น การที่สามารถฝึกเพิ่มอีกหนึ่งเคล็ดวิชา นั่นคือเรื่องที่น่ายินดีที่สุดในโลก เป็นความโชคดีที่ไร้ขอบเขตจำกัด เกรงว่าคงทั้งตื่นตกใจและดีใจนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหลิ่วชูฉิงยังได้ฝึก ‘หลินมี่’ ที่เป็นหนึ่งในเก้าเคล็ดวิชาจิ่วมี่ของหอหลินไห่เก๋อมาแล้ว นางยิ่งสามารถเข้าใจได้ว่าการได้ฝึกเพิ่มอีกหนึ่งเคล็ดวิชาบ่งบอกถึงสิ่งใดแล้ว
แต่ทว่า เวลานี้หลิ่วชูฉิงไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกตกใจระคนกับความดีใจที่ตนเองได้ฝึกเพิ่มอีกหนึ่งเคล็ดวิชา แต่เป็นกังวลแทนหลี่ชิเย่ขึ้นมา
เนื่องจากหากหลี่ชิเย่แอบนำเอาหนึ่งในสองในเคล็ดวิชาจิ่วหมี่ของราชวงศ์โต่วเซิ่นถ่ายทอดให้คนอื่นโดยพละการล่ะก็ เกรงว่าจะต้องได้รับการลงโทษจากราชวงศ์โต่วเซิ่น เกรงว่าต่อให้เขาเป็นถึงฮ่องเต้ก็ไม่สามารถนำเอาหนึ่งในเก้าเคล็ดวิชาจิ่วมี่ถ่ายทอดให้บุคคลภายนอกโดยพละการ
ดังนั้น หลิ่วชูฉิงพลันรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที ในใจของนางคิดว่าฝึกหรือไม่ฝึกเก้าเคล็ดวิชาจิ่วมี่ก็ไม่สำคัญ เมื่อเทียบกับความปลอดภัยของหลี่ชิเย่ ขอเพียงหลี่ชิเย่ไม่ต้องกังวลในเรื่องของความปลอดภัย นางยินดีสละได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
“ทำไมจะถ่ายทอดให้เจ้าไม่ได้? ” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าจะเป็นภรรยาตัวน้อยๆ ของข้ามิใช่รึ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าถ่ายทอดให้กับเจ้าก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว”
หลิ่วชูฉิงพลันมีใบหน้าที่แดงก่ำและรู้สึกแสบร้อนที่บริเวณกกหู แต่กลับรู้สึกหวานซึ้งในใจยิ่งนัก คำพูดคำหนึ่ง ‘ภรรยาตัวน้อยๆ’ ที่หลี่ชิเย่ใช้เรียกนางพลันทำให้นางหวานเข้าไปในกระดูก อ่อนไปทั้งตัว กล่าวสำหรับนางแล้ว นางดีใจอย่างที่สุดสำหรับคำเรียกขานเช่นนี้ ทำให้นางชอบ ทำให้นางหวานซึ้ง
“แต่ว่า สิ่งนี้ไม่สามารถถ่ายทอดให้โดยพละการนะ” เมื่อหลิ่วชูฉิงได้สติกลับมาได้เงยหน้าขึ้น และยังคงเป็นกังวลเหมือนเดิม
นางมีชาติกำเนิดมาจากหอหลินไห่เก๋อ ย่อมรู้ดีถึงกฎเกณฑ์ของสำนักเจ้าลัทธิตระกูลขุนนางโบราณ สุดยอดเคล็ดวิชาลับเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายทอดให้แก่กันโดยพละการ ไม่ว่าใครก็ไม่มีการยกเว้น มิฉะนั้นล่ะก็ผลที่ตามมาจะสาหัสมาก
“แอบถ่ายทอดไม่แอบถ่ายทอดอะไรของเจ้า” หลี่ชิเย่หัวเราะส่ายหน้า และกล่าวว่า “ทุกเรื่องราวบนโลกนี้ข้าหลี่ชิเย่ล้วนทำได้ทั้งนั้น ข้าบอกว่าอนุญาตก็คืออนุญาต ใครกล้าฝ่าฝืน อีกอย่าง ที่ข้าถ่ายทอดให้กับเจ้าก็ไม่ใช่ ‘เคล็ดวิชาโต่วมี่’ กับ ‘เคล็ดวิชาเจ่อมี่’ ที่เป็นเคล็ดวิชาทั้งสองของราชวงศ์โต่วเซิ่น
“ไม่ใช่ ‘เคล็ดวิชาโต่วมี่’ กับ ‘เคล็ดวิชาเจ่อมี่’ ทั้งสองเคล็ดวิชารึ? ” คำพูดนี้ทำเอาหลิ่วชูฉิงตะลึงนิดหนึ่ง ผู้คนใต้หล้าต่างก็รู้ว่าราชวงศ์โต่วเซิ่นมี ‘เคล็ดวิชาโต่วมี่’ กับ ‘เคล็ดวิชาเจ่อมี่’ ที่เป็นสองในเคล็ดวิชาจิ่วหมี่ทั้งเก้าอยู่ในครอบครอง
“ที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้านั้นคือ ‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ หนึ่งในเก้าเคล็ดวิชาจิ่วมี่” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและเอ่ยขึ้น
‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ หลิ่วชูฉิงถึงกับเหม่อลอยไม่สามารถเรียกสติกลับมา และกล่าวว่า “เคล็ดวิชาเฉียนมี่ เคล็ดวิชาเฉียนมี่ไม่มีการสืบทอดต่อกันมามิใช่รึ? ”
ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มีเก้าเคล็ดวิชาจิ่วมี่ เท่าที่ผู้คนในยุคนี้ทราบมาคือแปดเคล็ดวิชาล้วนมีเจ้าของอยู่แล้ว มีเพียง ‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ ที่เป็นหนึ่งในเก้าเคล็ดวิชาจิ่วมี่เพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีการสืบทอดต่อกันมา กระทั่งปัจจุบัน ยังไม่เคยได้ยินว่ามีผู้หนึ่งผู้ใด หรือสำนักหนึ่งสำนักใดมี เคล็ดวิชาเฉียนมี่ อยู่ในความครอบครอบ
อีกทั้งนับตั้งแต่ ‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ ขาดการสืบทอดต่อก็ไม่มีใครสามารถบรรลุ ‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ จากแผ่นดินระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้อีกเลย
กล่าวสำหรับข้าแล้ว ไม่มีคำว่าขาดการสืบทอดต่อคำนี้” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวด้วยท่าทีตามอารมณ์ว่า “ขอเพียงข้าต้องการ ทุกอย่างที่ขาดการสืบทอดต่อหากต้องการค้นหากลับมาก็ไม่ต้องไปพูดถึง แค่ยื่นมือคว้าเอามาตามอารมณ์เท่านั้น”
หลิ่วชูฉิงถูก ‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ ทำให้สะเทือนหวั่นไหว นางเองไม่นึกไม่ฝันเลยว่าที่ตนฝึกอยู่นั้นจะเป็น ‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ ที่ขาดการสืบทอดมา เรื่องเช่นนี้หากพูดออกไปเกรงว่าคงยากจะมีผู้คนเชื่อ
“เฉียน เฉียนมี่ มัน มันใช่ที่บอกว่าสามารถทำให้บุคคลผู้นั้นมีพลังวัตรเพิ่มขึ้นได้ในพริบตาเดียว เป็นเคล็ดวิชาที่ทำให้คลั่งขึ้นมาได้ทันทีใช่หรือไม่? ”หลิ่วชูฉิงเอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจและฉงนอยู่บ้าง
“เหตุที่ ‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ ไม่ได้มีการสืบทอดต่อกันมา เป็นเพราะพวกเศษสวะไร้สมองกลุ่มหนึ่งที่เรียนรู้ได้แค่ผิวเผิน รู้แค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้น ก็เข้าใจว่าตนเองนั้นได้บรรลุ ‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ แล้ว ดังนั้น ผู้คนจำนวนมากมายเท่าไรที่ได้ฝึก ‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ และหลังจากที่นำมาใช้บ่อยครั้งมากขึ้นแล้วก็จะทำให้อายุสั้นลง กระทั่งตายอย่างกะทันหัน” หลี่ชิเย่หัวเราะและส่ายหน้า
เคล็ดวิชาเฉียนมี่คือหนึ่งในเก้าเคล็ดวิชาจิ่วมี่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้ที่เคยฝึกเคล็ดวิชาเฉียนมี่มาแล้วต่างรู้ดีว่า เมื่อไรที่ได้ฝึกปรือเคล็ดวิชาเฉียนมี่แล้ว สามารถทำให้พลังวัตรของคนผู้นั้นมีขอบเขตเพิ่มขึ้นมากเป็นการชั่วคราว เมื่อสำแดงเคล็ดวิชาเฉียนมี่ออกมาสามารถทำให้บุคคลผู้นั้นคลั่ง กระทั่งตกลงในลักษณะบ้าคลั่ง ทำให้พลังการต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ทำให้สามารถท้าสู้ข้ามรุ่นได้อย่างสบายๆ และเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งมากกว่าตนเองได้
“ถ้าหากเจ้าได้บรรลุอย่างถ่องแท้ทะลุปรุโปร่งใน ‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ อย่างแท้จริงแล้ว เจ้าก็จะพบว่าการทำให้คลั่งนั่นเป็นเพียงผิวเผินเท่านั้นเอง ไม่สามารถนำมาอวดอ้างได้ ที่ ‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ ต้องการให้ฝึกปรือคือจิตของผู้กล้าดวงหนึ่ง จิตที่ไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ทำให้เจ้ากล้าหาญและไม่หวาดหวั่น เป็นการขัดเกลาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้า กล่าวได้ว่า ‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ คือแกนหลักของเก้าเคล็ดวิชาจิ่วมี่…
“หลังจากเจ้าสามารถบรรลุ ‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ ได้อย่างแท้จริงแล้วเจ้าก็จะพบว่า การฝึกปรือแปดเคล็ดวิชาจิ่วมี่ที่เหลือจะสำเร็จได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งลดความเสี่ยงลงอย่างมากมาย ถ้าหากเจ้าได้บรรลุถึงความลึกซึ้งและยอดเยี่ยมของมันได้อย่างแท้จริง ในอนาคตเมื่อฝึกแปดเคล็ดวิชาจิ่วที่เหลือก็จะทำได้ง่ายขึ้น ทำให้เจ้าเสมือนดั่งมังกรแท้จริงที่ท่องไปบนท้องฟ้า” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
หลิ่วชูฉิงฟังคำบอกเล่าของหลี่ชิเย่อย่างลุ่มหลง ฟังอย่างออกรสออกชาติ ไม่อาจเรียกสติกลับมาได้เป็นเวลานาน ทุกๆ คำพูดของนางเสมือนหนึ่งได้สลักลงในใจของนางอย่างนั้น เปี่ยมด้วยเสน่ห์ที่ไร้ขอบเขต
“เอาล่ะ เด็กโง่ อย่าเหม่อลอยอยู่นั่น” หลี่ชิเย่ดีดดั้งจมูกโด่งของนางทีหนึ่ง หัวเราะและกล่าวว่า “ยังไม่รีบไปทำความเข้าใจเสียดีๆ”
หลิ่วชูฉิงได้สติกลับมา ใบหน้าแดงก่ำ เสมือนหนึ่งเป็นภรรยาตัวน้อยๆ ที่เขินอาย ก้มหน้าลงทำสมาธิไม่วอกแวก เข้าฌานเพื่อตระหนักรู้
ยามที่มีหลี่ชิเย่อยู่ข้างกายนั้น ภายในใจของนางดูสบายใจอะไรอย่างนั้น เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกปลอดภัย ดังนั้น แม้ว่าเป็นการบรรลุสัจธรรมกลางทุ่งก็ไม่มีอะไรต้องห่วง
ขณะที่หลี่ชิเย่พาหลิ่วชูฉิงมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปตลอดทาง และเที่ยวชมนกชมไม้อยู่นั้น ก็มีศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่บางส่วนพบเห็นพวกเขา
“ดูท่าฮ่องเต้องค์ใหม่นิสัยยังคงไม่เปลี่ยนนะเนี่ย ยังเข้าใจว่าเขาจะกลับเนื้อกลับตัวหันกลับมาฝึกเคล็ดวิชาอย่างเขมักเขม้น เวลานี้ดูไปแล้วเขาก็แค่ยืนหยัดได้ไม่กี่วันเท่านั้น จะอย่างไรเสียมาตรฐานของเขามีอยู่แค่นี้เข็นไม่ขึ้น” เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่พาหลิ่วชูฉิงท่องไปทั่ว ท่าทางเป็นพวกเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ ทำให้คนบางคนส่ายหน้าด้วยความรู้สึกผิดหวัง
“มาตรฐานของเขามีอยู่แค่นี้เข็นไม่ขึ้น มิฉะนั้นคงไม่สูญเสียแผ่นดินไป” มีผู้กล่าวท่าทีเหยียดหยามว่า “เทพธิดาฉินไม่ได้ให้ความสนใจตัวเขาเลยแม้แต่น้อยนิด ไม่คิดจะสนับสนุนเขาโดยสิ้นเชิง การตัดสินใจเช่นนี้ถูกต้องแล้ว สวะแบบนี้ไม่คู่ควรจะกล่าวถึงด้วยซ้ำ จะไปเข้าตาเทพธิดาฉินได้อย่างไรกันเล่า”
“เสียดายแต่องค์หญิงหลินไห่” มียอดฝีมือรุ่นอาวุโสรู้สึกเสียดายเช่นกัน และกล่าวว่า “ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ของนางเรียกได้ว่าอนาคตไร้ขอบเขตเลยนะ กลับทื่อๆ ถูกผูกมัดด้วยสัญญาหมั้นหมายที่ไม่มีผลบังคับ การรั้งอยู่ข้างกายฮ่องเต้องค์ใหม่ของนางเป็นการทำลายอนาคตของตนเองนะเนี่ย”
“จริงอย่างว่า สัญญาหมั้นหมายนี้เดิมก็เป็นเพียงเศษกระดาษอยู่แล้ว องค์หญิงหลินไห่ทำให้ตนต้องลำบากโดยแท้ ทำไมจะต้องไปรักษาสัญญาหมั้นหมายที่ไม่มีผลแล้วนั่น” ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกเสียดายแทนหลิ่วชูฉิง
เฉกเช่นสุดยอดสาวงามอย่างหลิ่วชูฉิง ทั้งยังมีฐานะเป็นถึงองค์หญิงหลินไห่ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง ผู้หญิงอย่างนางนั้นมีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด ไม่ด้อยไปกว่าปิงฉือหานยวี่ กระทั่งฉินเจี้ยนเหยา เวลานี้นางรั้งอยู่ข้างกายฮ่องเต้องค์ใหม่มันคือการทำลายอนาคตตนเองชัดๆ คือบุปผาที่ปักลงบนมูลควาย
ความจริงแล้วทุกคนต่างก็เข้าใจ ถ้าหากหลิ่วชูฉิงจะไม่ปฏิบัติตามสัญญาหมั้นหมาย ฮ่องเต้องค์ใหม่จะทำอะไรนางได้? ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือมิใช่ส่งตัวองค์หญิงตัวปลอมแต่งเข้าวังแทนตรงๆ เลยรึ? ฮ่องเต้องค์ใหม่ทำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย อย่างวัดจิ้งเหลียนกวาน แคว้นว่านเจิ้นพวกเขาไม่ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังอะไร มองข้ามสัญญาหมั้นหมายนี้ไปโดยตรง ก็ยังคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉินเจี้ยนเหยา องค์หญิงแคว้นว่านเจิ้นพวกนางไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
ทุกคนต่างรับรู้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ในเวลานี้ไม่เหลืออะไรอีกเลย ไม่คู่ควรกับพวกฉินเจี้ยนเหยาได้อยู่แล้ว ต่อให้เขาคิดจะเอ่ยถึงเรื่องการหมั้นหมาย ในสายตาของผู้คนมองว่ามันเป็นการทำให้ตนเองต้องลำบาก ทำให้ตนเองต้องอับอาย
เวลานี้ในจำนวนห้าแกร่ง ก็มีเพียงหลิ่วชูฉิงที่ปฏิบัติตามสัญญาหมั้นหมายในวันนั้น ซึ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกว่าหลิ่วชูฉิงนั้นโง่เขลาเกินไป เป็นการผลักให้ตนเองตกลงไปในขุมนรก
สมัยนี้ ผู้ที่ยังคงปฏิบัติตามสัญญาต่อผู้ที่อ่อนแอกว่าน้อยลงไปทุกทีๆ แล้ว สิ่งนี้ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก หรือจะบอกว่านางโง่เขลาดี” ในสายตาของระดับบรรพบุรุษมองแล้วก็อดที่จะพูดทอดถอนใจออกมา
จะอย่างไรเสียภายในใจของทุกคนต่างมีความชัดเจนว่า การแต่งงานกับฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เป็นสวะในเวลานี้ ไม่เพียงเป็นการทำลายอนาคตของตนเองเท่านั้น กระทั่งอาจสูญเสียชีวิตด้วยก็เป็นได้
อีกทั้งฮ่องเต้องค์ใหม่เมื่ออยู่ต่อหน้าห้าแกร่งคือผู้อ่อนแอโดยสิ้นเชิงแล้ว ดั่งมดปลวกไม่คู่ควรจะกล่าวถึง
สำหรับผู้อ่อนแอเช่นนี้ มีใครบ้างที่ยอมไปแลกมันมาด้วยค่าตอบแทนที่ร้ายแรงเพื่อปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาในครั้งนั้นกันเล่า เกรงว่าส่วนใหญ่แล้วล้วนไม่ต้องการไปทำเรื่องเช่นนี้!
…………………………………………………………………………………..