ในสายตาของผู้อื่นมองว่า เป็นการพาหลิ่วชูฉิงชมนกชมไม้ที่เอ้อระเหยลอยชายของหลี่ชิเย่ แต่ว่าในขั้นตอนนี้หลิ่วชูฉิงได้รับผลตอบแทนอย่างเต็มที่
ขณะที่ในเวลานี้เอง ฉินเจี้ยนเหยาที่เดิมปิดประตูไม่รับแขกพลันจัดงานยิ่งใหญ่ขึ้น และเชื้อเชิญหนุ่มผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจำนวนไม่น้อยให้เข้าร่วมงาน
ยากนักที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องจากทั่วทุกสารทิศจะได้ร่วมชุมนุมอยู่ในเขาจิ่วเหลียนซาน เจี้ยนเหยายอมเป็นเจ้าภาพ เชื้อเชิญศิษย์พี่ศิษย์น้องได้ร่วมชุมนุมจับเข่าคุยกันที่ป่าหิน ฉินเจี้ยนเหยาพูดออกมาเช่นนี้
การที่ฉินเจี้ยนเหยาเป็นเจ้าภาพจัดงานยิ่งใหญ่ขึ้นกะทันหัน ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเหนือความคาดคิด หลังจากที่นางมาถึงเขาจิ่วเหลียนซานแล้วก็จะปิดประตูไม่รับแขกมาโดยตลอด ยกเว้นหยางฟู่ฝานกับทังเฮ่อเสียงแล้ว ก็ไม่พบว่านางได้พบกับใครอีกเลย
มาวันนี้ พลันฉินเจี้ยนเหยาได้เป็นเจ้าภาพ เชิญทุกคนเข้ามาเป็นแขกที่ป่าหิน ซึ่งเป็นความจริงที่ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเหนือความคาดคิด
เรื่องที่อยู่ในความคาดคิด กล่าวสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมากแล้ว การที่ฉินเจี้ยนเหยาเชิญทุกคนไปเป็นแขกที่ป่าหินกะทันหัน นับเป็นเรื่องที่ตื่นตระหนกตกใจระคนกับความดีใจที่เหนือความคาดคิด แต่ทว่า สำหรับระดับบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณที่มีประสบการณ์โชกโชนแล้วนี่เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดคิด
ในที่สุดวัดจิ้งเหลียนกวานก็เข้าสู่ยุทธภพแล้ว หลังจากที่ฮ่องเต้ไท่ชิงสวรรคตแล้ว พวกเขาก็คิดจะได้รับส่วนแบ่งจากใต้หล้าเหมือนกัน ยังคงเป็นวิธีการเดิมๆ นะเนี่ย มีระดับบรรพบุรุษตระกูลขุนนางโบราณเข้าใจถึงจุดประสงค์การทำเช่นนี้ของฉินเจี้ยนเหยา
ยุคสมัยที่ฮ่องเต้ไท่ชิงเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว วัดจิ้งเหลียนกวานไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับอำนาจฮ่องเต้ได้เลย เรียกได้ว่าเป็นยุคที่พวกเขาได้ถอยออกจากศูนย์กลางอำนาจอย่างสิ้นเชิง
เวลานี้ยุคสมัยที่ฮ่องเต้ไท่ชิงเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวได้สิ้นสุดลงแล้ว วัดจิ้งเหลียนกวานจึงได้กลับมาอีกครั้ง หวังจะบงการสถานการณ์ของใต้หล้า ด้วยเหตุนี้เอง ฉินเจี้ยนเหยาในฐานะผู้สืบทอดของวัดจิ้งเหลียนกวานจึงได้เลือกเอาช่วงเวลาที่สถานการณ์กำลังกระเพื่อมช่วงนี้เข้าสู่ยุทธภพ
ดูท่าวัดจิ้งเหลียนกวานคงได้คัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นผู้สมัครรับการคัดเลือกเป็นฮ่องเต้ได้แล้ว เมื่อระดับบรรพบุรุษได้เห็นการกระทำเช่นนี้ของฉินเจี้ยนเหยาแล้วอดที่จะรู้สึกเย็นวาบบในใจไม่ได้
วัดจิ้งเหลียนกวานที่มีเคล็ดวิชาจิ่วมี่อยู่ในครอบครองถึงสองเคล็ดวิชามีธาตุแท้ภายในที่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึงมาโดยตลอด ยกเว้นราชวงศ์โต่วเซิ่นที่อยู่ในมือของฮ่องเต้ไท่ชิงในครั้งนั้นสามารถสยบพวกเขาได้แล้ว อีกสี่แกร่งที่เหลือหาใช่คู่ต่อสู้ของวัดจิ้งเหลียนกวานอยู่แล้ว
กล่าวได้ว่า ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ในยุคปัจจุบันไม่มีผู้ใด หรือสำนักใดๆ ที่ไม่ใส่ใจต่อการเลือกของวัดจิ้งเหลียนกวานอยู่แล้ว กล่าวได้ว่าวัดจิ้งเหลียนกวานในวันนี้มีกำลังที่จะบงการสถานการณ์ใต้หล้าอยู่ในครอบครอง
เป็นทังเฮ่อเสียง หรือว่าราชันแท้จริงปาเจิ้น? มียอดฝีมือของตระกูลขุนนางโบราณได้คาดเดาในใจลับๆ
กล่าวได้ว่าในระดับหนึ่งแล้ว ตำแหน่งฮ่องเต้นั้นทั้งทังเฮ่อเสียงและราชันแท้จริงปาเจิ้นต่างใกล้เคียงกัน ต่างก็เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ถ้าหากหนึ่งในพวกเขาได้รับการรับรองจากฉินเจี้ยนเหยา ได้รับความช่วยเหลือจากวัดจิ้งเหลียนกวานล่ะก็ เกรงว่าคงก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ได้แน่นอน ได้เป็นผู้กุมอำนาจ
ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสต่างเข้าใจได้ว่า เกรงว่าการที่ฉินเจี้ยนเหยาจัดงานยิ่งใหญ่เช่นนี้ขึ้นมากะทันหันนั้นคงมีเจตจำนงแล้ว การกระทำของฉินเจี้ยนเหยาในครั้งนี้กระทั่งสามารถเกี่ยวพันถึงชะตาของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ในยุคนี้
ในเวลานี้ ภายในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเย็นวาบบกับสิ่งนี้ และมีจำนวนไม่น้อยที่ตั้งตาคอย
เทียบกับรุ่นอาวุโสที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของใต้หล้าแล้ว ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่สนใจว่าใครที่สามารถได้รับการเชื้อเชิญจากฉินเจี้ยนเหยา ดังนั้น เมื่อฉินเจี้ยนเหยาได้ส่งเทียบเชิญออกมาเชิญให้ทุกคนเข้าร่วมงานยิ่งใหญ่นั้น กลุ่มคนรุ่นใหม่ในเขาจิ่วเหลียนซานเรียกได้ว่าตั้งตาคอยกันเลยทีเดียว
เนื่องจากกล่าวสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมากแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็นอัจฉริยะบุคคลแล้ว หากสามารถได้รับการเชิญจากฉินเจี้ยนเหยาก็คือเกียรติอย่างหนึ่ง และเป็นเครื่องหมายแสดงถึงฐานะอย่างหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีโอกาสได้ใกล้ชิดเทพธิดาฉินอีกด้วย
ดังนั้น เมื่อฉินเจี้ยนเหยาประกาศจะจัดงานยิ่งใหญ่ขึ้นที่ป่าหินนั้น ไม่รู้ว่ามีกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนเท่าไรที่ตั้งตาคอย คอยเทียบเชิญของฉินเจี้ยนเหยาที่จะส่งมาถึง
แม้ว่าฉินเจี้ยนเหยาดูไปแล้วเหมือนอยู่เหนือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา การทำงานก็รวดเร็วเด็ดขาด หลังจากที่นางได้ประกาศเรื่องนี้ออกมาก็ได้ส่งเทียบเชิญออกไป มาคราวนี้ฉินเจี้ยนเหยาได้ส่งเทียบเชิญจำนวนไม่น้อยออกไป เรียกได้ว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ผู้ที่เข้าร่วมงานยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ดูจะมีขีดจำกัดค่อนข้างต่ำนิดหนึ่ง
แต่ทว่า สิ่งนี้ก็แค่เทียบกับอดีตเท่านั้น ผู้ที่สามารถได้รับการเชื้อเชิญจากฉินเจี้ยนเหยานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่งทั้งสิ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สามารถได้รับการเชื้อเชิญจากฉินเจี้ยนเหยานั้น ล้วนแล้วแต่อยู่ในข่ายที่เป็นผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จัดอยู่ในระดับอัจฉริยะ เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากที่กลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยได้รับเทียบเชิญจากฉินเจี้ยนเหยาแล้ว ย่อมอดที่จะรู้สึกดีใจและตื่นเต้นไม่ได้ จะอย่างไรเสียสิ่งนี้เป็นการแทนฐานะอย่างหนึ่ง เป็นฐานะที่ได้รับการยอมรับอย่างหนึ่ง
สามารถได้รับการเชิญจากฉินเจี้ยนเหยา ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าสามารถได้รับการโปรดปรานจากฉินเจี้ยนเหยา และได้รับการยอมรับจากวัดจิ้งเหลียนกวาน สิ่งนี้ย่อมนับเป็นเกียรติอย่างหนึ่งโดยแท้
สามารถเข้าร่วมงานยิ่งใหญ่ของเทพธิดาฉินถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ระดับอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้รับเทียบเชิญจากฉินเจี้ยนเหยาแล้วถึงกับกล่าวด้วยความดีใจ
ในเวลานี้เอง หม่าจินหมิงที่มีชาติกำเนิดมาจากกองทัพส่วนกลางคือหนึ่งในจำนวนแขกผู้มีเกียรติกลุ่มแรกที่ได้รับการเชื้อเชิญจากฉินเจี้ยนเหยา ดังนั้น หลังจากที่หม่าจินหมิงได้รับเทียบเชิญแล้ว เขาหัวเราะอย่างทระนง และกล่าวว่า ข้อคิดเห็นของเทพธิดาฉินนั้นมีความชัดเจนที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง หากเทพธิดาฉินมีอะไรให้ช่วย ข้าจะช่วยอย่างเต็มที่แน่นอน
ก่อนหน้านี้ หม่าจินหมิงเคยไปเยี่ยมคารวะฉินเจี้ยนเหยา แต่ได้รับการปฏิเสธเข้าพบจากฉินเจี้ยนเหยา ซึ่งทำให้เขาจดจำอยู่ในใจเสมอไม่อาจลืมเลือน เวลานี้สามารถกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติกลุ่มแรกที่ได้รับการเชื้อเชิญจากฉินเจี้ยนเหยา ทำให้ความไม่สบายใจก่อนหน้าหายไปดั่งปลิดทิ้ง กลายเป็นสิ่งที่ทะนงตนได้และถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
หลังจากที่ฉินเจี้ยนเหยาได้ส่งเทียบเชิญออกไปแล้ว อัจฉริยะบุคคลในเขาจิ่วเหลียนซานต่างก็ได้รับการเชิญจากนาง นอกจากนี้แล้ว ยังมียอดฝีมือรุ่นอาวุโสก็ได้รับการเชื้อเชิญจากฉินเจี้ยนเหยาเช่นกัน
เพียงแต่ในจำนวนแขกผู้มีเกียรติที่ได้รับเชิญนั้น ส่วนมากจะเป็นอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ ดังนั้น งานเลี้ยงยิ่งใหญ่ครั้งนี้ยังคงอาศัยกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็นอัจฉริยะบุคคลของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เป็นหลัก ทำให้ฉินเจี้ยนเหยาได้ใช้เป็นมาตรการ ด้วยการถือโอกาสนี้มายืนยันฐานะของตนในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่
หลังจากที่ฉินเจี้ยนเหยาได้ส่งเทียบเชิญให้แต่ละคนไปแล้วนั้น ผู้ที่มีความละเอียดก็จะพบว่า ฉินเจี้ยนเหยาได้ตกหล่นไปคนหนึ่ง มีอยู่คนหนึ่งไม่ได้รับเชิญ
เทพธิดาฉินไม่ได้เชิญฮ่องเต้องค์ใหม่ เมื่อคนที่ละเอียดพบข้อปลีกย่อยเรื่องนี้แล้วรู้สึกแปลกใจ
การพบข้อปลีกย่อยเรื่องนี้ทำให้ผู้คนบางคนรู้สึกแปลกใจ จะอย่างไรเสียหากว่ากันถึงรื่องฐานะ ท่ามกลางเขาจิ่วเหลียนซานแห่งนี้ กลุ่มคนรุ่นใหม่ กระทั่งรุ่นอาวุโสย่อมต้องถือเอาฮ่องเต้องค์ใหม่นั้นมีฐานะที่สูงส่งที่สุด จะอย่างไรเสียก็คือผู้ที่เคยอยู่ในอำนาจปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มาก่อน แม้ว่าเวลานี้จะสูญเสียแผ่นดินไปแล้ว หากว่ากันถึงฐานะก็ยังคงเป็นกิ่งทองใบหยก ความเป็นกษัตริย์ที่ล้ำเลิศเป็นหนึ่งไม่มีสอง แต่ทว่า ฉินเจี้ยนเหยากลับไม่ได้เชิญเขา
เป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ เทพธิดาฉินถึงกับไม่ได้เชิญฮ่องเต้องค์ใหม่ กลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยรู้สึกแปลกใจ
จะอย่างไรเสีย ขณะที่ฉินเจี้ยนเหยามาถึงเขาจิ่วเหลียนซาน คนแรกที่นางไปเยี่ยมคารวะก็คือฮ่องเต้องค์ใหม่ สมควรทราบว่า หลังจากนั้นอัจฉริยะบุคคลจำนวนมากไปเยี่ยมคารวะนางก็ถูกนางปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ
การที่ฉินเจี้ยนเหยามาถึงเขาจิ่วเหลียนซานแล้วได้ไปเยี่ยมคารวะฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นลำดับแรก ย่อมเป็นการบ่งบอกว่านางเคยให้ความสำคัญมากต่อฮ่องเต้องค์ใหม่ เวลานี้กลับไม่มีการเชิญฮ่องเต้องค์ใหม่ แล้วจะไม่ให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องรู้สึกแปลกใจได้อย่างไรเล่า
ฮึ ฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นเพียงสวะคนหนึ่งเท่านั้น มีอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่มองออกถึงความนัย เมินใส่และเยาะเย้ยว่า ในอดีต เทพธิดาฉินเห็นแก่ยศศักดิ์ที่เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่จึงให้ความชื่นชอบ เสียดาย เป็นสวะที่มาตรฐานต่ำ ใช้การไม่ได้แบบนี้ หลังจากที่เทพธิดาฉินได้พบแล้วก็ตัดทิ้งไปเลย
ดูท่าฮ่องเต้องค์ใหม่จะไม่เข้าตาเทพธิดาฉินโดยสิ้นเชิงแล้ว ดังนั้น จึงไม่เชิญฮ่องเต้องค์ใหม่ เป็นการบ่งบอกว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่มีค่าแม้แต่สตางค์แดงเดียว อัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยต่างเห็นด้วยกับคำพูดเช่นนี้
ดูท่าวัดจิ้งเหลียนกวานได้ทิ้งฮ่องเต้องค์ใหม่แล้วจริงๆ ในสายตาพวกเขามองว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่มีค่าใดๆ ที่จะใช้ได้อีกแล้ว ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสผู้หนึ่งก็รู้สึกว่าการที่ฉินเจี้ยนเหยาไม่เชิญฮ่องเต้องค์ใหม่นั้น เป็นเพราะเขาไม่เข้าตาของฉินเจี้ยนเหยาอีกแล้ว
เกรงว่าสิ่งนี้จะเกี่ยวพันกับการสนับสนุนฮ่องเต้ยุคใหม่ ระดับบรรพบุรุษตระกูลขุนนางโบราณมองออกถึงความลึกลับภายในนี้ได้ ถ้าหากว่าฉินเจี้ยนเหยาตั้งใจจะเปิดเผยข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับฮ่องเต้ยุคใหม่โดยอาศัยงานยิ่งใหญ่ครั้งนี้ แล้วมีการเชิญฮ่องเต้องค่ใหม่เข้าร่วมในงานนี้ มิเท่ากับทำให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ไปก่อเรื่องในงาน ดังนั้น ถึอโอกาสไม่เชิญเสีย
ขณะที่ผู้คนส่วนมากไม่ได้ให้ความสนใจว่าเพราะอะไรฮ่องเต้องค์ใหม่จึงไม่ได้รับเชิญ กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว จับโอกาสครั้งนี้ให้มั่น พยายามแสดงตนให้โดดเด่นสักหน่อย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดเทพธิดาฉินแล้ว สำหรับสวะอย่างฮ่องเต้องค์ใหม่ ใครเล่าจะไปเปลืองสมองให้ความสนใจเล่า
แน่นอน การที่ผู้อื่นไม่ให้ความสนใจต่อหลี่ชิเย่ หลี่ชิเย่ยิ่งขี้คร้านจะไปให้ความสนใจผู้อื่น และคนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์คู่ควรให้เขาไปสนใจ
หลายวันที่ผ่านมาได้แต่อยู่เป็นเพื่อนหลิ่วชูฉิงบรรลุสัจธรรมที่เขาจิ่วเหลียนซาน ท่องไปยังภูเขาหลักแต่ละลูกในเขาจิ่วเหลียนซาน เที่ยวไปทั่วระหว่างทะเลสาบทั้งเก้าของเขาจิ่วเหลียนซาน
ภายใต้การชี้แนะของหลี่ชิเย่ หลิ่วชูฉิงสามารถเก็บเกี่ยวได้เป็นกอบเป็นกำ ‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ ที่นางทำความบรรลุนั้นเรียกได้ว่าก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว รู้ซึ้งถึงสาระสำคัญและแก่นแท้ที่อยู่ในนั้น สิ่งที่ยังขาดอยู่เป็นเพียงการขัดเกลาที่ต้องอาศัยเวลา ขอเพียงอยู่ภายใต้สภาพการณ์และระยะเวลาในการขัดเกลา หลี่ชิเย่เชื่อว่าหลิ่วชูฉิงจะต้องมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มีค่ายิ่งดวงหนึ่งอย่างแน่นอน
ผู้ที่ฝึกเก้าเคล็ดวิชาจิ่วมี่จนสำเร็จ จะตระหนักแบบไหนกันนะ? ขณะที่ติดตามหลี่ชิเย่ทำการบรรลุสัจธรรมไปตลอดทางนั้น หลิ่วชูฉิงรู้สึกแปลกใจ และคิดแบบไร้เดียงสา จึงมีความคิดที่ประหลาดขึ้นกะทันหัน
จะเป็นอะไรได้? ยังคงเป็นคนอยู่น่ะสิ หรือว่าจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดอย่างนั้นรึ? หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมาและกล่าวว่า ปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่ก็ฝึกจิ่วมี่จนสำเร็จมิใช่หรือ เขาก็เป็นได้แค่ปฐมบรรพบุรุษคนหนึ่ง หรือจะกลายเป็นเซียนอย่างนั้นรึ?
ดูเหมือนจะจริงนะ หลิ่วชูฉิงก็งุนงงกับคำถามของตนเช่นกัน จะอย่างไม่เสียใช่ว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีคนที่เคยฝึกเคล็ดวิชาจิ่วมี่มาก่อน เพียงแต่สืบเนื่องจากเวลานี้ทุกคนต่างมีเคล็ดวิชาจิ่วมี่หนึ่งหรือสองเคล็ดวิชาอยู่ในครอบครองเท่านั้น ดังนั้น จึงยากที่จะจินตนาการได้ว่าหากฝึกเคล็ดวิชาจิ่วมี่จนสำเร็จจะมีความรู้สึกอย่างไรเท่านั้นเอง
เคล็ดวิชาจิ่วมี่ล้ำค่าถึงเพียงนี้ เกรงว่าคงมีเพียงปฐมบรรพบุรุษเท่านั้นที่ฝึกได้สำเร็จแล้วล่ะ หลิ่วชูฉิงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เนื่องจากเวลานี้นางฝึกสำเร็จแล้วสองเคล็ดวิชาก็รู้สึกตระหนักรู้ที่แตกต่าง เช่นนั้นแล้ว เกรงว่าผู้ที่ฝึกเคล็ดวิชาทั้งเก้าจนสำเร็จย่อมไม่ธรรมดาแล้ว
สิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่หาใช่เคล็ดวิชาจิ่วมี่ หลี่ชิเย่ยิ้มพลางส่ายหน้าเบาๆ
ไม่ใช่เคล็ดวิชาจิ่วมี่รึ? ถ้าเช่นนั้นมันคืออะไร? หลิ่วชูฉิงตกใจกับคำพูดเช่นนี้ รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากใต้หล้าต่างก็รู้ว่าเคล็ดวิชาจิ่วมี่คือรากฐานของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ และก็คือแกนหลักของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ มีค่าสุดประเมิน ทำให้เป็นการยากนักที่จะให้เชื่อว่าภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ยังจะมีสิ่งที่ล้ำค่ามากยิ่งกว่าเคล็ดวิชาจิ่วมี่เสียอีก
เขาจิ่วเหลียนซาน หลี่ชิเย่พูดออกมาเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
‘เขาจิ่วเหลียนซาน’ หลิ่วชูฉิงอดที่จะมองดูทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้า มือเกาศีรษะและกล่าวว่า หรือจะกล่าวว่า ใต้พื้นดินของเขาจิ่วเหลียนซานมีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่อย่างนั้นรึ?
ขุมทรัพย์ก็ไม่แน่ว่าจะล้ำค่าเสมอไป หลี่ชิเย่หัวเราะ ส่ายหน้าและกล่าวว่า เคล็ดวิชาจิ่วมี่ก็ดี ขุมทรัพย์ก็ช่าง สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่หาใช่สิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุด ของบางอย่างหาใช่อาศัยสายตาของมนุษย์ปุถุชนธรรมดามาวัดกันได้อยู่แล้ว มิฉะนั้นแล้ว ปฐมบรรพบุรุษจิ่วมี่ก็คงไม่ถ่ายทอดระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเช่นนี้ให้สืบต่อกันมา และเขาจิ่วเหลียนซานก็คงไม่ยืนหยัดตลอดไปเช่นนี้
เป็นอย่างนี้นี่เอง หลิ่วชูฉิงเหมือนฟังแล้วกึ่งรู้กึ่งไม่รู้ นางเองก็นึกไม่ออกว่าในเขาจิ่วเหลียนซานยังจะมีสิ่งใดล้ำค่ายิ่งไปกว่าเคล็ดวิชาจิ่วมี่อีก
ภายใต้การเคียงข้างเป็นเพื่อนของหลี่ชิเย่ ในที้สุดหลิ่วชูฉิงก็ได้บรรลุเสร็จสิ้นสำหรับทะเลสาบอื่นๆ อีกแปดแห่ง เหลือเพียงทะเลสาบแห่งนี้แห่งเดียวเท่านั้น
ในขณะนี้ หลิ่วชูฉิงและหลี่ชิเย่ยืนอยู่ริมทะเลสาบและมองไปยังสภาพภูเขาและน้ำทะเลสาบที่อยู่ไกลออกไป น้ำทะเลสาบที่ใสแจ๋ว ท้องฟ้าและน้ำทะเลเขียวครามที่ดูเหมือนเป็นผืนเดียวกันกว้างไกลไร้ขอบเขต งดงามยิ่งนัก
นี่ นี่ นี่ก็คือทะเลสาบอันเป็นที่ตั้งของเกาะเซียงหลีนะเนี่ย ขณะมองดูทะเลสาบที่ไกลออกไป ท่ามกลางน้ำทะเลสาบและหมอกควัน สามารถมองเห็นเกาะๆ หนึ่งเลือนราง ทิวทัศน์โดยรวมของทะเลสาบเสมือนหนึ่งเป็นภาพวาดสีน้ำภาพหนึ่ง
มองดูเกาะแก่งที่อยู่ท่ามกลางทะเลสาบ หลิ่วชูฉิงถึงกับกล่าวเสียงแผ่วเบาขึ้น เป็นการเตือนสติหลี่ชิเย่
หลังจากท่องทะเลสาบแห่งนี้เสร็จสิ้นก็ควรจะกลับได้แล้ว หลี่ชิเย่เพียงมองดูทะเลสาบแวบหนึ่ง ไม่ได้นำเอาเรื่องอื่นๆมาใส่ใจแม้แต่น้อย
บริเวณที่หลี่ชิเย่กับหลิ่วชูฉิงยืนอยู่เป็นหาดทรายแห่งหนึ่งนั่นเอง ถือเป็นท่าเรือเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในวลานี้เอง มีผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยก็ยืนรออยู่ตรงนี้เช่นกัน ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างทยอยกันชำเลืองมองเมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่กับหลิ่วชูฉิง
………………………………………………………………………………………………………