เมื่อถูกคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่อัดเข้าไป ทำให้ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานถึงกับต้องหัวเราะเจื่อนๆ จากนั้นได้แต่พูดขึ้นมาว่า “ตาเฒ่ามีคำร้องขอเล็กๆ น้อยๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง นั่นก็คือ เวลาที่ฝ่าบาทลงมือขอโปรดเพลาๆ ลงบ้างสักเล็กน้อย จะอย่างไรเสียเขาจิ่วเหลียนซานเป็นเพียงสถานที่เล็กๆ เท่านั้นเอง ไม่อาจรองรับความไร้เทียมทานของฝ่าบาทได้ เกิดทำให้ผืนแผ่นดินแตกละเอียดไป บรรดาลูกศิษย์หลานศิษย์ของเขาจิ่วเหลียนซานก็ต้องบ้านแตกสาแหรกขาดแล้วล่ะ”
“เขาจิ่วเหลียนซานแห่งนี้ยังนับเป็นสถานที่เล็กๆ นะเนี่ย” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “พื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ได้ยึดครองพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่แล้ว”
“นั่นมันก็แค่คำกล่าวสำหรับมนุษย์ปุถุชนธรรมดา” ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานยิ้มกล่าวว่า “สำหรับฝ่าบาทแล้ว สถานที่แห่งนี้เป็นเพียงพื้นที่ที่ทุระกันดารเท่านั้น ธรรมดาคับแคบไม่คู่ควรจะกล่าวถึง ลำพังแค่พื้นที่เล็กๆ เช่นนี้ ไหนเลยรองรับกับความไร้เทียมทานของฝ่าบาทได้เล่า”
“ต่อให้ฝ่าบาทไม่เห็นแก่ศิษย์ของเขาจิ่วเหลียนซานที่จะต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ก็ขอให้เห็นแก่อาณาประชาราษฎร์ใต้หล้า เวลาลงมือช่วยเพลาลงสักนิดหนึ่ง ขอเพียงฝ่าบาทยั้งมือนิดก็สามารถละเว้นให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ มิฉะนั้นล่ะก็ หากหนึ่งหมัดของฝ่าบาทที่ซัดลงมา เกรงว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จะถูกโจมตีจนทะลุ และระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิๆ หนึ่งก็ต้องล่มสลายนับแต่นี้เป็นต้นไป”
คำพูดของชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานหาได้พูดเกินเลยไป ที่เขาพูดมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นความจริง เมื่อไรที่ผู้ซึ่งดำรงอยู่ในฐานะเริ่มต้นที่ระดับปฐมบรรพบุรุษแดนลัทธิเซียน ย่อมมีความสยองขวัญยากจะหาผู้ใดเทียม การที่จะทำลายระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิๆ หนึ่งนั้นไม่ต้องพูดถึง ดีไม่ดีแค่การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำลายระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จนแหลกละเอียด
“ในเมื่อเจ้าพูดมาเช่นนี้แล้ว ข้ายังจะทำเช่นนั้นได้อยู่อีกรึ? ” หลี่ชิเย่หัวเราะส่ายหน้า และกล่าวว่า “วางใจเถอะ เขาจิ่วเหลียนซานพวกเจ้าจะต้องปลอดภัย ไม่มีการสูญเสียแขนขาอะไรไปอยู่แล้ว คนอย่างข้าทำอะไรมักจะมีความเมตตายิ่งตลอดมาอยู่แล้ว และคำนึงถึงอาณาประชาราษฎร์ใต้หล้าเป็นสำคัญ”
“ตาเฒ่าก็ขอขอบพระทัยในความเมตตากรุณาของฝ่าบาทแทนอาณาประชาราษฎร์ทั่วหล้า” ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานลุกขึ้นมาและแสดงคารวะแบบจีนต่อหลี่ชิเย่ในทันที
ขณะที่หลิ่วชูฉิงซึ่งอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ตลอดเวลาไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
“ถูกแล้ว แผ่นป้ายแผ่นนั้นที่อยู่ประตูทางเข้าสำนักแผ่นนั้นให้ข้าได้หรือไม่? ” ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ได้เอ่ยขึ้นมาตามอารมณ์
เอิกกก…คำพูดที่หลี่ชิเย่พูดขึ้นมาตามอารมณ์ พลันทำให้ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานตอบไม่ถูก เขาหัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “ฝ่าบาทหัวเราะเยาะแล้ว แผ่นป้ายแผ่นนั้นสืบทอดมาจากปฐมบรรพบุรุษ ตาเฒ่าก็ไม่สามารถตัดสินใจได้”
“อย่างนี้นี่เอง” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “คนอย่างข้าน่ะไม่มีอะไรหรอกนะ สรรพสิ่งบนโลกมันก็แค่ของไร้ค่า แต่ว่า เจ้าเด็กโง่คนนี้ข้าชื่นชอบอย่างยิ่ง ในเมื่อเจ้าจะเข้าเยี่ยมคารวะข้าอยู่แล้ว สมควรมอบของขวัญแรกพบอะไรบ้างใช่หรือไม่อย่างไร”
เรื่องนี้…ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานหัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “สิ่งที่ตาเฒ่าเอาออกมาเกรงว่าจะไม่เข้าตาฝ่าบาท ทำให้ฝ่าบาทหัวเราะเยาะ สิ่งของที่เป็นประเภทพื้นๆ ของมนุษย์ปุถุชนก็ไม่คู่ควรต่อชาวสวรรค์อย่างพระนาง”
หลิ่วชูฉิงรู้สึกเอียงอายจนต้องก้มหน้าลงต่ำเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ สำหรับนางแล้ว คำว่า ‘พระนาง’ คำเดียวก็เพียงพอสำหรับนางแล้ว สิ่งนี้เป็นการยืนยันในฐานะของนางแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นก็มอบจิ่วมี่อะไรนั่นให้ก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาตามอารมณ์
พลันที่คำๆ นี้ถูกพูดออกมา แม้แต่หลิ่วชูฉิงก็ยังเหม่อลอย เคล็ดวิชาจิ่วมี่คือสิ่งล้ำค่าที่ประเมินไม่ได้ ในโลกนี้มีใครเล่าที่สามารถรวบรวมได้ครบถ้วน เวลานี้หลี่ชิเย่พูดออกมาตามอารมณ์ต้องการให้ผู้อื่นมอบเคล็ดวิชาจิ่วมี่ให้ เมื่อเคล็ดวิชาจิ่วมี่ออกจากปากของหลี่ชิเย่ก็คล้ายดั่งเป็นผักกาดขาวอย่างนั้น
“ฝ่าบาททำให้ตาเฒ่าต้องลำบากใจแล้ว” ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานหัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “ตาเฒ่าก็แค่ฝึกปรือมาได้เล็กน้อยเท่านั้นเอง คิดจะฝึกให้ได้ครบทั้งเคล็ดวิชาทั้งเก้าใช่จะง่ายดายเพียงนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำเร็จโดยสมบูรณ์แล้ว”
แต่ ‘เคล็ดวิชาเฉียนมี่’ ของเจ้าสมบูรณ์แล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทุกเรื่องราวบนโลกล้วนแล้วแต่ไม่รอดพ้นจากสายตาของฝ่าบาท” ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซาพูดออกมาจากใจ และทอดถอนใจว่า “ไม่ขอปิดบังฝ่าบาท เคล็ดวิชาดังกล่าวข้าเองก็อาศัยความพยายามมาชั่วชีวิตจึงได้ประสบความสำเร็จเช่นนี้ ตาเฒ่าอย่างข้าโง่เขลา สติปัญญาไม่ดี เกรงว่าชาตินี้ไม่สามารถฝึกเคล็ดวิชาจิ่วมี่ได้ครบทั้งเก้าแล้วล่ะ เท่าที่ข้าทราบ มีเพียงราชันแท้จริงจิ่วหนิงเท่านั้นที่ฝึกได้ครบทั้งเก้าเคล็ดวิชา”
“ราชันแท้จริงจิ่วหนิงได้ฝึกเคล็ดวิชาจิ่วมี่จริงรึ? ” หลิ่วชูฉิงรู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินคำพูดของชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซาน
“เรียนพระนาง เท่าที่ตาเฒ่ารู้มาเป็นเช่นนั้น” ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานพยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ครั้งนั้นราชันแท้จริงจิ่วหนิงเคยบรรลุ ‘เคล็ดวิชาเจียมี่ และเคล็ดวิชาเลียดมี่’ สองเคล็ดวิชาที่วัดจิ้งเหลียนกวาน และได้ฝึกปรือ ‘เคล็ดวิชาโต่วมี่ และเคล็ดวิชาเจ่อมี่’ สองเคล็ดวิชาของราชวงศ์โต่วเซิ่น จึงทำให้นางสามารถบรรลุเคล็ดวิชาอื่นๆ อีกห้าที่เขาจิ่วเหลียนซาน ฝึกปรือครบทั้งเก้าเคล็ดวิชาจิ่วมี่”
“แค่ฝึกปรือจนครบเท่านั้นเอง แม้แต่ราชันแท้จริงจิ่วหนิงหากต้องการสำเร็จโดยสมบูรณ์ ยังคงมีเส้นทางที่ต้องก้าวเดินอีกไกล ภายหลังนางได้ขึ้นไปยังแดนลัทธิเซียน ผลเป็นอย่างไรไม่เป็นที่ทราบ” ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานถึงกับมองไปยังที่ที่ห่างไกล และเหม่อลอยอยู่บ้างเมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้
“เล่าลือกันว่า เจิ้นตี้ก็ได้ฝึกปรือเคล็ดวิชาจิ่วมี่จนครบถ้วนมิใช่รึ? ” หลิ่วชูฉิงถามด้วยความแปลกใจ
ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “หาใช่เป็นเช่นนั้นไม่ เจิ้นตี้ไม่ได้ฝึกปรือจนครบ บางทีอาศัยท่วงท่าที่ยอดเยี่ยมของเจิ้นตี้มีความเป็นไปได้ที่เขาไปบรรลุมันได้ เพียงแต่เขามีความปราดเปรื่องน่าทึ่ง จึงได้บุกเบิกเส้นทางที่ใหม่ทั้งหมด ดังนั้นจึงได้คิดค้นและเขียนสุดยอดเคล็ดวิชาลับขึ้นมา นั่นก็คือ ‘คัมภีร์ไท่ชิงตัน’ ซึ่งทำให้เจิ้นตี้หลุดพ้นจากอาณาเขตของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นับจากนั้นเป็นต้นมา”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” หลังจากที่หลิ่วชูฉิงได้ฟังคำบอกเล่าจากชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานแล้ว ถึงกับพึมพำขึ้นมาว่า “ราชันแท้จริงจิ่วหนิงคือหนึ่งเดียวต่อจากปฐมบรรพบุรุษที่สามารถฝึกปรือเคล็ดวิชาจิ่วมี่จนครบถ้วนแล้ว”
“ณ ตอนนี้เป็นเช่นนั้นจรง” ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานพยักหน้าช้าๆ แบะกล่าวว่า “อนาคตไม่ทราบ” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว เขาอดที่จะจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่แวบหนึ่ง
“เคล็ดวิชาจิ่วมี่เท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มนิดหนึ่ง และกล่าวว่า “คนอย่างข้ากลับไม่ได้สนใจในเคล็ดวิชาจิ่วมี่สักเท่าไร แต่ว่า สำหรับสิ่งที่อยู่ใต้พื้นดินของเขาจิ่วเหลียนซาน เป็นต้นว่าสิ่งที่อยู่ข้างใต้ทะเลสาบแห่งนี้ ข้ากลับมีความสนใจอยู่บ้าง”
ฝ่าบาทพูดเล่นแล้ว…สีหน้าของชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานพลันเปลี่ยนไปมากทีเดียวเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่
“ข้าไม่ได้พูดเล่น” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉย แม้ว่าเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ท่าทีนั้นชัดเจนมากแล้ว
“ฝ่าบาท ท่าน ท่านคงธาตุแท้ภายในให้เขาจิ่วเหลียนซานพวกเราบ้างนะ” ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานถึงกับมีใบหน้าที่อมทุกข์ เขามีท่าทีวิงวอนอยู่แล้ว
แม้ว่าท่าทางของหลี่ชิเย่จะดูเอ้อระเหย แต่ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานดูออกว่าหลี่ชิเย่จริงจัง ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเช่นเขาหากจริงจังขึ้นมาเมื่อไร เรียกได้ว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง อีกทั้งใครก็แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้
“ข้าได้เหลือส่วนหนึ่งให้กับเขาจิ่วเหลียนซานพวกเจ้าแล้ว หากไม่เหลือไว้ให้ล่ะก็ พลันลงมือก็จัดการหลอมกลั่นพื้นที่แห่งนี้ให้กลายเป็นสมบัติส่วนตัวของข้าแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยขึ้นมา
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำเอาชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานต้องยิ้มเจื่อนๆ เขารู้ว่าหลี่ชิเย่ใช่ว่าจะพูดจาอวดดี ถ้าหากเขาต้องการล่ะก็ อย่าว่าแต่เขาจิ่วเหลียนซานเลย เกรงว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมดก็ถูกเขาหลอมกลั่นเสีย
“ฝ่าบาท เขาจิ่วเหลียนซานของพวกเรานับว่าทุระกันดารมากอยู่แล้ว” เวลานี้ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานได้แต่โอดครวญ
“เด็กโง่คนนี้ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? ” หลี่ชิเย่ไม่สนใจการโอดครวญของชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานว่ายากจน ลูบไล้ผมของหลิ่วชูฉิงเบาๆ ท่าทางที่รักและทะนุถนอมปรากฏออกมาอย่างชัดเจน
“พระนางดั่งหยกที่ประเมินค่ามิได้ รูปโฉมดั่งชาวสวรรค์ สุดยอดมีเพียงหนึ่งไม่มีสอง” ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานกล่าวชื่นชมขึ้นมา
การกล่าวชื่นชมลักษณะเช่นนี้ของชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซาน ทำเอาหลิ่วชูฉิงรู้สึกเขินอายยิ่งนัก ก้มหน้าลงต่ำ และกล่าวว่า “ผู้อาวุโสชมข้ามากเกินไปแล้ว”
“ใช่ว่าตาเฒ่าจะพูดเกินเลยไป” ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานกล่าวว่า “บนโลกใบนี้ มังกรและหงส์มีมากมายเท่าไร แต่ สามารถเข้าตาฝ่าบาทได้มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น การที่พระนางสามารถเข้าตาฝ่าบาทได้ นั่นก็คือมีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้าแล้ว”
คำพูดของชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานเป็นความจริง ไม่ได้เป็นการประจบสอพรอ และเขาเองก็ชัดเจนอย่างยิ่ง เฉกเช่นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะเช่นหลี่ชิเย่นี้ สามารถได้รับการโปรดปรานเพียงอย่างเดียวจากหลี่ชิเย่ก็ถือเป็นโชคที่ยิ่งใหญ่แล้ว เฉกเช่นหลิ่วชูฉิงที่สามารถได้รับความรักและทะนุถนอมจากหลี่ชิเย่ถึงเพียงนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ใช่ว่าใครก็สามารถได้รับการเอ็นดูเช่นนี้จาะเขาได้
ต่อให้เป็นบรรดาเหล่าเทพธิดา นางฟ้าจำนวนมากที่งดงามปราศจากผู้เทียบเทียมเหล่านั้น หลี่ชิเย่ก็มองพวกนางดั่งมดปลวก ไม่ว่าใครก็สามารถดูออกว่า หลิ่วชูฉิงที่อยู่ในสายตาของหลี่ชิเย่นั้นเรียกว่าไม่ธรรมดา เฉกเช่นพวกฉินเจี้ยนเหยาไม่สามารถเทียบเคียงได้อยู่แล้ว
“เรื่องราวบนโลกดั่งหมากรุก” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “มนุษย์โลกดั่งตัวเบี้ย ขณะที่บางคนเข้าใจว่าตัวเองคือผู้เดินหมาก ใครเล่าที่เป็นผู้เดินหมากที่แท้จริง? ที่ตรงนี้ มีเพียงข้าที่กำลังเดินหมาก! ”
ความหมายของฝ่าบาทก็คือ…คำพูดที่พูดขึ้นมาลอยๆ ของหลี่ชิเย่นั้นหลิ่วชูฉิงฟังไม่เข้าใจ แน่นอน กล่าวสำหรับนางแล้ว ขอเพียงได้รั้งอยู่ข้างกายของหลี่ชิเย่นางก็พึงพอใจแล้ว เรื่องอื่นๆ นางไม่ต้องการไปคิดมาก
“ดังนั้น กล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านี้ยังคงจะคืนให้กับเขาจิ่วเหลียนซานของพวกเจ้าในภายหลังอยู่แล้ว ข้าต้องการเพียงแค่ส่วนหัวนิดหนึ่งเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยขึ้นมา
“ในเมื่อฝ่าบาทได้ตัดสินใจแล้ว ยังจะมีช่องว่างให้เขาจิ่วเหลียนซานของข้าได้เลือกอีกรึ? ” ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานถึงกับยิ้มเจื่อนๆ
“ไม่มี” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “ไม่ก็ทำงานให้ข้า อนาคตจะได้รับประโยชน์ไม่น้อย ไม่ก็ข้าถือโอกาสทำให้เด็ดขาดสักหน่อย ให้มันจบสิ้นไปรวดเดียวไปเลย เจ้าคิดว่าอย่างไร? ”
อย่า…ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานตกใจยิ่งนัก รีบเร่งกล่าวว่า “ก็ทำไปตามประสงค์ของฝ่าบาทก็แล้วกัน ทุกอย่างทำตามความต้องการของฝ่าบาท”
“ผู้คนบนโลกนี้น่ะ” หลี่ชิเย่ยิ้มและลูบไล้เส้นผมของหลิ่วชูฉิงเบาๆ และกล่าวว่า “โลกนี้สมควรขอบคุณนังหนูคนนี้จึงจะถูก เป็นนางที่นำพาความเมตตากรุณามาให้กับโลกใบนี้”
“ทำไมต้องขอบคุณข้าด้วยล่ะ? ” หลิ่วชูฉิงไม่เข้าใจ เอ่ยถามหลี่ชิเย่ด้วยความสงสัย
หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่งไม่ได้ตอบคำถาม ตบศีรษะของนางเบาๆ และกล่าวว่า “เอาล่ะ เจ้าจงทำความบรรลุเสียแต่โดยดี อย่าทำเป็นเหม่อ”
หลิ่วชูฉิงเชื่อฟังอย่างว่าง่าย นั่ง่ขัดสมาธิ หลอมรวมเข้ากับฟ้าดิน ปล่อยจิตให้ล่องลอยไป
เมื่อชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานได้เห็นภาพนี้แล้วถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ เขาเข้าใจในคำพูดของหลี่ชิเย่ เขารู้ว่าในสายตาของหลี่ชิเย่นั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ก็ดี อาณาประชาราษฎร์ใต้หล้าก็ช่าง เขาไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจ
เพียงแต่มีความเมตตากรุณาส่วนหนึ่งที่ไหลรอดผ่านช่องว่างของนิ้วมืออันสืบเนื่องมาจากหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงได้คงความอาลัยอาวรณ์ให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่อยู่บ้าง หาไม่แล้ว ในทัศนะคติของเขานั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เป็นได้เพียงผืนแผ่นดินผืนหนึ่งที่เขาเดินทางผ่านมาเท่านั้น จะคงอยู่หรือไม่ก็ได้ เขาไม่ใส่ใจกับการดำรงอยู่หรือล่มสลาย และหรือเจริญรุ่งเรือง
“สามารถได้รับความเอ็นดูของฝ่าบาทคือความโชคดีของพระนาง” ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานอดที่จะทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง ในโลกนี้ผู้ที่สามารถได้รับการโปรดปรานเช่นนี้จากหลี่ชิเย่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“ทุกสิ่งบนโลกล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับตนเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “คำมั่นสัญญาดั่งทองหมื่นชั่ง จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรประเมินค่ามิได้! นี่แหละคือสัจธรรม หาไม่แล้ว ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เหลวไหลทั้งสิ้น”
ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานอดที่จะทอดถอนใจขึ้นมาเบาๆ คำหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนบนโลกจึงยากจะเข้าตาของหลี่ชิเย่ได้
…………………………………………………………………………………………….